กระบี่มรรคเล่มนั้นสะอาดจนไร้มลทิน ราวกับกลั่นจากน้ำพุที่ใสที่สุดในโลก
แต่ตอนที่มันแทงออกมา สะท้อนเข้าสู่สายตาของหลินสวิน กลับเป็นอีกภาพหนึ่ง
เป็นกระบี่เล่มหนึ่งแท้ๆ แต่กลับเหมือนแปรเปลี่ยนเป็นหมื่นพันเล่ม หนาแน่นราวกับกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก เบียดตัวเต็มฟ้าดิน เติมเต็มภูผาธาราอันกว้างใหญ่ ปูเต็มฟ้าดาราจักรวาล!
มีอยู่ทั่วทุกแห่งหน
จึงไม่มีที่ไหนที่ไปไม่ถึง
ท่ามกลางความพร่าเลือน กระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนนั่นพลันเปลี่ยนเป็นค่ายกลกระบี่ชั้นแล้วชั้นเล่า สังหารปัญจธาตุ ทำลายล้างทุกสิ่ง
กระบี่มรรค เดิมเป็นวิถีจู่โจมสังหารที่ดุเดือดรุนแรงที่สุดอยู่แล้ว
แต่กระบี่นี้กลับแสดงลักษณ์ที่ไร้ขอบเขต ไร้จำกัด ไร้สถานที่ที่ไปไม่ถึง ดุเดือดรุนแรงจนถึงที่สุด และน่ากลัวจนถึงที่สุดเช่นกัน!
ตูม!
เบื้องหน้าสายตาหลินสวินเจ็บแปลบ จิตใจถูกเจตกระบี่ไร้สิ้นสุดนั่นเติมเต็ม ข้างหูประหนึ่งเสียงที่ยิ่งใหญ่ไพศาลนั่นดังก้องขึ้นอีกครั้ง
“กระบี่ของข้า เริ่มจากหนึ่ง หวนคืนสู่ไร้สิ้นสุด สรรพสิ่งเกิดขึ้นเพราะข้า สรรพวิญญาณแปรเปลี่ยนเพราะข้า วิถีกระบี่ไร้สิ้นสุด เปลี่ยนไปตามโอกาส แก่นจริงแท้แห่งการแปลงกระบี่เหลือคณาดั่งเม็ดทราย!”
“มรรคกระบี่นี้ ข้าเป็นผู้สร้าง นามว่า ‘ไท่เสวียน’”
“หล่อเลี้ยงแก่นจริงแท้ไท่เสวียนในทวารหัวใจ สั่งสมเจตกระบี่ไท่เสวียนในแปดร้อยสี่สิบล้านจุดชีพจร…”
พลังสืบทอดที่ราวกับกระแสน้ำพุ่งเข้าในใจหลินสวิน ทำให้เขาตกอยู่ท่ามกลางการหยั่งรู้ที่แปลกประหลาดอย่างหนึ่ง
มรรคกระบี่ไท่เสวียน!
มรดกนี้ จักรพรรดิกระบี่ไท่เสวียนใช้มหามรรคทั้งชีวิตหยั่งรู้สร้างสรรค์ขึ้นหลังจากก้าวสู่ระดับจักรพรรดิ เป็นคัมภีร์กระบี่ไร้ทัดเทียมที่สมคำร่ำลือเล่มหนึ่ง
ฝึกวิชานี้ มองจุดชีพจรรอบตัวเป็น ‘ช่องทางกระบี่’ หลอมปราณกระบี่ไว้ภายใน ใช้วิชายุทธ์ที่เร้นลับเคี่ยวกรำ
ตามคำอธิบายของจักรพรรดิกระบี่ไท่เสวียน ในร่างกายมนุษย์มีแปดร้อยสิบสี่ล้านจุดชีพจร ทุกจุดล้วนราวกับซ่อนเทพไว้ภายใน ยิ่งใหญ่ดุจดั่งหุบเหว ราวกับเตาหล่อเลี้ยงกระบี่!
