ในที่นั้นเงียบสงบ สายตาที่มองหลินสวินแฝงความแปลกประหลาดชั่วขณะ ยากจะเชื่อ

เคราะห์มรรคตัดขาด!

น่ากลัวเพียงใด แต่หลินสวินกลับฝึกควบมหามรรคสามสาย เขาไม่กลัวประสบเคราะห์หรือ

บุคคลพลิกฟ้าระดับเขา ในขอบเขตมกุฎก็แทบจะไร้คู่ต่อสู้แล้ว มีอนาคตที่ทำให้ทุกคนรู้สึกไกลเกินเอื้อม

แต่หากถูกเคราะห์มรรคตัดขาดสังหาร จะโชคร้ายเพียงใด

“คนรุ่นเราฝึกปราณ ล้วนเป็นหนทางฝืนฟ้าตัดวิถี ย่อมไม่กลัวอุปสรรคใดๆ”

หลินสวินสีหน้านิ่งสงบ ในที่นี้แทบไม่มีศัตรูของเขา เขาไม่ถือสาที่จะพูดถึงหลักการแสวงหามรรคที่เขารู้

“และตอนนี้มหายุคปกคลุมดินแดนรกร้างโบราณ เป็นโอกาสทองที่ยากในการลืมตาอ้าปากของคนรุ่นเรา ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกล้วนเปลี่ยนไป”

“ในเมื่อแดนมกุฎปรากฏในโลกนี้ เหตุใดเคราะห์มรรคตัดขาดนี่จะถูกทำลายไม่ได้เล่า”

“แดนมกุฎแห่งนี้เป็นดินแดนที่เมธีนับพันคนใช้เลือดเนื้อและจิตใจทั้งหมดสร้างขึ้น ทิ้งไว้ให้พวกเรา ในเมื่อพวกเราก้าวสู่ขอบเขตมกุฎแล้ว เหตุใดต้องกลัวเคราะห์และพิบัติภัย”

น้ำเสียงไม่ได้ฮึกเหิม แต่กลับมีพลังที่สงบและมั่นคงรวมอยู่ภายใน กึกก้องทรงพลัง ทำให้ผู้กล้าทั้งสนามต่างหวั่นไหวในชั่วขณะ

“พี่หลินองอาจมาก!”

ห่างออกไปองค์ชายเซ่าเฮ่าอุทานชื่นชม

ทุกคนต่างเห็นด้วยอย่างลึกซึ้ง ในใจหวั่นไหว บางทีอาจจะเพราะมีจิตวิญญาณที่ไม่เกรงกลัวอันตรายทั้งปวงเช่นนี้ จึงทำให้เทพมารหลิน ผู้ฝึกปราณจากโลกชั้นล่างคนหนึ่งค่อยๆ ก้าวสู่ความสำเร็จในวันนี้ทีละก้าว

ห่างออกไป จ้าวจิ่งเซวียนยิ้มเปี่ยมเสน่ห์

ตั้งแต่แรกนางก็รู้ว่าหลินสวินเป็นคนเช่นนี้แล้ว

……

“เช่นนั้น… เจ้ากล้าใช้พลังหลอมกายดวลกับข้าสักตาหรือไม่”

ในสนามจู่ๆ หยวนฝ่าเทียนก็ยื่นข้อเสนอ “ไม่ต้องห่วง ข้าเองก็จะใช้ระดับหลอมกายเดียวกันสู้กับเจ้า รับรองว่าจะไม่เอาเปรียบเจ้า”

พูดถึงตรงนี้ระหว่างคิ้วของเขาเผยความมั่นใจออกมาอย่างควบคุมไม่อยู่

ในด้านหลอมกาย เขาไม่เคยกลัวที่จะประลองกับใคร!

