บทที่ 654.2 ถ่อมตนถอยให้ใต้หล้า

กระบี่จงมา! Sword of Coming

หลังจากเขาจงใจทำให้เว่ยเปิ่นหยวนค้นพบร่องรอยก็ปรากฏตัวอย่างเปิดเผย ท่าทางเยือกเย็นมีสมาธิ ไม่รีบไม่ร้อน

แน่นอนว่าไม่ได้แค่อาศัยว่าขอบเขตสูงแล้วจึงทำตัวประมาท

แต่เป็นเพราะนอกจากค่ายกลของหุบเขาแล้ว เขาเองก็ยังจัดวางค่ายกลอีกแห่งหนึ่งโอบล้อมภูเขาทั้งลูกไว้อย่างประณีตตั้งใจ

ทำลายค่ายกลขุนเขาสายน้ำของเว่ยเปิ่นหยวนจำเป็นต้องสาวเอาเส้นใยออกมา หาช่องโหว่ก่อน จากนั้นก็ใช้พละกำลังอันป่าเถื่อนทุบทำลายค่ายกล เพียงแต่ว่าหากเริ่มทำลายค่ายกล การทำตัวหลบๆ ซ่อนๆ ก็จะไม่มีความหมายอีกต่อไป

เว่ยเปิ่นหยวนทำมุทราอยู่ในชายแขนเสื้อ ลมภูเขาและไอหมอกมารวมตัวกันกลายเป็นเมฆขาวหลายก้อน พยายามที่จะบดบังการมองเห็นของคนผู้นั้น

คิดไม่ถึงว่าผู้ฝึกลมปราณคนนั้นจะเปิดปากเอ่ยถ้อยคำที่เป็นภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีป ราวกับว่ามรรคกถาสูงส่งลึกล้ำ จุดที่สายตามองไปเห็นคือเมฆขาวที่เชื่อมต่อกับค่ายกลของหุบเขา และเมฆขาวเหล่านั้นก็พลันสลายหายไปด้วยตัวเอง

เว่ยเปิ่นหยวนกวาดตามองไปรอบด้าน ฝีมือที่ดีเช่นนี้ ถึงขั้นทำให้น้ำในลำธารเกิดริ้วแสงสีเขียวมรกตกระเพื่อมเป็นระลอก เห็นได้ชัดว่ามีสมบัติอาคมซ่อนอยู่ภายใน

เพียงไม่นานประกายแสงพวกนั้นก็ลามขึ้นมาบนชายฝั่ง คล้ายฝูงมดที่เคลื่อนตัวแผ่ปกคลุมขึ้นมา

การหลอมโอสถพิถีพิถันในเรื่องน้ำและไฟผสานกลมเกลียว การที่เว่ยเปิ่นหยวนเลือกสถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่หลอมโอสถ ลำธารที่มีชะตาน้ำหนักอึ้งเยียบเย็นมาตั้งแต่กำเนิดเส้นนี้ก็คือกุญแจสำคัญ เว่ยเปิ่นหยวนท่องคาถาเงียบๆ อย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย เขาถึงขั้นคิดจะใช้วิชาเต่าอ๋าวพลิกกระดองทำลายโชคชะตาน้ำและรากฐานภูเขาของลำธารสายนั้นให้แหลกสลาย ยอมที่จะหลอมโอสถไม่สำเร็จแต่ก็ต้องสะบั้นการแทรกซึมจากสมบัติอาคมของอีกฝ่ายที่มีต่อค่ายกลภูเขาสายน้ำให้จงได้

คนผู้นั้นไม่สนใจฝีมืออ่อนด้อยของเว่ยเปิ่นหยวนแม้แต่น้อย สมบัติอาคมและเวทลับเฉพาะของตนจะปล่อยให้โอสถทองที่ไม่ใช่แม้แต่อาจารย์ค่ายกลคนหนึ่งมาทำลายได้อย่างไร

