WSSTH ตอนที่ 2,732 : ข่าวดี ฟ้าประทาน
“ฮ่าๆๆ”
มุมปากหลงเฟยอวิ๋นยกยิ้มขื่นขม หัวเราะเย้ยหยันตนเอง “บางทีเรื่องนี้อาจจะชวนให้คนฟังยากจะเชื่อ แต่มันก็เป็นไปแล้วจริงๆ…ท่านพ่อของข้านั้น เพียงเพราะคิดว่าท่านแม่ของข้าเคยมีความสัมพันธ์กับชายอื่นหลังแต่งงานกันแล้ว…”
“กระทั่ง…ยังคิดไปว่าข้าอาจเป็นลูกของท่านแม่กับชายคนนั้น”
เล่าถึงตรงนี้หลงเฟยอวิ๋นก็หยุดลง
ต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจดีว่าตอนนี้จิตใจทั้งอารมณ์ของอีกฝ่ายดิ่งลงเหวขนาดไหน
“แต่ข้ายังอยากรู้นัก…ในเมื่อท่านพ่อแคลงใจในเรื่องนี้แต่แรก ไฉนจึงยังรับตัวท่านแม่กลับมาประเทศเถิงหลง…ไฉนไม่ฟาดสักฝ่ามือฆ่าท่านแม่ทิ้งไปเสียให้จบๆกันไป แล้วไยยังต้องปล่อยยให้ข้าเกิดออกกมาลืมตาดูโลก? อีกทั้งในเมื่อมันคลางแคลงใจนักหนา…ไยข้าเกิดออกมาแล้ว ไม่ฆ่าข้าทิ้งไปเสียตั้งแต่เป็นทารก?”
กล่าวถึงจุดนี้อารมณ์ของหลงเฟยอวิ๋นก็สับสนรวนเรนัก
สองหมัดยังกำแน่น เล็บจิกเข้าเนื้อจนหลั่งเลือด
ร่างเริ่มสั่นเทิ้มไปด้วยความอัดอั้น
ต้วนหลิงเทียนเงียบไม่พูดอะไรออกมาแม้ครึ่งคำ
หลังฟังมาถึงจุดนี้ เขาก็พอเข้าใจได้ว่าหลงเฟยอวิ๋นรู้สึกอย่างไร
‘ฮ่องเต้เถิงหลงนี่ก็จริงๆเลย…ในเมื่อพาแม่ขององค์ชาย 13 กลับประเทศมาแล้ว แถมยังปล่อยให้นางคลอดลูกออกมาอีก แต่เพราะความแคลงใจกลับทอดทิ้งคนเช่นนี้…เหอะๆ แบบนี้มิสู้ไม่ต้องพากลับมาแต่แรก…’
ต้วนหลิงเทียนได้แต่ทอดถอนในใจ และคิดว่าฮ่องเต้เถิงหลงทำแบบนี้ก็ไม่ถูก เพราะไม่ยอมทำอะไรให้มันชัดเจนแต่แรก
แถมเรื่องนี้ผู้คนยังรู้กันไปทั่ว
เขาย่อมจินตนาการได้ออก ว่าองค์ชาย 13 ต้องพบเจออะไรมาบ้างในอดีต
“น้องต้วนท่านลองนึกภาพดู…เด็กน้อยคนหนึ่งได้เติบโตมาโดยที่บิดาแคลงใจว่าใช่ลูกคนอื่นหรือไม่ แม้จะเป็นถึงองค์ชายคนหนึ่งทว่ากระทั่งสาวใช้กับขันทีในวังยังไม่แม้แต่จะเคารพ จริงอยู่ที่ผิวเผินทั้งหมดยังคงกระทำตามหน้าที่ แต่ลับหลังนั้นข้ารู้ดีว่าทั้งหมดดูแคลน รังเกียจทั้งตั้งแง่กับข้าเพียงใด”
“และตัวข้าก็ได้แต่เติบโตมาในสถานการณ์เช่นนั้น…จึงรับทาบว่าในโลกใบนี้ไม่มีผู้ใดสามารถให้ข้าพึ่งพิงได้ ท่านพ่อไม่เหลียวแลให้ค่า ยังไม่แม้แต่จะมอบเคล็ดวิชาอมตะของตระกูลราชวงศ์ให้ข้าใช้บ่มเพาะพลังด้วยซ้ำ!”