ได้ยินเช่นนี้กลับเป็นสีหน้าของเจ้าคางคก นกทมิฬ อาหลู่ที่แปลกประหลาดขึ้นมา สายตาที่มองไปทางหยวนฝ่าเทียนแฝงความเวทนาเสี้ยวหนึ่ง

เจ้าลิงโง่นี่ คิดจริงๆ หรือว่าในมรรคหลอมกายจะรังแกหลินสวินได้

“เหตุใดพวกเจ้าทำสีหน้าเช่นนี้” จ้าวจิ่งเซวียนฉงนใจ

เจ้าคางคกหัวเราะแฮะๆ สื่อจิตเล่าเรื่องที่อาหลู่เคยดวลกับหลินสวินด้วยมรรคหลอมกาย ผลลัพธ์กลับเป็นเอาเปรียบไม่ได้สักนิดให้จ้าวจิ่งเซวียนฟัง

ทันใดนั้นสีหน้าของจ้าวจิ่งเซวียนเองก็แฝงความแปลกประหลาดเสี้ยวหนึ่ง

‘ตอนนี้พี่ใหญ่อยู่ในขอบเขตมกุฎระดับราชันของมรรคหลอมกายแล้ว อีกทั้งยังเคี่ยวกรำและทดสอบในศิลาโบราณหมื่นลักษณ์ ได้รับใจความหลอมกายและประสบการณ์จากการฝึกทั้งชีวิตของจักรพรรดิสงครามลักษณ์เทพ หากหยวนฝ่าเทียนคนนี้คิดว่าด้วยเคล็ดวิชาร่างอริยะเก้าพิสุทธิ์จะมีศักยภาพบดขยี้พี่ใหญ่ได้ นั่นก็ผิดมหันต์แล้ว!’

อาหลู่สกัดกั้นความตื่นเต้น สื่อจิตเอ่ยขึ้นเช่นกัน

จ้าวจิ่งเซวียนอึ้งไปแล้ว สายตาที่มองไปทางหยวนฝ่าเทียนยังแฝงความเวทนาเสี้ยวหนึ่ง เหมือนพวกเจ้าคางคกไม่มีผิด

“เจ้าแน่ใจหรือ”

ในสนามหลินสวินพูดอย่างสนใจ

“หึ วิชาหลอมกายนี้ข้าเป็นคนสอนเจ้า มีหรือข้าจะกลัวเจ้า”

หยวนฝ่าเทียนย่ามใจมาก แค่นเสียงเย็นพูด “ไม่กลัวที่จะบอกเจ้าว่า ดวลกับข้า ได้เปรียบมากกว่าเสียเปรียบ หากได้รับการชี้แนะสักหน่อย รับรองว่าจะทำให้เจ้าสามารถฝึกเคล็ดวิชาร่างอริยะเก้าพิสุทธิ์ได้ราบรื่นกว่าเดิม แน่นอน หากเจ้ากังวลว่าจะแพ้ก็ไม่เป็นไร”

ทั้งสนามต่างฮือฮา เพิ่งจะรู้ว่าที่แท้วิชาหลอมกายที่เทพมารหลินฝึกฝน ถึงกับมาจากมรดกชั้นสูงของเผ่าวานรจมูกเชิด

ก็ไม่แปลกที่หยวนฝ่าเทียนกล้ามั่นใจและเย่อหยิ่งเช่นนี้ เขาเป็นทายาทเผ่าวานรจมูกเชิด ย่อมมีคุณสมบัติชี้แนะหลินสวินในวิชาหลอมกายที่ถนัดที่สุด

ทว่าถึงอย่างไรนี่ก็เป็นการประลองในสนามประลองชั้นยอด หากพ่ายแพ้ก็จะไร้โอกาสได้รับอริยะนำพา

เทพมารหลินจะตอบตกลงหรือไม่

ทุกสายตาล้วนมองไปที่หลินสวิน

“ฉลาดเลิศล้ำ!”

ห่างออกไป ราชันเผิงปีกทองน้อยชูนิ้วโป้งให้หยวนฝ่าเทียน

ต่อให้หลินสวินไม่ได้ใช้มรรคาหลอมกายในการประลอง สุดท้ายเอาชนะหยวนฝ่าเทียนได้ แต่อย่างน้อยภาพจำที่ทิ้งไว้ให้ทุกคนก็คือ บนมรรคหลอมกาย เขาสู้หยวนฝ่าเทียนไม่ได้!

หยวนฝ่าเทียนสีหน้าไร้อารมณ์ สองแขนกอดอก ในสายตากลับแฝงความย่ามใจเสี้ยวหนึ่ง เดิมทีเขาเป็นคนที่ถูกบีบให้เข้าสนาม

แต่ตอนนี้แม้แต่เขาเองยังชื่นชมความฉลาดของตัวเอง

“ดี ข้ากำลังอยากให้เจ้าสอนมรรคหลอมกายอยู่พอดี”

แต่เหนือความคาดหมายของเขา และเหนือความคาดหมายของทั้งสนาม หลินสวินดันตอบตกลง!