เพียงแต่ว่าพอครุ่นคิดเล็กน้อยก็กังวลว่าเว่ยเปิ่นหยวนจะก่อเรื่องบางอย่างขึ้นมาเพื่อที่จะได้ติดต่อไปขอความช่วยเหลือจากนครลมเย็น เขาจึงท่องคาถาเงียบๆ แสงสีเขียวที่ขึ้นมาบนชายฝั่งเหล่านั้นจึงหลบเร้นหนีไป เวทคาถา ‘พลิกภูเขา’ ของเว่ยเปิ่นหยวนนั้นกลับมิอาจสั่นคลอนลำธารได้แม้แต่น้อย คนผู้นั้นยิ้มเอ่ย “เวทคาถาดีเยี่ยม น่าเสียดายที่ถูกเจ้าเอามาใช้อย่างเละเทะ จัดการเจ้าได้แล้วจะต้องกักขังดวงวิญญาณเพื่อเอามาเค้นสอบสักรอบ นั่นต้องเป็นเรื่องน่ายินดีที่ไม่คาดฝันอีกเรื่องหนึ่งแน่นอน พอโชคมาเยือนแล้วจะขวางก็ขวางไม่อยู่จริงๆ”

คนผู้นั้นขยับเส้นสายตามองไปยังหลี่เป่าผิงแล้วเอ่ยว่า “ทรัพย์สมบัติของแม่นางน้อยอุดมสมบูรณ์จนน่าตะลึงจริงๆ ทำเอาก่อนหน้านี้ข้าไม่กล้าลงมือ ได้แต่ติดตามเจ้ามาตลอดทาง เลยถือโอกาสจัดการกับผู้ฝึกตนอิสระให้เจ้าไปสองกลุ่ม ควรจะขอบคุณข้าที่มีบุญคุณช่วยชีวิตเจ้าอย่างไร? หากเจ้ายินดีใช้ร่างกายตอบแทน วันหน้ามาเป็นสาวใช้ประจำตัวของข้า ได้ทั้งคนได้ทั้งทรัพย์สินเช่นนี้ ข้าไม่ถือสาหรอก น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกหนึ่ง ดาบยันต์มงคลเล่มนั้น บวกกับยันต์อีกสองแผ่นที่เป็นความน่ายินดีไม่คาดฝัน ข้าเอาทั้งหมด แล้วจะไว้ชีวิตเจ้า”

หลี่เป่าผิงตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกเล็กจิ๋วที่ห้อยไว้ตรงเอว “ถ้าอย่างนั้นก็มาแย่งไปสิ อย่ามัวพูดมาก”

คนผู้นั้นหลุดหัวเราะพรืด “โอสถทองกระจอกที่ไม่ถนัดด้านการโจมตี ดีแต่หลอมยา ผูกมิตรกับคนไปทั่ว พอเกิดเรื่องเข้าจริงๆ เขาก็ปกป้องเด็กอย่างเจ้าไม่ได้หรอกนะ”

ในใจของเว่ยเปิ่นหยวนตะลึงพรึงเพริด

หนึ่งเพราะเขาคิดแค่ว่ามีเพียงดาบแคบเล่มนั้นของแม่หนูเป่าผิงเท่านั้นที่ถึงจะเป็นสมบัติอาคมบนภูเขา ไม่เคยมองเวทอำพรางตาบนน้ำเต้าสีเงินลูกนั้นออก แต่ผู้ฝึกตนบนยอดเขาคนนั้นกลับรู้อย่างกระจ่างแจ้ง อีกทั้งยังเอ่ยชื่อของดาบแคบออกมาได้ด้วย ติดตามหลี่เป่าผิงมาตลอดทาง เห็นได้ชัดว่าเขามีความมั่นใจมากถึงได้กล้าปรากฏตัว ขอบเขตของอีกฝ่ายอย่างน้อยที่สุดก็น่าจะเป็นคอขวดโอสถทอง หากเป็นเทพเซียนผู้เฒ่าก่อกำเนิดที่จำศีลมานานหลายปีจนนับไม่ถ้วนคนหนึ่งก็จะยิ่งยุ่งยากมากกว่าเดิม

ในใจเว่ยเปิ่นหยวนรู้สึกเสียใจภายหลัง หากตอบตกลงยอมเป็นผู้ถวายงานของสกุลสวี่นครลมเย็น มีวิธีการส่งข่าวให้กับค่ายกลที่เชื่อมโยงกับทั้งนครก็จะสามารถเรียกตัวสวี่หุนให้มาช่วยเหลือได้ บางทีอีกฝ่ายอาจจะไม่กล้าทำตัวกำเริบเสิบสานถึงเพียงนี้ คิดไม่ถึงว่าค่ายกลภูเขาสายน้ำที่ตัดขาดการลอบสังเกตการณ์ของสถานที่แห่งนี้กับภายนอกกลับกลายมาเป็นดั่งกรงขังเอาเสียได้

