ตอนที่ 1290 ทำให้กาลอวกาศเป็นเส้นตรง

Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ

ณ สำนักงานใหญ่ ILHCRC

ในออฟฟิศที่เต็มไปด้วยไวท์บอร์ด

ศาสตราจารย์เว่ยฮงมองดูหนึ่งในไวท์บอร์ดพวกนี้ ซึ่งถูกขีดเขียนจนเกือบเต็ม เขาถือปากกามาร์กเกอร์อยู่ในมือ เขาครุ่นคิดอยู่นาน

จากนั้น เขาพูดโพล่งทำลายความเงียบ

“อ่าฮะ!”

ศาสตราจารย์ด็อบริกที่ยืนอยู่ข้างเขารีบถามว่า “มีอะไร?”

ตอนนี้ทั้งสองพร้อมหลัวเหวินเซวียนกำลังพูดคุยถึงปัญหาของ ‘สาเหตุที่เป็นไปได้ของการรบกวนสนามความโน้มถ่วงโดยอนุภาคซี’ เว่ยฮงเขียนความเป็นไปได้จากมุมมองคณิตศาสตร์ที่ไวท์บอร์ด

แต่ในระหว่างที่อีกสองคนตั้งใจฟัง จู่ๆ เขาหยุดพูด เขายืนนิ่งอยู่ตรงนั้นนานราวกับว่าความคิดของเขาถูกบางอย่างขัดไว้

ศาสตราจารย์ด็อบริกคิดว่าเขาเพิ่งได้ค้นพบสุดยอดไอเดีย ด็อบริกจึงรีบหันไปมองเขา

ศาสตราจารย์เว่ยฮงไตร่ตรองอยู่สองนาที เขาปั้นไอเดียในหัวให้เป็นภาษาที่เรียบง่ายและเข้าใจได้ก่อนที่จะพูด

“ส่วนสำคัญของแรงโน้มถ่วงคือการบิดกาลอวกาศของตัววัตถุเอง อนุภาคซีเคลื่อนที่จากมิติสูงไปต่ำไม่ได้รบกวนสนามความโน้มถ่วงเอง แต่มันเปลี่ยนเส้นโค้งของกาลอวกาศที่สัมพัทธ์กับสนามความโน้มถ่วง”

เขาหยิบปากกาขึ้นมาเขียนสองวงกลมขนานบนไวท์บอร์ดโดยเชื่อมส่วนบนกับส่วนล่างของวงกลมด้วยสองเส้นโค้ง

“สิ่งนี้คือเส้นโค้งในกาลอวกาศ โดยสมมติว่าเส้นโค้งคือ x จากการสมมติว่าสองเส้นนี้เป็นเส้นของสนามความโน้มถ่วงในกาลเวลาตามแบบแผน เมื่ออนุภาคซีกวัดแกว่งทั้งสองด้าน ค่าของ x เปลี่ยนไป และถูกลดลงจนใกล้เคียงกับศูนย์ ทั้งสองโค้งนี้ยังสามารถยืดตรงได้ไม่จำกัด ซึ่งเข้าใกล้เส้นตรง—”

ในระหว่างที่หลัวเหวินเซวียนมองดูสองเส้นตรงที่ศาสตราจารย์เว่ยฮงวาดขึ้นระหว่างสองเส้นโค้ง เขามีสีหน้าตกใจ

“ผมเข้าใจที่คุณจะสื่อ แต่มันฟังดู…แปลกเล็กน้อย ในอีกแง่หนึ่งเราต้องการแค่เครื่องชนอนุภาคแฮดรอนสองเครื่องเพื่อสร้างประตูมิติที่อีกฟากของกาแล็กซี่?”