จุดชีพจรแปดร้อยสี่สิบล้านจุด ก็คือเตาหล่อเลี้ยงกระบี่แปดร้อยสี่สิบล้านเตา!
ส่วนการฝึกมรรคกระบี่ไท่เสวียน ก็คือการฟูมฟักหล่อเลี้ยงปราณกระบี่หลากสายในเตาหล่อเลี้ยงกระบี่ ให้กลั่นออกมาเป็นประกายกระบี่ รวมออกมาเป็นเจตกระบี่ หลอมออกมาเป็นจิตกระบี่ แปลงออกมาเป็นวิญญาณกระบี่
สิ่งที่ควบคุมปราณกระบี่แปดร้อยสี่สิบล้าน ก็คือแก่นจริงแท้ไท่เสวียนที่หล่อเลี้ยงอยู่ในทวารหัวใจ!
เมื่อเข้าถึงจุดสุดยอดของวิชานี้ เพียงความคิดขยับไหว ปราณกระบี่แปดร้อยสี่สิบล้านก็โฉบออกไปพร้อมกัน ภาพเช่นนั้นสามารถแผ่เต็มฟ้าดาราความว่างเปล่าโดยรอบได้!
คมประกายแห่งกระบี่ที่ไร้กำจัดนั้นไปถึงทุกแห่งหน
อานุภาพมรรคกระบี่ที่ไร้ทัดเทียมนั้นสามารถตัดผ่าเทพผี ทำลายหยินหยาง สลายปัญจธาตุ เบิกห้วงฟ้า ตัดข้ามนิรันดร์กาล!
ครู่ใหญ่ตอนที่หลินสวินได้สติจากการหยั่งรู้ ในสีหน้าปรากฏความตะลึงอย่างไม่อาจควบคุมได้
แข็งแกร่ง!
แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!
มรดกที่จักรพรรดิกระบี่ไท่เสวียนทิ้งเอาไว้ พูดได้ว่าเหนือความคาดหมายอย่างสิ้นเชิง ถึงขั้นสามารถเรียกว่าเป็นคัมภีร์กระบี่จักรพรรดิวิถี วิชาที่ไร้เทียมทาน!
ปราณกระบี่ไท่เสวียนแปดร้อยสี่สิบล้านพัดกรรโชกออกมาพร้อมกัน ม้วนกลืนในใต้หล้าฟ้าดารา เหตุการณ์ระดับนี้น่ากลัวเพียงใด
ครู่ใหญ่หลังจากหลินสวินสงบลงจึงพบว่า หากตนหมายจะฝึก ‘คัมภีร์กระบี่ไท่เสวียน’ จนถึงจุดสุดยอดนั้นเป็นไปไม่ได้
นอกเสียจากว่าเขาจะสามารถก้าวสู่ระดับจักรพรรดิได้
ทว่าคัมภีร์กระบี่ไท่เสวียนยิ่งใหญ่ลึกล้ำ มหัศจรรย์ไม่อาจคาดเดา ภายในบันทึกวิธีฝึกปราณของผู้แข็งแกร่งระดับอมตะ ก็เรียกได้ว่าเหลือเชื่ออย่างที่สุดแล้ว เพียงพอให้หลินสวินใช้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นถึงสิ่งที่จักรพรรดิกระบี่ยุคหนึ่งหลงเหลือเอาไว้
คำว่าจักรพรรดิกระบี่นี้ แค่คิดก็พาให้จิตใจสั่นสะเทือนแล้ว
‘ด้วยการฝึกปราณของข้าในตอนนี้ สามารถหล่อเลี้ยงออกมาได้มากสุดสามพันปราณกระบี่เท่านั้น แต่ก็เพียงพอแล้ว มรรคกระบี่ไท่เสวียนไม่ได้วัดกันที่จำนวน’