ทันใดนั้นทั้งสนามต่างตะลึง

มีเพียงพวกเจ้าคางคกที่สีหน้าแปลกพิกลกว่าเดิม พี่ใหญ่กำลังเก็บงำวางแผนร้ายชัดๆ

“ดี ดี ดี!”

หลังจากหยวนฝ่าเทียนอึ้งไปครู่หนึ่ง พลันเกิดความภาคภูมิใจ เย่อหยิ่งและย่ามใจ “ไม่ต้องเป็นห่วง ในเมื่อข้ารับปากจะชี้แนะเจ้าย่อมไม่หวงความรู้ แต่ถ้าเจ้าแพ้จะโทษข้าไม่ได้”

หลินสวินพยักหน้า “แน่นอน”

ครืน!

เพิ่งจะสิ้นเสียง รอบตัวเขาเลือดลมราวกับหินหนืดที่เดือดพล่าน พุ่งทะลวงฟ้า ผิวหนังทุกกระเบียดล้วนเปล่งประกายระยิบระยับราวกับหยกแก้ว อานุภาพน่าทึ่ง

“หลอมกายระดับมกุฎราชัน!”

ในที่นั้นฮือฮาขึ้นระลอกหนึ่ง ต่างตะลึงอย่างที่สุด ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าเทพมารหลินจะมีความสำเร็จระดับสูงในด้านมรรคหลอมกาย

แม้แต่หยวนฝ่าเทียนยังอึ้งงัน ถ้าเขาจำไม่ผิด ตั้งแต่ตอนที่เขาแนะนำวิธีฝึกวิชาร่างอริยะเก้าพิสุทธิ์ ห่างจากตอนนี้เพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น!

หลินสวินในตอนนั้นแม้แต่ขั้นเริ่มต้นของวิชาหลอมกายยังเข้าไม่ถึง แต่ตอนนี้กลับเหยียบย่างสู่ระดับมกุฎราชันแล้ว

พัฒนาการระดับนี้เรียกได้ว่าตะลึงโลกจริงๆ!

ทว่าคิดดูแล้ว หลินสวินฝึกปราณมาถึงตอนนี้ ความเชี่ยวชาญด้านหลอมปราณ หลอมจิตล้วนหยั่งถึงระดับอมตะเคราะห์ด่านเจ็ดแล้ว พลังกายแข็งแกร่งมาตั้งนานแล้ว ทั้งยังฝึกวิชาลับชั้นสูงอย่างเคล็ดวิชาร่างอริยะเก้าพิสุทธิ์ พัฒนาการเกิดการเปลี่ยนแปลงที่น่าทึ่งขนาดนี้ก็เป็นเรื่องปกติ

“รากฐานไม่มั่นคง สั่นคลอนเบื้องบน เจ้าโลภในการเลื่อนระดับหลอมกาย จะทิ้งภัยแฝงที่ยิ่งใหญ่ในมรรควิถี”

ยังไม่ทันเปิดการต่อสู้ หยวนฝ่าเทียนก็ตัดสินใจชี้แนะหลินสวินสักหน่อย

หลินสวินอึ้งไป พูดว่า “ข้าเข้าใจ เริ่มสู้เถอะ”

“ไม่รับน้ำใจหรือ ก็ดี รอตอนที่ข้าเอาชนะเจ้าด้วยระดับเดียวกัน เจ้าจะเข้าใจเองว่าที่ข้าพูดถูกหรือผิด”

หยวนฝ่าเทียนแค่นเสียงอย่างเย็นเยียบ ไม่พอใจท่าทีของหลินสวินอย่างมาก ตนกำลังชี้แนะเขาอยู่นะ หากเป็นคนอื่นเขาคงคร้านจะสนใจ

โครม!

แม้ในใจจะคิดเช่นนี้ เงาร่างของเขาก็เกิดเสียงกึกก้องกะทันหัน ราวกับลมพายุสั่นสะเทือน

ก็เห็นบนร่างกายล่ำสันกำยำของเขาก็ปกคลุมแสงมรรคสีใสเจิดจ้าชั้นหนึ่งเช่นกัน ระยิบระยับราวกับหล่อจากหยกแก้ว

“ระดับมกุฎราชัน หลอมกายศึกมายาพิสุทธิ์ ครอบครองประทับปราบมายาพิสุทธิ์ ให้ข้าจะดูหน่อยว่าเจ้ามีความสามารถแค่ไหนในระดับนี้!”