เว่ยฮงส่ายหน้า

“การเปรียบเทียบนี้ค่อนข้างไม่ตรง ในทางเทคนิคมันเป็นเหมือนทางด่วนระหว่างสองจุดพีคที่เป็นลูกคลื่นมากกว่า”

จากทฤษฎีสัมพัทธ์ของไอน์สไตน์ สสารและเวลาจะบิดเบี้ยวเนื่องจากการมีอยู่ของสสาร ในจักรวาลคลาสสิกที่สสารแพร่หลาย จักรวาลสามารถสังเกตได้โดยตรง”

“ในจักรวาลโค้งนี้เส้นตรงเดินทางจากจุด A ไป B แต่ในความเป็นจริงในจักรวาลมิติสูงมันเดินทางเป็นเส้นโค้ง”

“ถ้าเกิดข้อคาดการณ์เหว่ยขิงเว่ยถูกต้อง นั่นหมายความว่าพวกเขาสามารถทำให้กาลอวกาศโค้ง ‘เป็นเส้นตรง’ และทำตาม ‘เส้นตรง’ ที่แท้จริงโดยตรงผ่านจักรวาลโค้งเพื่อไปที่ใดก็ตามที่อยากไป”

จากการใช้ดาวอังคารเป็นตัวอย่าง ระยะทางที่ใกล้ที่สุดระหว่างดาวอังคารกับโลกคือ 55 ล้านกิโลเมตร และมันใช้เวลาเดินทาง 182 วินาทีเพื่อด้วยความเร็วแสงเพื่อไปถึงจุดหมาย

แต่ถ้ากาลเวลาที่โค้งระหว่างทั้งสองถูก ‘ทำเป็นเส้นตรง’ ระยะทางนี้จะสามารถลดลงได้เป็น 5.5 ล้าน หรือ 550,000 กิโลเมตร

ดังนั้นถึงแม้ว่ามนุษย์ไม่มีวิธีที่จะเอาชนความเร็วแสงได้ แต่พวกเขายังสามารถก้าวข้ามขีดจำกัดของความเร็วแสงและเดินทางผ่านจักรวาลในระยะเวลาอันสั้นได้

หลัวเหวินเซวียนรู้สึกอึ้งจากความเป็นไปได้ในวงกว้างที่เผยออกมาจากทฤษฎีนี้ เขารู้สึกตะลึงไปนานก่อนที่เขาค่อยๆ มีสีหน้าจริงจัง

“มีวิธีพิสูจน์มันไหม?” เขาถาม

“ยาก” เว่ยฮงมองดูการคำนวณบนไวท์บอร์ดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เขายิ้มอย่างขมขื่นในระหว่างที่กำลังพูด “เอาจริงแล้ว มันยากมาก สิ่งนี้มีปัญหาย่อยซับซ้อนหลายอย่าง และมันยังเกี่ยวข้องกับปัญหาที่ซับซ้อนที่สุด แมนิโฟลด์อนุพันธ์มิติสูงและตรีโกณมิติพีชคณิต มันไม่ใช่การพูดเกินจริงเลยว่าถ้าปัญหานี้ถูกแปลงเป็นปัญหาคณิตศาสตร์ ความยากของมันอยู่ที่ระดับข้อคาดการณ์ของปวงกาเร!”

หลัวเหวินเซวียนและศาสตราจารย์ด็อบริกมองหน้ากัน

แม้ว่าสำหรับคนหลังที่ไม่เชี่ยวชาญเรื่องคณิตศาสตร์ เขายังรู้ถึงเจ็ดปัญหารางวัลมิลเลนเนียม

ข้อคาดการณ์ปวงกาเรเป็นยอดมงกุฎของตรีโกณมิติอนุพันธ์ และมันใช้การพยายามอย่างหนักเกือบจนหนึ่งศตวรรษโดยนักคณิตศาสตร์สามรุ่นเพื่อดึงมันลงจากยอดภูเขา

ถ้าความยากของการแก้ปัญหานี้ยากกว่าข้อคาดการณ์ปวงกาเร…

งั้นพวกเขาแทบไม่มีโอกาสทำสำเร็จ

“ถ้าเราพิสูจน์ข้อสรุปนี้ได้ ชื่อของเราจะถูกจารึกในประวัติศาสตร์” ศาสตราจารย์ด็อบริกพูดขึ้น

หลัวเหวินเซวียนยิ้มและพูดว่า “มันเป็นมากกว่าประวัติศาสตร์…เราจะอยู่ระดับเดียวกับไอน์สไตน์”

สิ่งนี้เป็นประตูมิติสู่ขอบกาแล็กซี่!