‘ในระดับอมตะ ปราณกระบี่ไท่เสวียนสามพันสาย สามารถหลอมเป็นหนึ่งกระบี่ และสามารถรวมเป็นค่ายกลกระบี่…’
หลินสวินสังเกตเห็นว่า ในคัมภีร์กระบี่ไท่เสวียนมีการอธิบายเกี่ยวกับค่ายกลกระบี่มากมาย
อย่างในระดับอมตะ ก็สามารถฝึกค่ายกลกระบี่สามอย่างคือ
‘ค่ายกลกระบี่สังหารว่างเปล่า’
‘ค่ายกลกระบี่สังหารพิฆาตนรก’
‘ค่ายกลกระบี่สังหารรู้ตน’
ทุกค่ายกลกระบี่ล้วนสอดคล้องกับวิธีควบคุมที่แตกต่างกัน มหัศจรรย์อย่างหาที่เปรียบไม่ได้และน่ากลัวอย่างที่สุด
ก็เหมือนค่ายกลกระบี่สังหารว่างเปล่า หากสร้างขึ้นมา จะควบรวมปราณกระบี่เจ็ดร้อยยี่สิบสายและแปรเป็นค่ายกล ทั้งหมดราวกับแปรเปลี่ยนเป็นความว่างเปล่า สังหารศัตรูอย่างไร้รูป!
อีกทั้งคุณภาพของปราณกระบี่ก็เป็นตัวกำหนดอานุภาพของค่ายกล
หากสามารถกลั่นประกายกระบี่ออกมา อานุภาพของค่ายกลกระบี่จะเกิดการเปลี่ยนแปลง หากสามารถรวมเจตกระบี่ออกมา อานุภาพของค่ายกลกระบี่ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง
จนกระทั่งหลอมจิตกระบี่ออกมา แปลงเป็นวิญญาณกระบี่ อานุภาพของค่ายกลกระบี่ก็จะแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง
ทว่าจิตกระบี่มีเพียงระดับอริยะที่สามารถหลอมออกมาได้ ส่วนวิญญาณกระบี่ก็มีเพียงระดับจักรพรรดิที่สามารถทำได้
ก็หมายความว่า หลินสวินในตอนนี้อย่างมากที่สุดก็เพียงแค่สามารถรวมปราณกระบี่ไท่เสวียนเป็นเจตกระบี่เท่านั้น แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ อานุภาพระดับนี้ก็เรียกได้ว่าตะลึงโลกเช่นกัน
หลังจากเข้าใจเรื่องพวกนี้อย่างถ่องแท้แล้ว หลินสวินพยายามข่มกลั้นความวู่วามในใจ ไม่ได้เริ่มลงมือฝึกในทันที
การฝึกวิชาใช่ว่าจะทำได้ภายในระยะเวลาอันสั้น
อย่างการฝึกคัมภีร์กระบี่ไท่เสวียน ขั้นแรกจะต้องหล่อเลี้ยงแก่นจริงแท้ไท่เสวียนสายหนึ่งออกมา ฟูมฟักไว้ในทวารหัวใจ มีเพียงทำเช่นนี้จึงจะสามารถไปควบคุมและใช้ปราณกระบี่อื่นๆ ได้
นี่เป็นเพียงแค่ขั้นเริ่มต้นเท่านั้น แต่ก็เป็นขั้นที่สำคัญที่สุดและลึกล้ำละเอียดอ่อนที่สุด ตัดสินรากฐานของการฝึกคัมภีร์กระบี่นี้ในอนาคต!