ท่ามกลางเสียงตะโกนหยวนฝ่าเทียนก้าวทะยานฟ้าขึ้นมา เผด็จการราวกับเทพมารองค์หนึ่ง เพียงแค่พลังที่แผ่กระจายออกจากร่างกายก็เพียงพอจะทำให้ห้วงอากาศแตกละเอียด ฟ้าดินหม่นแสง

“ประทับกงล้อแสง”

พลันเห็นเขาสะบัดหมัดหนึ่งออกมา ประทับฝ่ามือที่ราวกับกงล้อควบรวม มีอานุภาพดุจส่องสว่างจักรวาล ผงาดกร้าวในโลก

วู้ม!

แทบจะในเวลาเดียวกัน ดวงตาของหลินสวินทอประกาย สะบัดหมัดหนึ่งออกไป และเป็น ‘ประทับกงล้อแสง’ ใน ‘ประทับปราบมายาพิสุทธิ์’ เช่นกัน

ทันใดนั้นทั้งสนามต่างหันขวับ ก็เห็นในสนามประลองชั้นยอดเหมือนมีสุริยันเทพสองดวงลอยขึ้นกลางอากาศ จากนั้นเข้าปะทะกัน

ตูมโครม!

ฟ้าดินสั่นสะเทือน ทั้งแถบนั้นสว่างไสว ในคลื่นพลังที่น่าสะพรึงมองเห็นเงาร่างสองสายต่างถอยออกไปหลายสิบจั้งในอากาศ

“เสมอกันหรือ”

ทุกคนตะลึง เดิมต่างคิดว่าผู้มีประสบการณ์ในมรรคหลอมกายอย่างหยวนฝ่าเทียนออกโจมตี ก็เหมือนอาจารย์กำลังป้อนความรู้ลูกศิษย์ จะต้องอยู่ในตำแหน่งที่ไร้พ่าย ได้เปรียบอย่างแน่นอน

ไหนเลยจะคิดว่าในการปะทะกันครั้งแรก เขาก็ไม่ได้เปรียบอะไร!

แววตาของหยวนฝ่าเทียนวูบไหว ประหลาดใจเล็กน้อย เอ่ยว่า “ไม่เลว เข้าใจแก่นพิสุทธิ์บางส่วนของระดับนี้อย่างลึกซึ้ง แต่ยังอ่อนหัดมาก”

ตูม!

เขาโจมตีอีกครั้ง อานุภาพแข็งแกร่งกว่าเมื่อครู่นี้มาก เห็นได้ชัดว่าไม่คิดออมมืออีกแล้ว

“ประทับดันภูผา!”

ทอดสายตาจากไกลๆ ประทับหมัดสายหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้าหยวนฝ่าเทียน ราวกับกำลังผลักดันภูเขาศักดิ์สิทธิ์โบราณลูกหนึ่งไปข้างหน้า บดขยี้ห้วงอากาศดังครืนโครม แข็งแกร่งเผด็จการถึงขีดสุด

แต่แทบจะในเวลาเดียวกัน หลินสวินเองก็สำแดงกระบวนท่านี้เช่นกัน ประทับหมัดควบรวมราวกับผลักดันภูเขาลึกเดินหน้า ทลายห้วงอากาศขึ้นมากดข่มโลก

ตูม โครม!

ชั่วขณะนั้นทุกคนรู้สึกเหมือนภูเขาเทพสองลูกกำลังพุ่งชนกัน เสียงระเบิดตูมตามดังไม่หยุด ก้องอยู่ระหว่างทั้งสองอย่างไม่ขาดสาย

แสงมรรคม้วนตัวระเบิดแหลก สาดกระเซ็นระหว่างทั้งสองราวกับกระแสน้ำเช่นกัน

จนกระทั่งหลังจากนั้น เงาร่างของทั้งสองตัดสลับกัน ปะทะกันแต่ไกล

เพียงแต่สีหน้าของหยวนฝ่าเทียนแฝงความตะลึงประหลาดใจเสี้ยวหนึ่ง ในใจอับอาย การโจมตีนี้เขาถึงกับยังไม่สามารถกำราบอีกฝ่ายได้ นี่เป็นไปได้อย่างไร

เคล็ดวิชาร่างอริยะเก้าพิสุทธิ์เป็นยอดวิชาของเผ่าวานรจมูกเชิดของเขา การเข้าถึงและความเชี่ยวชาญของมรรคนี้ หยวนฝ่าเทียนมั่นใจว่าไม่มีใครสู้ได้

แต่ตอนนี้ การแสดงออกของหลินสวินกลับทำให้เขาประหลาดใจ!