“และนั่น…ก็คือเคล็ดอมตะหนึ่งเดียวในประเทศเถิงหลงที่มีระดับขั้นปฐพี”
“ในเมื่อไม่อาจบ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดอมตะขั้นปฐพีได้ จึงเป็นธรรมดาว่าข้าก็ได้แต่บ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดอมตะขั้นลี้ลับเท่านั้น…แต่ข้าไม่เคยย่อท้อ ให้ผู้อื่นมีเคล็ดวิชาเลิศล้ำกว่าแล้วจะอย่างไร? ข้าเพียงอดทนขยันขันแข็งให้มากว่าผู้อื่นเป็นสองเท่าสามเท่า ยังกลัวว่าจะไล่ตามพวกมันไม่ทันอีกหรือ!”
…
ตอนนี้คล้ายหลงเฟยอวิ๋นลืมเลือนไปหมดสิ้นแล้ว ว่าชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้าเป็นแค่ ‘คนนอก’ ที่พึ่งเคยพบหน้ากันเป็นครั้งแรก แต่ทว่ามันกลับระบายอารมณ์ความผิดหวัง ทั้งอัดอั้นตันนใจออกมาจนหมด ที่สำคัญไม่เพียงแต่ร่างจะสั่นระริกไปเพราะความน้อยเนื้อต่ำใจ หางตายังปรากฏหยาดใสๆเอ่อคลอ
แต่เป็นธรรมดาว่าทันทีที่น้ำตาปรากฏออกมา มันก็ถูกพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดระเหยหายไปทันที
หลงเฟยอวิ๋นเล่าเรื่องราวชีวิตอันน่าเศร้าออกมาแบบนี้ ต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่นั่งฟังอย่างเงียบๆ
แต่เขารู้ดีว่าชะตาชีวิตขององค์ชาย 13 มันอาภัพถึงขนาดไหน และน่าเห็นใจเพียงใด
ที่สำคัญเรื่องนี้ไม่ง่ายเลยจริงๆ กว่าองค์ชาย 13 จะเติบโตขึ้นมาได้ และกลายเป็นคนที่โดดเด่นไม่ด้อยไปกว่าองค์ชาย 4 และองค์ชาย 7 แบบนี้
เส้นทางของพี่น้องคนอื่นๆเสมือนโรยด้วยกลีบดอกไม้ แต่มันล้วนมีแต่อุปสรรคขวากหนาม ไม่ทราบต้องพยายามมากกว่าผู้อื่นเป็นสิบๆหรือเป็นร้อยเท่า จนจะก้าวมาถึงจุดนี้ได้
“แต่ข้าจะทำอย่างไรได้เล่า ในเมื่อข้าไม่อาจเลือกเกิดได้ และข้าก็ไม่ย่นย่อต่อชะตาที่ฟ้ากำหนด ข้าจึงสู้ด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี และตอนแรกข้าก็ไม่ได้คิดชิงดีชิงเด่นกับพี่ 4 และพี่ 7 อะไร ที่ข้าทำไปก็แค่หวังว่าในสายตาท่านพอ จะมองเห็นข้าบ้าง…อนิจจา จนถึงวันที่ข้าต่อสู้มาจนไม่ได้ด้อยไปกว่าพี่ 4 กับพี่ 7 ก็แล้ว แต่สุดท้ายข้าก็ยังไม่แม้แต่จะอยู่ในสายตาของท่านพ่ออยู่ดี!”
“และทั้งหมดทั้งมวลที่ข้าต้องอดทนลำบากตรากตรำ ก็แค่หนึ่งความแคลงใจของท่านพ่อเพียงเท่านั้น!”
“ตั้งแต่ที่ข้าตัดสินใจได้ว่าให้พยายามอย่างไรก็ไม่อาจอยู่ในสายตาท่านพ่อ…เช่นนั้นข้าจะเหยียบย่ำพี่ 4 กับพี่ 7 ที่ท่านพ่อโปรดปรานมากที่สุด ให้ไม่อาจเทียบข้าได้ และก้าวขึ้นนั่งบัลลังก์นั่นเอง!”