แก่นจริงแท้ไท่เสวียนที่ว่านี้ ก็คือการหลอมรวมมรรควิถี สารกาย พลังชีวิตและจิตวิญญาณในตัว รับเข้าสู่ภายในพลังมหามรรคที่ตนควบคุม
อย่างเช่นถ้าหลินสวินฝึกวิชานี้ จะต้องเลือกมรรคดับดารากลืนกินเป็นตัวนำ หลอมมรรควิถีของตน แปรเปลี่ยนเป็นแก่นจริงแท้ไท่เสวียนและหล่อเลี้ยงไว้ในทวารหัวใจ
ฮู่ว
หลินสวินสูดหายใจเข้าออกลึกๆ ทีหนึ่ง ทำให้จิตใจของตนสงบลง นึกถึงแต่ละฉากที่เห็นเมื่อครู่นี้แล้ว ในที่สุดก็เข้าใจอย่างสิ้นเชิง
ในแดนยอดมรดกแห่งนี้ มรดกในรูปปั้นหินนับพันไม่เหมาะกับตนจริงๆ แต่เพราะตน ‘จิตท่องบรรพกาล’ โดยบังเอิญ ได้ร่วมเป็นสักขีพยานของเหตุการณ์ในอดีต ทำให้ตนได้รับมรดกจากจักรพรรดิกระบี่ไท่เสวียนด้วยความบังเอิญ
‘ที่แท้จักรพรรดิสงครามอู๋ยางกับจักรพรรดิกระบี่ไท่เสวียนรู้จักกัน…’
‘สมัยดึกดำบรรพ์ เหล่าผู้ยิ่งใหญ่ที่สร้างแดนมกุฎแห่งนี้ล้วนได้รับการเรียกขานจากจักรพรรดิกระบี่ไท่เสวียน จึงได้มารวมตัวกัน จากเรื่องนี้จะเห็นได้ว่าตอนนั้นอำนาจบารมีของจักรพรรดิกระบี่ไท่เสวียนเฟื่องฟูเพียงใด’
‘อีกอย่าง ตอนนั้นหลังจากสร้างแดนมกุฎ ผู้ยิ่งใหญ่ในสมัยดึกดำบรรพ์อย่างพวกเขาต่างทยอยมุ่งหน้าไปยังทางเดินโบราณฟ้าดารา นี่ไม่ใช่หมายความว่า เมื่อไปถึงระดับเช่นพวกเขาหากหมายจะทะลวงระดับอีก ก็ต้องมุ่งหน้าไปแสวงหาในทางเดินโบราณฟ้าดาราหรอกหรือ’
ทันใดนั้นในใจหลินสวินรู้สึกทอดถอนใจขึ้นมาระลอกหนึ่ง
แดนมกุฎถึงกับเป็นบ่อเกิดแรกกำเนิดเสี้ยวหนึ่งที่เมธีนับพันคนร่วมมือกันหลอมออกมา เพียงเพื่อเปิดหนทางมกุฎให้กับคนรุ่นหลัง!
ใครจะคาดถึง
‘แรงกายแรงใจของเหล่าคนในอดีตย่อมล้ำค่าและสำคัญ เช่นนี้จึงจะไม่เสียดายที่ฝึกฝนมาทั้งชีวิต’
หลินสวินสภาวะจิตแน่วแน่
จากนั้นเขาลืมตาและลุกขึ้น
“ตื่นแล้ว เทพมารหลินตื่นแล้ว”
“นั่งแห้งมาทั้งวัน ก็ไม่รู้ว่าเขาได้รับมรดกหรือเปล่า”
เสียงซุบซิบดังขึ้นระลอกหนึ่ง หลินสวินเงยหน้ามองไป ก็เห็นว่าบริเวณสนามประลองชั้นยอดมีสายตาของผู้ฝึกปราณไม่น้อยกำลังมองมาที่ตน
หลินสวินไม่ได้สนใจ ในใจแอบพูดว่านั่งแห้งมาทั้งวันเช่นนั้นหรือ
เขามองรอบๆ ก็เห็นว่าเบื้องหน้ารูปปั้นโบราณนับพันนั้นไร้ซึ่งเงาร่างใครตั้งนานแล้ว