ใครก็ตามที่หาประตูมิติได้จะเป็นบิดาแห่งยุคอินเตอร์สเตลลาร์

ถึงแม้ว่ามันเป็นแค่การหาวิธีทางทฤษฎีในการนำทางระบบดาวเคราะห์ มันก็ยังเป็นเรื่องสำคัญ ถ้ามีใครในอนาคตอันไกลสามารถนำทางระยะไกลโดยใช้ทฤษฎีของพวกเขา พวกเขาจะได้รับเกียรติมากกว่านิวตันและไอน์สไตน์รวมกัน

ศาสตราจารย์เว่ยฮงก็ถอนหายใจเสียงเบา

“น่าเสียดาย แต่ทฤษฎีนี้ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปทำสมบูรณ์ได้…อย่างน้อยมันก็อยู่เหนือขีดความสามารถของผม”

“แล้วศาสตราจารย์วิทเทนล่ะ”

“ถ้าเขาอยู่ในวัยสามสิบปี เขาอาจจะทำได้ แต่ตอนนี้…มันแทบเป็นไปไม่ได้เลย” หลังจากที่หยุดนิ่งไป เว่ยฮงพูดต่อ “จนถึงตอนนี้คนที่มีหวังที่สุดในการแก้ปัญหานี้คือศาสตราจารย์ลู่”

หลัวเหวินเซวียนเห็นสายตาที่สองคนนี้มองเขามา

“คุณมองผมทำไมล่ะ?”

ศาสตราจารย์เว่ยฮงพูดว่า “คุณสนิทกับศาสตราจารย์ลู่ที่สุด…เรามีโอกาสสำเร็จสูงกว่า ถ้าคุณไปขอให้เขาช่วย”

ด็อบริกรีบพยักหน้าเห็นด้วย

“ผมคิดเหมือนกัน”

ประสบการณ์ที่ถูกกักตัวในสนามบินจินหลิงน่ากลัว

“ถึงผมอยากจะทำผมก็ทำไม่ได้ ผมเป็นเพื่อนเขา…แต่ตอนนี้เขาปลีกวิเวกอยู่ ผมไม่สามารถติดต่อเขาได้”

หลัวเหวินเซวียนอดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าทำอะไรไม่ถูกออกมา

เอาตามตรง เขาครุ่นคิดว่าเขาเป็นเพื่อนหรือลูกศิษย์ของลู่โจวกันแน่

ศาสตราจารย์ด็อบริกไม่อยากยอมแพ้ เขาจึงพยายามเป็นครั้งสุดท้าย

“แต่…ถ้าคุณไม่ลองจะรู้ได้อย่างไรล่ะ?”

“ถึงเราจะติดต่อเขาได้เขาก็ไม่น่าจะใช้เวลาเยอะกับทฤษฎีที่ไม่น่าประยุกต์ได้…จนกว่ามันจะคุ้มเสี่ยงจริงๆ”

หลัวเหวินเซวียนยักไหล่และพูดต่อ “งั้นสำหรับพวกเรา ทางออกเดียวตอนนี้คือการเขียนข้อคาดการณ์ในงานวิจัยและเผยแพร่มัน ถ้ามันทำให้เขาสนใจ ปัญหานี้อาจถูกแก้ไขได้ ไม่งั้น…ผมคิดว่ามันไม่คุ้มที่จะผลาญเวลากับมันมากไป”

มันเป็นทางออกที่ดีที่สุด

จากที่หลัวเหวินเซวียนรู้เกี่ยวกับลู่โจว แม้ว่าเขาจะแทบไม่ตอบข้อความเมื่อปลีกวิเวกอยู่ เขาก็จะไม่แยกตัวเองออกจากโลกวิชาการโดยสมบูรณ์