เว่ยเปิ่นหยวนสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้งเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับจิตแห่งมรรคา พยายามทำให้น้ำเสียงของตัวเองสงบนิ่ง แล้วใช้เสียงในใจเอ่ยกับหลี่เป่าผิง “แม่หนูผิง ไม่ต้องกลัว ท่านปู่เว่ยจะต้องคุ้มครองให้เจ้าจากไปได้อย่างปลอดภัย ทุบทำลายโอสถทองจะทำให้เกิดความเคลื่อนไหวที่รุนแรงมาก ทางฝั่งของนครลมเย็นจะต้องสัมผัสได้ถึงอย่างแน่นอน หลังเจ้าออกไปจากสวนดอกท้อแล้วก็อย่าได้หวนย้อนกลับมาเด็ดขาด ให้ตรงไปที่นครลมเย็น ความสามารถในการต่อสู้ของท่านปู่เว่ยมีไม่มาก แต่อาศัยฟ้าอำนวยดินอวยพร คิดจะปกป้องชีวิตของตัวเองเอาไว้ต้องไม่ใช่เรื่องยากอย่างแน่นอน”

คนผู้นั้นส่ายหน้า “ข้าว่ายากมากนะ คอขวดโอสถทองยังฝ่าไปยากขนาดนี้ ความหมายในการมีชีวิตอยู่ก็มีไม่มากแล้ว”

เว่ยเปิ่นหยวนพลันรู้สึกเหมือนตกอยู่ในอุโมงค์น้ำแข็ง ต้องเป็นขอบเขตก่อกำเนิดที่มีตบะลึกล้ำอย่างแน่นอน

กองทัพม้าเหล็กต้าหลีเหยียบย่ำภูเขาสายน้ำของหนึ่งทวีป แต่ละพื้นที่ปริแตกย่อยยับ ชักนำให้ผู้ฝึกตนอิสระจำนวนมากที่แฝงตัวอยู่ท่ามกลางป่าเขาเริ่มพากันออกจากภูเขาเข้าสู่สังคมทางโลก จับปลาในน้ำขุ่น ย่อมต้องมีคนทำอยู่แล้ว

หลี่เป่าผิงเอ่ย “ท่านปู่เว่ย หากรู้แต่แรกคงมอบยันต์ให้ท่านไปนานแล้ว”

เว่ยเปิ่นหยวนเอ่ยด้วยรอยยิ้มอย่างฉุนๆ “พูดจาเหลวไหลอะไร!”

หลี่เป่าผิงไม่ได้อธิบายอะไร ทะเลสาบหัวใจเกิดริ้วคลื่นก็ได้ยินเหมือนกัน เรื่องบางอย่างก็อย่าเพิ่งไปพูดถึงมันจะดีกว่า

เส้นสายตาของผู้ฝึกตนคนนั้นหยุดอยู่บนดาบแคบของของหลี่เป่าผิงมากกว่า

เมื่อเปรียบเทียบกับชีวิตอมตะและมหามรรคาแล้ว สาวงามบนโลกก็เล็กจ้อยราวกับเมล็ดงา ไม่มีค่าพอให้พูดถึง

ดาบแคบเล่มนั้นเขารู้จักพอดี มีชื่อว่ายันต์มงคล เป็นวัตถุสยบความชั่วร้ายคว้าชัยชนะของแคว้นเสินสุ่ยในอาณาเขตของแคว้นสู่โบราณยุคบรรพกาล คือสมบัติล้ำค่าของแคว้นอย่างแท้จริง สามารถสยบและรวบรวมโชคชะตาบู๊มาได้ สมบัติอาคมประเภทนี้สามารถจัดให้อยู่ในขอบข่ายของ ‘สมบัติล้ำค่าแห่งขุนเขาสายน้ำ’ ได้แล้ว แม้ว่าจะเป็นระดับขั้นของสมบัติอาคม แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นอาวุธกึ่งเซียนชิ้นหนึ่งแล้ว

น้ำต้าเลี้ยงกระบี่ลูกนั้นแค่มองออกว่าระดับขั้นสูงมาก ส่วนจะเป็นของดีแค่ไหนกลับยังมิอาจบอกได้