กล่าวถึงประโยคนี้ สองตาของหลงเฟยอวิ๋นก็หวนคืนสู่ความแน่วแน่ แหลมคม ประกายเยียบเย็นหนึ่งยังสว่างโร่ออกมา
ครู่ต่อมาอารมณ์ที่ลุกโหมขององค์ชาย 13 ก็ค่อยๆหวนคืนสู่ความสงบ
“ขออภัยน้องต้วนด้วย ข้าดันมาระบายอะไรให้เจ้าฟังก็ไม่รู้…”
หลังหวนกลับมาสติแจ่มใสแล้ว หลงเฟยอวิ๋นก็ยิ้มเจื่อนๆขอโทษต้วนหลิงเทียน
“ทั้งหมดไม่ง่ายกับท่านเลย…หากข้าเป็นท่าน ไม่แน่ว่าอาจพังทลายไปแต่แรก ยากจะยืนหยัดได้เช่นท่าน”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกด้วยความชื่นชม
หากเขาไม่ได้ใช้ชีวิตมา 2 ชาติภพ แต่เกิดมาเจอสถานการณ์อย่างองค์ชาย 13 เลย ไม่แน่ว่าคงยากจะเติบโตขึ้นท่ามกลางความลำเค็ญเช่นนี้ได้ สุดท้ายอาจจะยอมจำนนต่อโชคชะตาของตัวเอง และปล่อยตัวปล่อยใจใช้ชีวิตไปวันๆเป็นนายน้อยจ้าวสำราญ เสพรับความสุขจอมปลอมเพื่อรอวันตาย…
“น้องต้วน ขอท่านอย่าได้กังวลว่าข้าจะทดสอบท่านอะไรแบบนั้น…เพราะข้าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำอะไรเช่นนั้น”
หลงเฟยอวิ๋นกล่าวสืบต่อว่า “ไม่ว่าท่านจะมีความเป็นมายิ่งใหญ่หรือไม่ สุดท้ายเราท่านก็ไร้เรื่องราวบาดหมาง และข้าก็ไม่คิดช่วยพี่ 4 ยืนยันอะไรให้คุณหนูสกุลโจวมีช่องทางเล่นงานท่าน…ข้าแค่อยากบอกท่านให้รู้ไว้ว่า เคล็ดอมตะขั้นปฐพีที่ข้ามีนั้น มิใช่เคล็ดอมตะที่สืบทอดต่อกันมาของตระกูราชวงศ์”
“กล่าวไปแล้ว…เคล็ดอมตะที่ข้ามี ก็เกี่ยวข้องกับชายที่มีสัมพันธ์คลุมเครือกับท่านแม่อย่างแยกไม่ออก”
เอ่ยถึงท้ายประโยค หลงเฟยอวิ๋นก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง
“ข้าขอฟังรายละเอียดก่อนแล้วกัน”
ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะยืนยันได้ว่าที่พูดมาทั้งหมดองค์ชาย 13 กล่าวออกมาจากอารมณ์ความรู้สึกในใจ แต่เขาก็ไม่ได้ประมาท และเผยความสนใจอะไรต่อเคล็ดอมตะขั้นปฐพีมากมายนัก ดั่งคำกล่าว ‘มีเพียงระวังจึงพายเรือข้ามฝั่งได้หมื่นปี’
“ก่อนหน้าข้ายังไม่ได้เล่าเรื่องหนึ่งให้น้องต้วนฟัง…สาเหตุที่ท่านพ่อบังเกิดความแคลงใจสงสัยว่าข้าอาจจะไม่ใช่ลูกแท้ๆนั้น เป็นเพราะตอนที่ยังไม่ได้กลับประเทศอมตะเถิงหลง ท่านแม่ของข้าตอนอยู่กับท่านพ่อ ก็มีไปมาหาสู่กับชายที่มีสัมพันธ์คลุมเครือผู้นั้นอยู่บ้าง”
หลงเฟยอวิ๋นกล่าว
“อ่า”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ เผยทีท่าสนใจอยากทราบเรื่องขององค์ชาย 13
“ชายที่มีสัมพันธ์คลุมเครือกับท่านแม่ที่ว่า พึ่งจะปรากฏตัวเข้ามาในชีวิตข้าเมื่อปีที่แล้ว…กล่าวให้ชัดคือ เคล็ดอมตะขั้นปฐพีที่ข้ามีอยู่ตอนนี้ ก็เป็นเขาที่ใช้ทรัพย์สินทั้งชีวิตแลกมาให้ข้า”
หลงเฟยอวิ๋นกล่าวสืบต่อ
“หืม?”