เขายังคงจะอ่านงานเขียนวิจัยล่าสุด

ถ้าเกิดลู่โจวไม่ตอบสนอง…

นั่นหมายความว่าลู่โจวไม่คิดว่าโปรเจกต์วิจัยนี้คุ้มค่าที่จะใช้เวลาด้วย

ถ้ามันเป็นแบบนี้ หลัวเหวินเซวียนรู้สึกว่าพวกเขาควรยอมแพ้

ท้ายที่สุดแล้วการล้ำเกินความเร็วแสงฟังดูเพี้ยนไปหน่อย เอาตามตรงตอนนี้เขาก็ยังคลางแคลงใจอยู่ อย่างไรเสียมันมีคำอธิบายที่น่าเชื่อถือมากกว่า

“มันเป็นทางเลือกเดียวที่เรามี…”

หลังจากเงียบไปสักพัก ศาสตราจารย์เว่ยฮงก็พยักหน้า ถึงเขาจะไม่ชอบรอคอยสิ่งที่ไม่แน่นอน มันดูไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่า

“…ผมจะใช้คณิตศาสตร์ให้มากที่สุดเพื่อบรรยายข้อคาดการณ์นี้อย่างเป็นทางการมากขึ้น”

หลัวเหวินเซวียนมองเขาและพยักหน้า

“งั้นผมต้องขอบคุณคุณล่วงหน้า”

ทั้งสามเตรียมกลับไปพูดคุยเรื่องก่อนหน้า

แต่โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงหลัวเหวินเซวียนดังขึ้นกะทันหัน

“รอเดี๋ยวนะ…ผมต้องรับสายนี้”

ในฐานะเลขาธิการของ ILHCRC เขามักต้องรับสายจำนวนมากในทุกวัน

ถึงแม้ว่าเขาไม่อยากสนใจสายพวกนี้ เมื่อพิจารณาว่าลู่โจวเป็นประธานแนว ‘ปล่อยงาน’ เขาก็ต้องอดทนแล้วทำงานของลู่โจว

มันไม่มีชื่อผู้ติดต่อ แต่หลัวเหวินเซวียนก็ยังรับสาย

เว่ยฮงและด็อบริกไม่ได้รบกวนเขา พวกเขาหยุดพูดคุยเรื่องนี้และรอให้เพื่อนร่วมทีมกลับมา

แต่แทนที่จะได้ยินเสียงฝีเท้าหลัวเหวินเซวียน พวกเขากลับได้ยินเสียงร้องประหลาดมาแต่ไกล เสียงนั้นน่าจะเป็นของศาสตราจารย์หลัวเหวินเซวียน แต่มันเป็นเสียงแหลมสูงมาก—

ราวกับว่าเสียงของเขาเดินทางผ่านกาลเวลาที่โค้ง

ด็อบริกมองหน้าเว่ยฮงและถามว่า “เขากำลังพูดอะไรนะ?”

“ผมไม่รู้…”

เว่ยฮงเหลือบมองไปทางหลัวเหวินเซวียนด้วยสีหน้าตื่นตระหนก เมื่อเว่ยฮงกำลังคิดว่าจะออกไปดูนอกห้องว่าเกิดอะไรขึ้น เขาเห็นหลัวเหวินเซวียนเดินเข้ามาพร้อมสีหน้ามึนงง

ศาสตราจารย์ด็อบริกรีบลุกขึ้นและถามว่า “เกิดอะไรขึ้น?”

เว่ยฮงลุกขึ้นเช่นกัน

“ใครอยู่ในสายน่ะ”

“ลู่โจว…”

หลัวเหวินเซวียนกลืนน้ำลาย เขาพูดว่า “ตอนนี้…เรากำลังคุยกันว่าอนุภาคซีที่กวัดแกว่งสามารถบิดกาล-อากาศได้หรือไม่?”

“อืม…ทำไมล่ะ?!”

ศาสตราจารย์เว่ยฮงก็นึกออกได้ในทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น หลัวเหวินเซวียนพยักหน้าให้และพูดว่า

“อืม”

“เขาพิสูจน์มันแล้ว”

“เมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้เอง”

“ข้อพิสูจน์ทางคณิตศาสตร์…”