ถึงอย่างไรเมื่อได้มาอยู่ในมือแล้ว เพื่อความปลอดภัยไว้ก่อนเขาก็ควรจะออกเดินทางไกลไปยังทวีปอื่นก่อนแล้วกัน เพราะอย่างไรแจกันสมบัติทวีปในทุกวันนี้ก็ไม่เหมือนพื้นที่ที่เหมาะให้ผู้ฝึกตนอิสระได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขอีกแล้ว

หลี่เป่าผิงเอ่ยเสียงเบา “ท่านปู่เว่ย อีกเดี๋ยวหากต้องตีกันขึ้นมา ข้าคงชดใช้ให้สถานที่ฝึกตนแห่งนี้ไม่ไหว แต่ไม่เป็นไร วันหน้าค่อยให้พี่ชายข้าชดใช้ท่านแทนแล้วกัน”

เว่ยเปิ่นหยวนได้แต่ยิ้มจืดเจื่อน ตอนนี้ใช่เวลาให้มาพูดเรื่องนี้ไหม?

ผู้ฝึกตนยอดเขาคนนั้นหาวิธีในการทำลายค่ายกลอย่างสมบูรณ์เจอแล้ว แต่กระนั้นก็ยังชั่งน้ำหนักอย่างระมัดระวัง รู้สึกว่าเรื่องไม่คาดคิดทั้งหมดล้วนอยู่ในการคิดคำนวณมาหมดแล้ว

เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลลงจากภูเขามาฝึกประสบการณ์ต่างก็ชอบมากราบไหว้ภูเขาก่อน ในเมื่อที่พึ่งและภูมิหลังของแม่หนูนี่เป็นคนอย่างพวกเว่ยเปิ่นหยวน แม้แต่คุณสมบัติที่จะได้เป็นแขกผู้มีเกียรติของสวี่หุนแห่งนครลมเย็นก็ยังไม่มี แบบนี้ก็จะมั่นคงอย่างมากแล้ว

จะไม่ให้ผู้ฝึกตนอิสระที่เป็นถึงก่อกำเนิดผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งระมัดระวังรอบคอบเลยก็ไม่ได้

ต่อให้ขอบเขตของผู้ฝึกตนอิสระจะสูงแค่ไหน แต่ก็มีแค่ชีวิตเดียว

พวกเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่นอนเสวยสุขอยู่บนสมุดคุณความชอบในศาลบรรพจารย์ทั้งหลาย ต่อให้ขอบเขตจะต่ำแค่ไหน แต่ก็เท่ากับว่าพวกเขามีสองชีวิต!

ถ้าอย่างนั้นก็ควรต้องลงมืออย่างเด็ดขาด

เรือนกายของคนผู้นี้พลันล่องลอยไม่หยุดนิ่ง ขยายใหญ่จนใหญ่โตดุจขุนเขา นึกไม่ถึงว่าจะเป็นกายธรรมของซานจวินที่เก่าแก่ตนหนึ่ง ไม่เพียงเท่านี้ บนแขนสองข้างของกายธรรมร่างทองยังมีเผ่าพันธุ์เจียวหลงสีเขียวล้อมพันเอาไว้ ในมือถือง้าวใหญ่ ปราณวิญญาณขุนเขาสายน้ำที่อยู่รอบร่างกายธรรมวุ่นวายยุ่งเหยิง ‘สิ่งศักดิ์สิทธิ์’ ขนาดใหญ่ยักษ์ที่มีภาพบรรยากาศของขุนเขาสายน้ำควบคู่ไปด้วยนั้นพลิ้วกายจากบนยอดเขามาที่กระท่อมริมลำธาร มีพลังอำนาจดุจดั่งขุนเขาที่กดทับลงมา

ขณะที่อยู่กลางอากาศ กายธรรมร่างทองก็พูดกลั้วหัวเราะเสียงดังว่า “นังหนูน้อย ช่างพูดจาวางโตยิ่งนัก พี่ชายของเจ้า? หากยกเอาบรรพบุรุษบ้านเจ้าออกมาข่มขู่คนอื่น ข้าอาจจะยังพอเชื่อเจ้าสักเสี้ยวอยู่บ้าง! ทำไม พี่ชายของเจ้าคือหม่าขู่เสวียนแห่งภูเขาเจินอู่ หรือว่าคือเซียนกระบี่ใหญ่หวงเหอแห่งสวนลมฟ้าเล่า?”

