สามวันให้หลัง
หลินสวินตื่นจากการทำสมาธิ ความเหนื่อยล้าและอาการบาดเจ็บทั่วร่างหายเป็นปลิดทิ้งแล้ว
เดิมทีการต่อสู้ในแดนยอดมรดกก็แค่ผลาญพลังเขาอย่างรุนแรงเท่านั้น อาการบาดเจ็บไม่ได้หนักหนาแต่อย่างไร
‘ระดับอมตะเคราะห์ด่านเจ็ดเต็มสมบูรณ์…’
เมื่อลืมตาขึ้น ในใจหลินสวินผุดลางสังหรณ์แรงกล้าขึ้นมาเองโดยธรรมชาติ อีกไม่นานเท่าใดก็จะได้ต้องรับอมตะเคราะห์ด่านแปดแล้ว!
เคราะห์นี้ชื่อว่าโชคชะตา พลังที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับนัยเร้นลับสูงสุดของตัวผู้ฝึกปราณเอง
บางคนข้ามผ่านได้อย่างง่ายดาย
บางคนก็คับแค้นอยู่ตรงนั้นเพราะพลังโชคชะตาน่าสะพรึงเกินไป
พลังของด่านเคราะห์ที่ผู้ฝึกปราณแต่ละคนประสบล้วนแตกต่างกัน น่าสะพรึงและคลุมเครืออย่างถึงที่สุด
‘โชคชะตา เป็นดวงชะตาที่ถูกลิขิตมาแต่กำเนิด นับแต่อดีตจนบัดนี้ สรรพชีวิตในโลกหล้าไม่มีผู้ใดไม่ล่องลอยอยู่ระหว่างความเป็นความตาย เล็กจ้อยเท่ามด ความยิ่งใหญ่ของมันดั่งเทพศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีผู้ใดไร้โชคชะตา…’
‘โชคชะตา ถูกมองว่า ‘ลิขิตมาแต่เกิด’ เหมือนดั่งปุถุชนคนทั่วไป หากไม่ฝึกบำเพ็ญ อายุขัยก็อยู่ไม่เกินหนึ่งร้อยปี ผ่านความเจ็บปวดของการเกิดแก่เจ็บตายชั่วชีวิต ล้วนไม่อาจหลุดพ้นจากวังวนนั้นได้’
‘แต่สำหรับพวกเราผู้บำเพ็ญเพียรแล้ว โชคชะตาก็เป็นเหมือนโซ่ตรวนสายหนึ่ง หากคิดจะอายุยืนนานตราบเท่าฟ้าดิน อยู่ยงคงกระพันเทียบเท่าโลกหล้า ย่อมต้องทำลายโซ่ตรวนนี้ หลุดพ้นจากบ่วงทุกข์แห่งชะตาชีวิต’
‘เพียงแต่ความลับของโชคชะตาก็เหมือนสิ่งต้องห้าม พิบัติเคราะห์นี้ก็ลึกลับสุดคณา หากอยากทำลายมัน เนื่องจากแตกต่างกันเฉพาะบุคคล เคราะห์นี้… ไม่ใช่ยาก แต่ติดที่คำว่าอันตรายต่างหาก’
หลินสวินครุ่นคิด ฝึกปราณจนป่านนี้ ความรู้และประสบการณ์ของเขาแตกต่างจากอดีตนานแล้ว ความเข้าใจต่อตนเอง ต่อฟ้าดิน ต่อมหามรรคก็ใช่ว่าเมื่อก่อนจะเทียบชั้นได้
ก็เพราะรู้ความยากหยั่งถึงของพลังโชคชะตา ถึงทำให้หลินสวินรู้ดีว่าเมื่อเทียบกับด่านเคราะห์มารผจญ ด่านเคราะห์กฎกรรมแล้ว ด่านเคราะห์ที่แปดนี้ ‘อันตราย’ กว่าเป็นไหนๆ!