พวกองค์ชายเซ่าเฮ่า เทพธิดารั่วอู่ หยวนฝ่าเทียนต่างหวนกลับบริเวณสนามประลองชั้นยอดอีกครั้งแล้ว
“พี่ใหญ่”
เจ้าคางคกกับนกทมิฬโบกมือมาแต่ไกล
จ้าวจิ่งเซวียนเองก็อยู่ด้วย กำลังอมยิ้มมองตน
หลินสวินเดินเข้าไปถาม “การต่อสู้รอบที่สองเริ่มขึ้นแล้วหรือ”
เขาเห็นว่าในสนามประลองชายหนุ่มชุดคลุมม่วงคนหนึ่งกำลังสู้กับหวังเสวียนอวี๋ผู้สืบทอดสำนักเอกอุ สถานการณ์การต่อสู้ดุเดือด
“ใช่ เริ่มตั้งแต่เช้าแล้ว การต่อสู้รอบที่สองโหดร้ายมาก มีทั้งหมดห้าสิบสี่คนที่ผ่านการแข่งขันรอบแรก ทุกคนล้วนเป็นพวกร้ายกาจ รับมือยากมาก”
เจ้าคางคกขมวดคิ้วพูด
“กฎการต่อสู้รอบที่สองก็ชวนสับสนมาก ในบรรดาห้าสิบสี่คน ไม่ว่าจะเป็นใครก็สามารถเข้าสู่สนามประลอง ท้าดวลกับผู้แข็งแกร่งหนึ่งคน ผู้ชนะได้อยู่ต่อ ส่วนผู้แพ้ก็คัดออก”
นกทมิฬรีบพูดว่า “แต่ถ้าแค่นี้ก็ไม่เท่าไหร่ ประเด็นคือผู้ชนะทั้งสามารถจากไป และสามารถอยู่ในสนามประลองต่อเพื่อรับคำท้าจากคนอื่นๆ”
หลินสวินอึ้งไป “หลังจากได้รับชัยชนะ จะได้รับผลประโยชน์อันใดหรือไม่”
ทุกคนต่างส่ายหน้าโดยพร้อมเพรียงกัน “ไม่มีแล้ว รอบที่สองเป็นการแข่งขันรอบสุดท้าย เพราะฉะนั้นพวกเราถึงดูไม่ออกว่าจะได้รับ ‘อริยะนำพา’ นั่นได้อย่างไร”
“อย่างเช่นพวกหมีเหิงเจิน เย่หมัวเฮอ ต่างได้รับชัยชนะมาแล้วในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ แต่สุดท้ายผู้ชนะอย่างพวกเขาล้วนไม่ได้รับอริยะนำพา”
เจ้าคางคกอธิบาย “ตอนนี้ทุกคนต่างสงสัยว่า การต่อสู้ในรอบสองนี้จะเหมือนรอบแรกที่ต้องชนะหลายสนามติดกัน จึงจะมีโอกาสได้รับอริยะนำพาหรือไม่”
ฟังถึงตรงนี้ หลินสวินพลันนึกถึงบทสนทนาระหว่างจักรพรรดิกระบี่ไท่เสวียนกับจักรพรรดิสงครามอู๋ยาง
ตอนนั้นจักรพรรดิกระบี่ไท่เสวียนถือกล่องสำริดที่ยาวสี่ชุ่น กว้างสองนิ้วมือ ขนาดประมาณฝ่ามือเท่านั้น เหมือนกับกระบี่บินสำริดที่หนาหนักเล่มหนึ่ง
อิงจากที่จักรพรรดิกระบี่ไท่เสวียนพูด ในกล่องสำริดนั่นรวบรวมใจความเกี่ยวกับมกุฎมรรคาที่เหล่าเมธีหลงเหลือเอาไว้ ล้ำค่าอย่างยิ่ง
หลินสวินเดาว่าสิ่งที่ปิดผนึกอยู่ในกล่องสำริดใบนี้ มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะเป็น ‘อริยะนำพา’!