เว่ยเปิ่นหยวนเตรียมจะเรียกโอสถทองแห่งชะตาชีวิตออกมาเพื่อต่อสู้แลกชีวิตกับโจรเฒ่าก่อกำเนิดผู้นี้

หลี่เป่าผิงเดินออกไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ใช้นิ้วโป้งผลักดาบแคบห้อยเอวออกจากฝักมาชุ่นกว่า มือซ้ายอีกข้างหนึ่งที่อยู่ในชายแขนเสื้อก็มีของสิ่งหนึ่งปรากฏขึ้นมา เมื่อของชิ้นนี้เผยกายบนโลกก็ไม่มีริ้วคลื่นลมปรากฎขึ้นแม้แต่น้อย ดังนั้นจึงไม่ทำให้คนจับสังเกตได้มากเท่าดาบแคบที่ออกมาจากฝัก

ทว่าเวลานี้เอง

ไม่รู้ว่าเหตุใดกายธรรมร่างทองถึงลอยอยู่กลางอากาศเช่นนั้น ไม่หล่นลงมาบนพื้นเสียที

ไม่ใช่แม่นางน้อยที่กระโดดลงจากกำแพงเสียหน่อย ยังไม่ทันสัมผัสพื้นก็ขากะเผลกเส้นเอ็นกระตุกแล้วหรือ?

หลี่เป่าผิงหันหน้าไปมองจุดอื่น

บนยอดเขาเขียวอีกแห่งหนึ่งมีชายหนุ่มสวมชุดคลุมลัทธิเต๋าสีชมพูคนหนึ่งเดินมาบนความว่างเปล่า เขายื่นสองนิ้วออกมาแล้วหมุนวนเบาๆ

ทุกก้าวที่เหยียบออกไปก็จะมีเมฆขาวก้อนหนึ่งลอยออกจากทะเลเมฆที่ห่างไปไกลมารองรับเป็นขั้นบันไดอยู่ใต้ฝ่าเท้าของคนหนุ่มท่าทางประหลาดพอดี

กายธรรมใหญ่ยักษ์ที่เหมือนถูกร่ายเวทกักร่างนั้นเริ่มพลิกกลับหัว กลายเป็นหุ่นเชิดที่ถูกเขาชักใยอยู่ในมือ

ในใจของเว่ยเปิ่นหยวนสั่นสะเทือนไม่หยุด

ช่างเป็นคนบนยอดเขาที่มีเวทอภินิหารเลิศล้ำยิ่งนัก!

แจกันสมบัติทวีปมีเทพเซียนห้าขอบเขตบนหน้าตาแบบนี้ด้วยหรือ?

ยอดฝีมือลัทธิเต๋า? ฉีเจินเทียนจวินแห่งสำนักโองการเทพ? เป็นไปไม่ได้แน่นอน เทพเซียนของลัทธิเต๋าสายนั้นมีกฎเกณฑ์เข้มงวด กวานเต๋าที่สวม ชุดคลุมลัทธิเต๋าที่สวมล้วนไม่อาจมีช่องโหว่ได้แม้แต่น้อย

แล้วนับประสาอะไรกับที่เจ้าสำนักฉีสูงส่งถึงเพียงนั้น จะมาหาประสบการณ์ที่นครลมเย็นได้อย่างไร

ชุดคลุมอาคมสีสันสะดุดตาที่คนหนุ่มสวมใส่นั้นกว้างมาก มันสะบัดพัดไปตามลมเหมือนก้อนเมฆบนท้องฟ้า

สุดท้าย ‘นักพรต’ หนุ่มก็กระโดดขึ้นไปเบาๆ นั่งขัดสมาธิอยู่บนศีรษะของกายธรรมร่างทอง งอนิ้วลง เคาะเบาๆ หนึ่งที พูดเหมือนผู้ใหญ่ที่กำลังสั่งสอนเด็กรุ่นหลังในตระกูลที่เกเร “ชอบแสร้งเป็นนายท่านใหญ่ใช่ไหม แสร้งเป็นมีมาดของเทพเซียนใช่ไหม บรรพบุรุษบ้านเจ้าอยู่ที่นี่หรือ ช่างน่าขำจริงๆ”