‘ข้าเกิดที่ภูเขาชำระจิตในนครต้องห้ามแห่งจักรวรรดิ หากคิดจะทำลายด่านเคราะห์โชคชะตา ย่อมต้องเริ่มจากจุดตั้งต้น…’
ครุ่นคิดไปพลางหลินสวินก็หยัดกายขึ้น เดินมุ่งหน้าออกไปนอกถ้ำสถิต
ท้องฟ้าปลอดโปร่ง หมดจดดั่งชะล้าง
บริเวณขอบน้ำพุที่สาดกระเซ็น เจ้าคางคก นกทมิฬ และอาหลู่กำลังร่ำสุราเสียงดังจอแจ ชื่นมื่นสุดๆ
อีกด้านหนึ่ง จ้าวจิ่งเซวียนยืนอยู่ข้างลำธาร มือจับขนหมาป่า กำลังคัดอักษรอยู่บนโต๊ะ
เรือนผมยาวสีดำขลับของนางมวยม้วนเผยให้เห็นลำคอระหงขาวกระจ่าง เอวคอดโค้งงดงาม พิงโต๊ะเขียนอักษร โครงหน้าด้านข้างประณีตงามบริสุทธ์ หน้าตาจดจ่อ ท่าทางสมถะ กระโปรงสีม่วงอ่อนพลิ้วไสวในสายลม
รอบบริเวณบุปผาแมกไม้บานล้อม ทิวทัศน์ดั่งภาพวาด
นางยืนอยู่ท่ามกลางภาพวาด แต่กลับงดงามยิ่งกว่าภาพวาด
หลินสวินก้าวขึ้นไป กอปรกับเวลานี้จ้าวจิ่งเซวียนเขียนเสร็จ หยัดตัวลุกขึ้นพอดี
พอสังเกตเห็นว่าหลินสวินเข้ามาใกล้ท่าทางคล้ายมีลับลมคมใน เสียงแคว่กก็ดังหนึ่งครา กระดาษขาวที่เขียนเสร็จถูกฉีกและขยำเป็นก้อนทันที
“เหตุใดเจ้าทำตัวเหมือนโจรไม่มีผิด”
หลินสวินลูบปลายจมูก ในใจกลับยิ่งสงสัยใคร่รู้มากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อครู่จ้าวจิ่งเซวียนเขียนอะไรอยู่
จ้าวจิ่งเซวียนสวมชุดกระโปรงสีม่วงอ่อน ช่วยเสริมให้เรือนร่างอรชรของนางสูงเพรียวอ้อนแอ้น ดวงหน้าดั่งหยกงาม นัยน์ตาคล้ายน้ำแร่ใส จมูกนวลเนียนปานหยกขาวแกะสลัก
เพียงแต่ดวงหน้างามของนางกลับเจือแววงอง้ำแกมเขินอาย จ้องหลินสวินเขม็ง “เจ้าต่างหากที่เป็นโจร มาแอบดูไม่ให้สุ้มให้เสียง”
หญิงงามตรงหน้านัยน์ตากระจ่างฟันขาว ผ่าเผยงดงาม!
หลินสวินอดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ ยืนอยู่ข้างนางก็เหมือนยืนอยู่ข้างดอกจื่อเวยที่บานสะพรั่งในเดือนสามภายใต้สายลมวสันต์ คนดุจภาพวาด ทิวทัศน์ก็กลายเป็นสิ่งเสริมส่ง พาให้ผู้คนเพลินใจ
สุดท้ายหลินสวินก็ไม่ได้ถามออกไปว่าเมื่อครู่จ้าวจิ่งเซวียนเขียนอะไรอยู่
แต่หลังจากผ่านเรื่องราวต่างๆ มากมาย หลินสวินและจ้าวจิ่งเซวียนต่างรู้ดีแก่ใจ ว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่เคยเป็นอีกต่อไป
และหลังจากนั้นเนิ่นนาน ตอนที่จ้าวจิ่งเซวียนพูดถึงเรื่องในวันนี้กับหลินสวิน จึงบอกอักษรหนึ่งแถวที่เขียนบนกระดาษขาวนั้นให้ฟัง
เพียงหวังข้าดั่งดาราพี่ยาดั่งดวงจันทร์
พราวแสงเชื่อมประสานสุกสาวทุกค่ำย่ำคืน
……
“สิบวันให้หลังแดนมกุฎก็จะปิดฉาก หายไปจากโลกหล้า!”
วันนั้นเมื่อข่าวนี้กระจายไปทั่วแดนเก้าบน ต่างถูกผู้แข็งแกร่งในแต่ละพื้นที่ล่วงรู้
“ควรไปกันได้แล้ว”
คนมากมายต่างทอดถอนใจ
หลายปีมานี้เพื่อจะผงาดง้ำ เพื่อจะช่วงชิงศุภโชคและวาสนา เกิดการเข่นฆ่านองเลือดกันตั้งเท่าไหร่ ผู้กล้าโดดเด่นบาดเจ็บล้มตายกันไปเท่าไหร่
และตอนนี้ในที่สุดก็ต้องจากไปแล้ว กลับพาให้ผู้คนใจหายและทำใจไม่ได้
ใครต่างก็รู้ จากนี้เป็นไปไม่ได้แล้วที่จะมีโอกาสเข้าสู่แดนมกุฎอีก
“เร็วเข้า รีบเก็บโอสถราชัน โอสถเทพที่ปลูกบนเขาให้หมด แล้วก็วัตถุดิบเทพและวัตถุดิบวิญญาณที่ขุดขึ้นมาก็ขนกลับไปด้วย!”