ต้วนหลิงเทียนแปลกใจ
“ข้ายังได้รู้เรื่องราวทั้งหมด…ชายคนนั้นเป็นคนที่หลงรักท่านแม่จริงๆ ทว่ามันเป็นความรู้สึกดีๆที่มีให้กันของเด็กน้อยไม่ประสา ไม่ได้เคยมีความสัมพันธ์ชิดใกล้อะไรกันทั้งสิ้น อย่างไรก็ตามท่านพ่อมักไม่เชื่อ และฝังใจว่าท่านแม่สมควรมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับชายผู้นั้น
“คนเราเมื่อใกล้ตาย วาจาที่ออกมาก็ล้วนมีแต่ความจริง…ข้าเชื่อว่าเขาไม่จำเป็นต้องโกหกเรื่องนี้กับข้า”
“จากที่เขาบอก เป็นเขารักท่านแม้ข้างเดียว แต่สุดท้ายท่านแม่ก็ไม่ได้รักตอบ และเลือกที่จะอยู่กับท่านพ่อ…ชายคนนั้นจึงเลือกที่จะออกเดินทางไปทั่วแดนร้างเพื่อทำใจ จนเมื่อมารู้ทีหลังว่าท่านแม่ให้กำเนิดข้า และยังได้รับทราบเรื่องราวที่แพร่ออกไป ว่าท่านพ่อสงสัยในชาติกำเนิดของข้า…”
“เดิมทีชายคนนั้นก็คิดจะมาพาตัวข้าออกไปให้พ้นจากชีวิตแบบนั้น…แต่พลังฝีมือของเขามีจำกัด จึงยากจะบุกเข้ามาในวังหลวงใต้จมูกท่านพ่อ”
“ต่อมา เพื่อให้ได้รับเคล็ดอมตะขั้นปฐพีแล้ว ไม่เพียงแต่จะจ่ายทรัพย์สินทั้งหมดไป ยังต้องแลกมาด้วยชีวิตอีกด้วย ทว่าก่อนที่เขาจะตาย ก็ได้ส่ง ชิวหลิงมาให้ข้า และให้ชิวหลิงคอยติดตามรับใช้ข้า 1,000 ปี…เคล็ดอมตะขั้นปฐพีที่ว่าก็ฝากชิวหลิงนำมามอบให้ข้ารวมถึงคำสั่งเสีย ทุกสิ่งเป็นเพราะเขารู้ว่าท่านพ่อไม่ยอมมอบเคล็ดอมตะประจำตระกูลราชวงศ์ให้ข้า”
“นี่ก็คือชิวหลิง…อดีตผู้ติดตามของชายที่หลงรักท่านแม่ของข้าตั้งแต่ยังเยาว์ ด่านพลังบรรลุยอดเซียนอมตะขั้นสวรรค์ และตอนนี้ก็มาติดตามรับใช้อยู่ข้างกายข้าตามคำสั่งเสียของชายคนนั้น”
กล่าวถึงประโยคท้าย หลงเฟยอวิ๋นก็ผายมือไปทางชายวัยกลางคนด้านหลัง แนะนำให้ต้วนหลิงเทียนรู้จัก
ยอดเซียนอมตะขั้นสวรรค์!
ลูกตาต้วนหลิงเทียนหดหยีลงทันใด มองไปยังชายวัยกลางคนที่ยืนตัวตรงดั่งหอกหลังหลงเฟยอวิ๋นอีกครั้ง ยังอดเผยให้เห็นถึงความตกใจอย่างปิดไม่มิด
ไม่ใช่เพราะตกใจกับด่านพลังฝึกกปรือของชายวัยกลางคนแต่อย่างใด แต่ตกใจกับกลิ่นอายพลังที่แผ่ออกมาทั่วร่างเป็นธรรมชาติของอีกฝ่าย ซึ่งเป็นกลิ่นอายที่ทำให้เขารู้สึกคุ้นเคย จึงรู้ว่านั่นมีความหมายอย่างไร!
‘มีแต่ต้องด่านพลังฝึกปรือบรรลุถึงขั้นนี้สินะ ทั่วร่างถึงจะแผ่กลิ่นอายพลังลักษณะนี้ออกมา ไม่คิดเลยจริงๆ…ที่แท้นางกลับเป็นถึงยอดเซียนอมตะขั้นสวรรค์แล้ว?’