ตอนนั้นจักรพรรดิกระบี่ไท่เสวียนเคยกล่าวว่า สิ่งนี้จะตกอยู่ในมือของคนใจคดไม่ได้เด็ดขาด เพื่อเรื่องนี้จักรพรรดิกระบี่ไท่เสวียนจึงสร้างแดนยอดมรดกตรงหน้านี้ขึ้นมาเองกับมือ
คิดถึงเรื่องพวกนี้ หลินสวินอดสงสัยไม่ได้ว่าการต่อสู้ในรอบที่สองนี้ แท้จริงแล้วเป็นด่านที่ทดสอบจิตใจของเหล่าผู้แข็งแกร่ง
มีเพียงผู้ที่คุณสมบัติตรงตามเงื่อนไขที่จักรพรรดิกระบี่ไท่เสวียนทิ้งไว้ในตอนนั้น จึงอาจจะได้รับ ‘อริยะนำพา’
‘จิตใจเกี่ยวข้องกับสภาวะจิต ใจคดแน่นอนว่าจะเป็นภัยต่อใต้หล้า นี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกจักรพรรดิกระบี่ไท่เสวียนอยากเห็น แต่สำหรับสภาวะจิต จะต้องเป็นอย่างไรจึงจะสามารถตรงตามเงื่อนไขที่จะได้รับอริยะนำพา’
ชั่วขณะหนึ่งหลินสวินอดขมวดคิ้วไม่ได้ เขาเองก็สงสัยไม่น้อย เดาไม่ออก
ตูม!
ตอนนี้เองในที่นั้นเกิดเสียงปะทะน่ากลัว หวังเสวียนอวี๋ชนะชายหนุ่มชุดคลุมม่วงในคราเดียว ได้รับชัยชนะของการแข่งขันสนามนี้
แต่หวังเสวียนอวี๋เองก็บาดเจ็บสาหัสเช่นเดียวกัน ถอยออกจากสนามประลองอย่างจนปัญญา หลังจากเขาได้รับชัยชนะก็ไม่ได้รับอริยะนำพาเช่นกัน
นี่ก็หมายความว่าไม่มีวาสนากับศุภโชคครั้งนี้หรือ
หวังเสวียนอวี๋ถอนหายใจ
พรึ่บ!
ในเวลาเดียวกันเงาร่างของเทพธิดารั่วอู่ลอยเข้าสู่สนามอย่างแผ่วพลิ้ว ทำให้บรรยากาศในที่นั้นตื่นเต้นขึ้นมาทันที
ต่างจับจ้องไม่วางตา อยากดูว่าเทพธิดารั่วอู่จะเลือกใครเป็นคู่ต่อสู้
ต่อสู้มาถึงตอนนี้ ในบรรดาบุคคลระดับนายเหนือหัวห้าสิบสี่คนที่ผ่านการทดสอบในรอบแรก มีกว่าครึ่งที่ต่อสู้ไปแล้ว แต่จนตอนนี้ก็ยังไม่มีใครได้รับอริยะนำพา
เพียงแต่ใครก็คิดไม่ถึงว่าเทพธิดารั่วอู่จะเข้าสู่สนามประลองในสถานการณ์เช่นนี้
ถึงอย่างไรบุคคลเช่นองค์ชายเซ่าเฮ่าก็ยังเฝ้ามองสถานการณ์มาโดยตลอด
เงาร่างของเทพธิดารั่วอู่ยืนอยู่ในที่นั้นอย่างสันโดษ สายตากวาดมองเหล่าผู้กล้า สุดท้ายหยุดสายตาที่บริเวณหนึ่ง
ตอนที่เห็นเงาร่างที่สายตาของนางจับจ้องอยู่ ทั้งสนามฮือฮาขึ้นมาทันที
——