บนเขามงคลแต่ละลูก ผู้แข็งแกร่งของทุกขุมอำนาจต่างเริ่มเคลื่อนไหว เตรียมตัวก่อนจะออกเดินทางกันจ้าละหวั่น
จะจากไปแล้ว ไม่ว่าใครก็ไม่อาจทิ้งสมบัติที่รวบรวมมาได้เอาไว้
“ถ่ายทอดคำสั่ง ให้สหายร่วมสำนักที่สืบหาโชควาสนาพวกนั้นรีบกลับมาโดยด่วน อีกแค่สิบวันแดนมกุฎก็จะหายไปแล้ว ห้ามถูกขังไว้ในนี้เป็นอันขาด”
“เฮ้อ ข้าล่ะไม่อยากไปเลยจริงๆ…”
“เพียงไม่กี่ปีสั้นๆ ก็ทำให้ปราณของพวกเราทะยานเลื่อนระดับแบบก้าวกระโดด มีพลังต่อสู้เช่นวันนี้ ถ้าได้ฝึกปราณอยู่ที่นี่ต่ออีกสักหน่อย แม้แต่บรรลุอริยะ… ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่แล้ว!”
“เฮอะ หลังจากแดนมกุฎปิดฉากลงยังมีการต่อสู้แห่งมหายุคอีก ภายโลกนอกต่างหากที่เป็นเวทีให้พวกเราแสดงฝีไม้ลายมือ ท่องทะยานอวดศักดา!”
ในวันนี้เสียงต่างๆ นานาดังก้องขึ้น บางคนอาลัยอาวรณ์ บางคนใจหาย และบางคนปลื้มปริ่มอิ่มใจ หลากหลายอารมณ์ปะปนกัน
……
“ฮ่าๆ พอถึงโลกภายนอก ที่หนึ่งแดนมกุฎอย่างหลินสวินก็ไม่ได้มีบารมียิ่งใหญ่ขนาดนั้นแล้ว”
วันนี้ ก็มีบางคนกำลังแค่นหัวเราะด้วยเช่นกัน
“เขาฆ่าบุคคลแห่งยุคมากมายขนาดนั้น สำนักเบื้องหลังบุคคลแห่งยุคเหล่านี้มีหรือจะปล่อยเขาไว้”
“คอยดูเถอะ พอโลกภายนอกรู้ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในแดนมกุฎนี้ เขาหลินสวินต้องแบกรับเพลิงโทสะจากสำนักมากมายแน่ๆ!”
……
เขาฝนดาวตก
พวกหลินสวินก็กำลังเตรียมตัวก่อนออกเดินทางเช่นกัน
“พี่ใหญ่ จากประสบการณ์ที่ผ่านมา หลังจากที่พวกเราออกจากแดนมกุฎในครั้งนี้ จะต้องลัดเลาะตามเส้นทางเดิมไปโผล่ที่สถานที่นำทาง”
เจ้าคางคกกล่าวขึ้นอย่างรวดเร็ว “พวกเราต้องระวังให้ดี ในแดนมกุฎอริยะไม่คงอยู่ แต่ในดินแดนรกร้างโบราณ อาศัยพลังต่อสู้ในตอนนี้ของพวกเรา ยังไม่พอจะไปต่อต้านระดับอริยะได้”
หลินสวินพยักหน้า
เขาย่อมเข้าใจจุดนี้อยู่แล้ว
เจ้าคางคกกล่าวเตือนอีกครั้ง “สิบปีมานี้ผู้แข็งแกร่งที่ตายด้วยเงื้อมมือของพี่ใหญ่แทบนับไม่ถ้วน หากสำนักเบื้องหลังพวกเขารู้ข่าวพวกนี้เข้า ต้องแค้นจนแทบคลั่ง เห็นเจ้าเป็นศัตรูแน่”
หลินสวินกล่าวยิ้มๆ “เจ้าคางคก เรื่องแบบนี้พวกเราเจอมาน้อยหรือ”
ย่อมไม่น้อยอยู่แล้ว!