เว่ยเปิ่นหยวนไม่รู้สึกผ่อนคลายแม้แต่น้อย กลับกันยิ่งรู้สึกร้อนใจราวไฟลน กลัวก็แต่ว่าการช่วงชิงกันระหว่างพยัคฆ์และหมาป่าครั้งนี้ ฝ่ายหลังไม่เพียงแต่ไม่มีเจตนาดี ตนจะยิ่งปกป้องแม่หนูผิงไม่ได้ด้วย

เว่ยเปิ่นหยวนพึมพำ “สามารถสกัดกั้นฟ้าดินกักขังกายธรรมร่างทองไว้ภายในได้อย่างง่ายๆ เช่นนี้ จะทำอย่างไรดี จะทำอย่างไรดี”

ก่อกำเนิดที่เพิ่งลงมือก็ต้องกลายเป็นคนใบ้เจ็บปวดจนพูดไม่ออก ไม่ใช่ว่าไม่อยากหนี แต่เป็นเพราะขยับไม่ได้จริงๆ อีกฝ่ายสะบัดมือง่ายๆ ก็สร้างฟ้าดินมาสกัดกั้นได้แล้ว โอสถของตนก็ดี ทารกก่อกำเนิดก็ช่าง ขนาดเวทลับนอกรีตทั้งหลายยังเอามาใช้งานไม่ได้ แบบนี้จะให้หนีอย่างไร? คิดจะฝ่าสถานการณ์ตายครั้งนี้ไป เว้นเสียจากว่าตนเป็นผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดถึงจะได้ แต่หากตนเป็นเซียนกระบี่ประเภทนี้ ยังจะต้องหลบซ่อนตัวอยู่นานหลายร้อยปีเพียงเพื่อหลีกเลี่ยงศัตรูคู่แค้นอีกหรือ?

นักพรตหนุ่มชุดสีชมพูนั่งอยู่บนกายธรรมร่างยักษ์อยู่อย่างนั้น เขายิ้มบางๆ เอ่ยกับเว่ยเปิ่นหยวน “เว่ยเปิ่นหยวน ข้าผู้เป็นนักพรตเคยติดค้างน้ำใจตระกูลเว่ยของเจ้าแบบอ้อมๆ แต่ข้าคงไม่เล่ารายละเอียดแล้ว ปฏิทินเหลืองเก่าแก่พลิกไปพลิกมาก็เจอแต่ฝุ่นเกาะเขรอะ จะไปพลิกมันทำไม”

แน่นอนว่าหลิ่วชื่อเฉิงพูดจาเหลวไหลส่งเดช

ช่วยไม่ได้ กู้ช่านไม่ยินดีจะเปิดเผยตัวตน หลิ่วชื่อเฉิงก็ได้แต่หาข้ออ้างห่วยๆ แต่คนบนภูเขากลับเชื่อเรื่องนี้กันจริงๆ

ยกตัวอย่างเช่นเว่ยเปิ่นหยวนที่เชื่อไปแล้วถึงห้าหกส่วน

ทว่าหลี่เป่าผิงกลับไม่เชื่อแม้แต่น้อย

หลิ่วชื่อเฉิงเอนศีรษะ พันธนาการกายธรรมร่างทองนั้นต่อไป ผู้ฝึกตนก่อกำเนิดตัวน้อยๆ คิดจะดิ้นรนให้หลุดจากพันธนาการที่ตนร่ายไว้อย่างออมมือนี้ย่อมไม่ยาก แต่อีกฝ่ายก็แค่ไม่กล้ากระทำการบุ่มบ่ามเท่านั้น

แบบนี้แหละถูกแล้ว

เดินทางร่วมกับกู้ช่านครานี้ รู้สึกอุดอู้เกินไป

ดังนั้นหลิ่วชื่อเฉิงจึงรู้สึกว่าข้างกายของตนยังขาดลูกสมุนให้ช่วยคลายความเบื่อหน่ายไปคนหนึ่ง ผู้ฝึกตนก่อกำเนิดที่มีชาติกำเนิดจากผู้ฝึกตนอิสระคนหนึ่ง มีค่าพอจะได้รับเกียรตินี้อย่างถูไถ