ในใจต้วนหลิงเทียนเริ่มปรากฏร่างหนึ่งขึ้นมา
ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นมู่หรงปิง ศิษย์ของนิกายอมตะสือหัง ที่เขาลั่นวาจาไว้ว่านางเป็นได้แค่ผู้หญิงของเขา
ถึงแม้ในอดีตเขาจะรู้สึกได้ว่าพลังฝึกปรือของมู่หรงปิงไม่ธรรมดา
แต่เขาก็ไม่คิดเลยจริงๆ
ว่ามู่หรงปิงจะบรรลุถึงยอดเซียนอมตะขั้นสวรรค์แล้ว
“และเคล็ดอมตะขั้นปฐพีที่ข้าคิดเอ่ยให้น้องต้วนฟัง ก็คือเคล็ดอมตขั้นปฐพีที่ข้ากำลังฝึกปรืออยู่ ยังเป็นเคล็ดอมตะขั้นปฐพีที่ชายคนรักในวัยเยาว์ของท่านแม่แลกด้วยชีวิต และขอให้ชิวหลิงนำมาให้ข้า”
หลงเฟยอวิ๋นกล่าว
“พี่หลง ที่แท้ท่านคิดให้ข้าทำอะไรงั้นหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนที่ดึ่งสติกลับมาจากอาการเหม่อลอย ก็มองถามหลงเฟยอวิ๋นตรงๆ
ใต้หล้าในเลยมีโรงทานแจกฟรี
เขาเชื่อว่าการที่หลงเฟยอวิ๋นเล่าเรื่องราวทุกอย่าง และเลียบๆเคียงๆเชิงอยากรู้ว่าเขาต้องการเคล็ดอมตะปฐพีไหม ไม่พ้นต้องการอะไรจากเขาแน่นอน
หาไม่แล้ว ใครยังจะเอาเคล็ดวิชามาให้ผู้อื่นเปล่าๆปลี้ๆ
“ดูเหมือนว่าน้องต้วนยังคงสนใจเคล็ดอมตะขั้นปฐพีจริงๆ…เช่นนั้นน้องต้วนก็มิได้มาจากนิกายยิ่งใหญ่อันใดนอกแดนร้าง?”
หลงเฟยอวิ๋นยิ้มถาม
“สำคัญด้วยเหรอ?”
ต้วนหลิงเทียนถามกลับ
อันที่จริงตอนแรกเขาก็ยังให้ความสำคัญกับการระวังตัว และชั่งน้ำหนักว่าจะเอาอย่างไรดี
หากเขาเผยความสนใจในเคล็ดอมตะขั้นปฐพีของหลงเฟยอวิ๋น ย่อมหมายความว่าเรื่องที่เขาเสแสร้งกับองค์ชาย 4 ไม่พ้นต้องถูกเปิดเผย
อย่างไรก็ตามความยั่วยวนใจของเคล็ดอมตะขั้นปฐพีก็มีไม่น้อย
และเมื่อไต่รตรองดูจากคำพูดคำจาและอารมณ์ความรู้สึกที่หลงเฟยอวิ๋นเผยออกมาก่อนหน้า รวมถึงเรื่องที่อีกฝ่ายไร้เหตุผลที่จะช่วยองค์ชาย 4 หรือคุณหนู 4 สกุลโจวเปิดโปงเขา เช่นนั้นเขาจึงเลือกที่จะเผยความสนใจต่อเคล็ดอมตะขั้นปฐพีออกมา
เพราะสุดท้ายแล้วเคล็ดอมตะขั้นปฐพีก็มีความสำคัญกับเขาในตอนนี้เป็นอย่างมาก กล่าวได้ว่าเป็นสิ่งที่เขาต้องการที่สุดในตอนนี้เลยก็ว่าได้
เพราะข้างกายเขามีฮ่วนเอ๋ออยู่ จึงไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะ
สำหรับทรัพยากรบ่มเพาะอย่างพวกเม็ดยาอะไร เขาก็มีทางหามาได้
จะมีก็แต่เคล็ดอมตะที่ใช้ในการบ่มเพาะโคจรพลังเท่านั้น ที่เขาไร้หนทาง…
ดังนั้นเมื่อมีเคล็ดอมตะขั้นปฐพีมาวางอยู่ตรงหน้า จึงทำให้เขาสนใจเป็นอย่างมาก!
“ไม่สำคัญ”
หลงเฟยอวิ๋นส่ายหัวไปมา อีกทั้งรอยยิ้มบนใบหน้ายิ่งมาก็ยิ่งฉีกกว้างสดใส “กล่าวไปแล้ว…นี่นับเป็นข่าวดีประหนึ่งฟ้าประทานให้ข้แล้วจริงๆ!!”