ตั้งแต่แรกเริ่มตอนที่กลับจากแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ พวกหลินสวินก็ถูกราชันทั้งกลุ่มปิดล้อม
ตอนนั้นมรรคาของพวกหลินสวินยังตื้นเขินนัก เคราะห์ดีที่ได้ความช่วยเหลือจากลิงเฒ่าชุดเขียวข้างกายหยวนฝ่าเทียน ถึงรอดมาได้โดยสวัสดิภาพ
หลังจากเข้าร่วมการแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ หลินสวินก็เคยเผชิญหน้ากับอันตรายระดับนี้เหมือนกัน ถูกสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันทั้งกลุ่มขวางอยู่หน้าทะเลหมากกระดานดารา
และตอนนี้ หลังออกจากแดนมกุฎ สถานการณ์ที่ต้องเผชิญก็คงไม่ต่างอะไรกับที่ผ่านมา
สิ่งเดียวที่ไม่เหมือนกันอาจอยู่ที่ หลินสวินในอดีตไม่ได้มีศักยภาพโต้ตอบมากมายเท่าใดนัก
แต่ตอนนี้ ต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงแล้ว!
สัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันที่เขาเคยหวาดกลัวในอดีต ก็ไม่ได้มีภัยคุกคามให้พูดถึงอีกต่อไป หากพวกเขายังกล้าท้าทายอีก นั่นก็ไม่ต่างอะไรกับการรนหาที่ตาย
หนึ่งเดียวที่สามารถกดข่มหลินสวินได้ บางทีเห็นจะเป็นผู้แข็งแกร่งระดับอริยะเท่านั้น
แต่ว่าหลินสวินมีหรือจะกลัวเกรง
ไพ่ตายในมือเขาสามารถทำให้เขาไม่หวั่นเกรงต่ออริยะ!
“พี่ใหญ่ หลังจากกลับดินแดนรกร้างโบราณเจ้ามีแผนอะไรหรือไม่”
จู่ๆ อาหลู่ก็ถามขึ้น
หลินสวินพยักหน้า ในใจเขาตัดสินแน่วแน่แล้ว ถึงอวิ๋นชิ่งไป๋จะตาย แต่คนร้ายที่รวมหัวกันฆ่ายกครัวตระกูลหลินยังมีชีวิตอยู่
เรื่องพวกนี้ ก็สมควรแก่เวลาสะสางแล้ว!
หากเป็นไปอย่างราบรื่น ต่อไปหลินสวินค่อยใคร่ครวญว่าจะกลับโลกชั้นล่างสักครั้ง
“อาหลู่ เจ้ามีแผนอื่นใช่หรือไม่”
จู่ๆ เจ้าคางคกก็เอ่ยขึ้น
“อืม เจ้าเฒ่าสารเลวที่เลี้ยงข้าจนโตบอกว่า หลังข้ากลับจากแดนมกุฎให้กลับบ้านสักรอบ แล้วจะบอกฐานะของข้าให้กับข้า”
อาหลู่พยักหน้า
ก่อนหน้านี้พวกหลินสวินต่างเข้าใจดีว่าอาหลู่ถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่โดยอาจารย์ ส่วนเรื่องเกี่ยวกับฐานะของตน แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้
“อยากให้พวกเราไปเป็นเพื่อนหรือไม่”
หลินสวินเอ่ยถาม
“ไม่ต้องหรอก เฒ่าสารเลวนั่นคงไม่ตอบรับแน่ๆ”
อาหลู่ส่ายหน้า
“เจ้าล่ะ”
หลินสวินเบนสายตามองไปทางนกทมิฬ
นกทมิฬอึ้งงัน จากนั้นก็ทำท่าจนปัญญา หน้าจ๋อย ทอดถอนใจกล่าวว่า “ถึงแม้ข้าแทบอยากกวาดล้างอารามกษิติครรภ์ให้ราบเป็นหน้ากลอง แต่ก็ต้องไปที่นั่นอีกครั้งอย่างเสียไม่ได้ ปีนั้นอริยสงฆ์ตู้จี้ทิ้งผลกรรมส่วนหนึ่งไว้ ข้าต้องไปจัดการสักหน่อย”
อารามกษิติครรภ์!
เมื่อเอ่ยถึงแดนเร้นอริยะแห่งนี้ ก็พาให้หัวคิ้วหลินสวินขมวดมุ่น ไอสังหารตลบอยู่ภายในใจ
ตั้งแต่สิบแปดศิษย์กษิติครรภ์เรื่อยมาจนถึงกู่ฝอจื่อ ล้วนเห็นเขาเป็นพวกนอกรีต หมายจะฆ่าเขาให้สิ้นซาก
หนำซ้ำจากที่นกทมิฬว่ามา เว้นเสียแต่หลินสวินตายแล้ว หาไม่อารามกษิติครรภ์ต้องเล่นงานหลินสวินไม่จบไม่สิ้นอย่างแน่นอน!