หากอีกฝ่ายเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่หลิ่วชื่อเฉิงมีอคติด้วยมากที่สุด ป่านนี้ก็คงตายไปแล้ว

เล่นงานคนเด็กไปแล้วคนแก่ก็ตามมา? แก่แค่ไหนกัน? ถ้าอย่างนั้นก็ไปงัดข้อกันที่นครจักรพรรดิขาวสิ? ต่อให้เจ้าเป็นขอบเขตบินทะยาน ต่อให้หลิ่วชื่อเฉิงยืนนิ่งไม่ขยับ อีกฝ่ายก็ไม่กล้าลงมืออยู่ดี

ถึงอย่างไรก็ต้องกลับไปทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางแล้ว หากไม่ทิ้งเรื่องเละเทะไว้บ้างเลย หลิ่วชื่อเฉิงก็กังวลว่ากู้ช่านจะไม่ตั้งใจฝึกตนให้ดี

ตัวอ่อนที่ดีอย่างกู้ช่านนี้มีเพียงตกอยู่ในสถานการณ์ตายสิ้นหวังครั้งแล้วครั้งเล่าเท่านั้นถึงจะสามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็ว

ไม่ต้องกลัวว่าจะเป็นการดึงหญ้าช่วยให้เติบโตเลยแม้แต่น้อย

นี่ก็คือต้นกล้าบนมหามรรคาที่ศิษย์พี่ของนครจักรพรรดิขาวชื่นชอบมากที่สุด

อยู่ดีๆ หลิ่วชื่อเฉิงก็หรี่ตาลง

ดูเหมือนว่าชั่วชีวิตนี้ศิษย์พี่จะชอบปัญหาที่ใหญ่เทียมฟ้ามากที่สุดแล้ว?

แม่นางน้อยตรงหน้าผู้นี้?

แล้วนับประสาอะไรกับที่ดูเหมือนฝีมือการเล่นหมากล้อมของศิษย์พี่จะมาเจอกับคอขวด จะฝ่าก็ฝ่าไปไม่ได้ คราวนี้ขณะที่ตนเตรียมจะพากู้ช่านหวนกลับไปยังนครจักรพรรดิขาวกลับดันต้องมาเจอนางก่อน ไม่ใช่หรือ?

หลิ่วชื่อเฉิงพลันหัวเราะเสียงก้องกังวาน หันหน้าไปมองมุมหนึ่งแล้วเอ่ยด้วยเสียงในใจ “ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะตัดสินใจได้แล้ว พอดีเลย พวกเราสามคนกลับไปพร้อมกัน”

กู้ช่านไม่อำพรางตัวตนอีกต่อไป เขาเองก็ใช้เสียงในใจตอบกลับไปว่า “หลิ่วชื่อเฉิง ข้าแนะนำเจ้าว่าอย่าทำแบบนี้ดีกว่า ไม่อย่างนั้นเมื่อข้าไปถึงนครจักรพรรดิขาวแล้วเรียนรู้จนประสบความสำเร็จ คนแรกที่จะสังหารก็คือเจ้า”

ไม่มีอารมณ์เดือดดาลใดๆ สงบนิ่งสุขุม ก็เหมือนกับการวางตัวและนิสัยใจคอของกู้ช่านทุกวันนี้

หลิ่วชื่อเฉิงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ข้ากลัวศิษย์พี่ แต่จะกลัวเจ้าหรือ? วันหน้าอาจจะกลัว ถ้าอย่างนั้นก็ค่อยว่ากันวันหน้า”

หลี่เป่าผิงเห็นเพียงน้อยนิดก็อนุมานได้ไกล นางคลายมือที่จับฝักดาบออก กำยันต์ไม้ท้อในมือไว้แน่นแทน

นี่เป็นยันต์ที่พี่ชายมอบให้นาง บอกว่าหากพบเจอเรื่องใด แค่ท่องคาถาอยู่ในใจ ยันต์ไม้ท้อก็จะรับสัมผัสได้เอง ต่อให้เวทคาถาของคนชั่วจะสูงกว่า ต่อให้ท่องคาถาขยับจิตไม่ได้ก็ไม่ต้องกังวล

หลี่เป่าผิงเขย่ายันต์ไม้ท้ออย่างแรง

พี่ใหญ่โกหกกันหรือ?

ไม่เห็นมีความเคลื่อนไหวอะไรเลย