ในที่นั้นมีเสียงฮือฮาดังขึ้นทั่วทุกสารทิศแล้ว ราชันเผิงปีกทองน้อยยิ่งตะเบ็งเสียง “เจ้าลิง ถึงตอนนี้แล้วเจ้ายังเก็บงำศักยภาพอีกหรือ รีบกำราบเขา นี่เป็นโอกาสทองในการเอาชนะเขา!”

และห่างออกไป พวกเจ้าคางคกยิ้มอย่างกลั้นไม่อยู่แล้ว มีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น จนถึงตอนนี้เจ้าลิงยังไม่เข้าใจว่าเขากำลังหาเรื่องใส่ตัวหรือ

เสียงทั้งหมดนี้เข้าหูหยวนฝ่าเทียนแล้วกลับเหมือนเยาะเย้ยและไม่เชื่อใจอย่างหนึ่ง ทำให้สีหน้าของเขาอึมครึมลง ลอบกัดฟันอย่างอดไม่อยู่

“มาอีก!”

เขาตะโกน สำแดงพลังของขอบเขตมกุฎระดับราชันออกมาจนถึงขีดสุด ราวกับระเบิดคลั่ง ไอสังหารเดือดพล่าน น่าสะพรึงไร้ขอบเขต

เผ่าวานรจมูกเชิดเดิมก็เป็นตัวตนที่ดุร้ายยิ่งในสมัยบรรพกาล น่ากลัวอย่างที่สุด อุปนิสัยเหี้ยมโหดอย่างยิ่ง หากคลั่งขึ้นมาก็สามารถทำให้เทพผีต่างหวาดกลัว

และตอนนี้แม้หยวนฝ่าเทียนไม่ได้ระเบิดความโกรธอย่างสิ้นเชิง แต่ก็อีกไม่ไกลแล้ว

ดวงตาดำของหลินสวินยิ่งเจิดจ้า สูดหายเข้าลึกคราหนึ่ง โคจรพลังหลอมกายของตนถึงขีดสุดเช่นเดียวกัน พลันพุ่งไปเผชิญหน้า

ตูม โครม โครม!

ทันใดนั้นในสนามประลองชั้นยอดเต็มไปด้วยเสียงระเบิดกึกก้องสะเทือนหู เงาร่างของทั้งสองประหนึ่งเทพมารบรรพกาลพุ่งปะทะ เลือดลมท่วมฟ้า พาให้ฟ้าดินปั่นป่วน

เพียงแต่สิ่งที่ทำให้ผู้ชมที่อยู่ห่างออกไปตกตะลึงคือ ในการต่อสู้ที่ดุเดือดอย่างที่สุดนี้ หยวนฝ่าเทียนที่เดิมควรจะได้เปรียบอย่างแท้จริง ตั้งแต่ต้นจนจบกลับไม่เคยได้เปรียบเลยแม้แต่น้อย

ถึงขั้นที่หากพูดถึงอานุภาพ ยังไม่สามารถบดบังคมประกายของหลินสวินได้!

“เจ้าลิง เจ้าแม่งสู้เต็มกำลังสิ!”

ราชันเผิงปีกทองน้อยที่อยู่นอกสนามนิ่งไม่อยู่แล้ว ตะโกนไม่หยุด

ในสนามสีหน้าของหยวนฝ่าเทียนอึมครึมอย่างที่สุด ในใจระเบิดความโกรธดุจบ้าคลั่งแล้ว สู้มาถึงตอนนี้ เขามีหรือจะไม่สู้เต็มกำลัง

แต่ประเด็นคือ ไม่ว่าเขาจะโจมตีอย่างไร อย่าว่าแต่กำราบเลย แต่ทำอะไรหลินสวินไม่ได้สักนิด เขาจะทำอย่างไรได้เล่า

เขา…

ก็สิ้นหวังมากนะ!

……………….