นี่ก็เหมือนกับไม่ตายไม่เลิกรา หลินสวินลอบตัดสินใจแน่วแน่นานแล้วว่า ช้าเร็วต้องมีสักวันที่ไปเหยียบอารามกษิติครรภ์นี่ให้ราบเป็นหน้ากลอง
“อันที่จริงเจ้าควรเป็นห่วงแม่นางจ้าวมากกว่า เส้นทางขากลับนางต้องแยกกับพวกเราชั่วคราว หาไม่คงออกจากแดนมกุฎไม่ได้”
เจ้าคางคกเอ่ยเตือน
ประโยคนี้ก็ไม่ผิด แรกเริ่มพวกเขากับจ้าวจิ่งเซวียนเข้าสู่แดนมกุฎจากสถานที่นำทางแตกต่างกัน เส้นทางย้อนกลับก็ต้องเป็นเช่นนี้ด้วย
แม้จะเป็นเช่นนี้ ทันทีที่เจ้าคางคกเอ่ยประโยคนี้ออกมาก็ยังพาให้จ้าวจิ่งเซวียนทำตัวไม่ถูกครู่หนึ่ง อดเตะใส่เขาไปหนึ่งทีไม่ได้ ร้องแหวว่า “ไม่ใช่จากลาเป็นตายเสียหน่อย ต้องให้เจ้าทำตัวเป็นคนดีด้วยหรือ”
หลินสวินก็ถีบใส่เขาไปหนึ่งคราเช่นกัน ยิ้มกล่าวว่า “ปากมาก!”
“พอมีผู้หญิงก็ไม่ต้องการแม้แต่พี่น้องแล้วหรือ นี่แม่งก็คือเห็นสตรีลืมคุณธรรมตามที่เล่าลือกันอย่างนั้นหรือ”
เจ้าคางคกวิ่งหนีพลางแหกปากลั่น เล่นเอาพวกอาหลู่ระเบิดหัวเราะไม่หยุด
……
แดนเผาเซียน
ภายในเมืองเผาเซียน ไฉไฉ่กอดโถดินเผาอย่างระมัดระวัง เดินบนท้องถนนพลุกพล่าน ในใจยังอาลัยอยู่ไม่น้อย
เดิมทีนางยังอยากเก็บน้ำค้างวิญญาณแสงเพลิงให้มากกว่านี้หน่อย ผลลัพธ์กลับได้ยินว่าแดนมกุฎใกล้จะปิดฉากลงแล้ว…
ตอนนี้ผู้บำเพ็ญเพียรทั่วทั้งแดนเผาเซียนต่างพากันสาละวนกับการเก็บข้าวของ วางแผนเดินทางจากไป
ร้านรวงส่วนหนึ่งภายในเมืองก็ทยอยปิดร้าน เริ่มนับจำนวนและรวบรวมสินค้าเพื่อเตรียมตัวออกจากแดนมกุฎ
ไฉไฉ่ได้ยินว่าตอนนี้ไม่เพียงแดนเผาเซียน สถานที่อื่นในสามพันแดนก็เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ภาพแล้วภาพเล่า
สิบปีแล้ว ผ่านไปไวจริงๆ…
ไฉไฉ่คิดไปพลาง ในใจก็ยิ่งอาลัยอาวรณ์มากขึ้นเรื่อยๆ
ทันใดนั้นนางหยุดฝีเท้า นัยน์ตาดั่งดาราเจือแววมาดมั่น หมุนตัวเหาะเหินมุ่งหน้าไปทางประตูเมืองอย่างรวดเร็ว
ก่อนที่จากไป นางอยากเก็บน้ำค้างวิญญาณแสงเพลิงอีกสักครั้ง
นางยังจำได้บนเวิ้งฟ้าหุบเขาแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากแดนเผาเซียนไปพันลี้ มีแสงเพลิงแพรวพราวผิดธรรมดาแถบหนึ่ง เหมือนเพลิงเทพลุกโชนบนเวิ้งฟ้าอย่างไรอย่างนั้น งดงามถึงที่สุด
“แม่นางท่านนี้ ได้ยินว่าในมือเจ้าครอบครองน้ำค้างวิญญาณแสงเพลิงมหาศาลหรือ”
เพียงแต่ไฉไฉ่เพิ่งออกนอกเมืองไม่ทันไร จู่ๆ ชายหนุ่มชุดดำคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นขวางอยู่เบื้องหน้า และเอ่ยปากสอบถาม
——