บทที่ 1387 ยักษ์จินนี่ในตะเกียงวิเศษ

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,387 ยักษ์จินนี่ในตะเกียงวิเศษ

บนฝ่ามือของเซียวอวี้นอกจากมียาลูกกลอนเม็ดหนึ่งแล้ว ก็ยังมีกุญแจสีดำดอกหนึ่งอีกด้วย

หลินเป่ยเฉินเข้าใจทุกอย่างโดยทันที

ปรากฏว่าเซียวอวี้ผู้นี้คือคนที่เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงจัดเตรียมมานั่นเอง

ให้ตายสิ

คิดไม่ถึงเลยจริง ๆ

เทพธิดาสาวสวยที่วัน ๆ เอาแต่ร่ำสุราเช่นนั้น คิดไม่ถึงเลยว่าจะสามารถทำให้นักรบเทวะชั้นนำอย่างเซียวอวี้ถึงกับกล้าทรยศต่อสภาเทพเจ้าเช่นนี้

เมื่อรับยาลูกกลอนและกุญแจมาถืออยู่ในมือ หลินเป่ยเฉินก็ลุกขึ้นหันหาประตูทางเข้าวิหารโดยทันที

ประตูสีดำขนาดใหญ่มีรูอยู่ตรงกลาง

หลินเป่ยเฉินนำแผ่นป้ายสีดำที่ใต้เท้าเหลียนมอบให้มาเสียบเข้าไป

ครืน!

ประตูศิลาสีดำทมิฬค่อย ๆ เลื่อนเปิดออกอย่างเชื่องช้า

มวลอากาศที่อัดแน่นอยู่ด้านในตีตลบออกมา

หลินเป่ยเฉินเดินเข้าสู่ด้านในอย่างแช่มช้า

สายลมที่เย็นเฉียบพัดมาปะทะใบหน้าของเขากลางความมืด

หลินเป่ยเฉินรู้สึกเหมือนตนเองกำลังก้าวเท้าเข้าสู่โลกหลังความตาย

ปึง!

ทันใดนั้น ประตูทางด้านหลังก็ปิดลงทันที

รอบกายมีแต่ความมืดมิด

ป๊อก!

หลินเป่ยเฉินยกมือดีดนิ้ว

ลูกไฟขนาดเล็กลอยขึ้นมาในอากาศ

แต่ลูกไฟของเขาสามารถแผ่รัศมีแสงสว่างได้ในระยะเพียงวาเศษเท่านั้น

ต้องกล่าวว่าวิหารต้องห้ามมีความมืดมิดมากเกินไป

หลินเป่ยเฉินอดประหลาดใจไม่ได้

เขามีพลังอัคคีเทวะ สามารถเผาได้แม้แต่ร่างกายเทพเจ้า

แต่คิดไม่ถึงเลยว่ากลับไม่สามารถขับไล่ความมืดมิดในวิหารแห่งนี้ได้สำเร็จ

เพราะอะไรกันนะ?

ระยะการมองเห็นคับแคบมากเกินไป

หลินเป่ยเฉินนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงรีบหยิบไฟฉายออกมาจากแอปไป่ตู้ เน็ตดิสก์

นี่คือไฟฉายความแรงสูงที่เขาซื้อมาจากแอปเถาเป่า

นี่คือไฟฉายที่พวกหน่วยกู้ภัยมักจะใช้สำหรับการตามหาคน

ตัวอักษรที่ปรากฏบนไฟฉายบอกชัดถึงการลอกเลียนแบบยี่ห้อไฟฉายชื่อดัง

แต่ถึงจะเป็นของก๊อปก็ช่างมันเถอะ…

ขอแค่ใช้งานได้ดีก็พอแล้ว

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไฟฉายกระบอกนี้ย่อมแตกต่างจากเว็บไซต์ทั่วไป เมื่อเปิดสวิตช์ส่องลำแสงไปข้างหน้า หลินเป่ยเฉินก็สามารถมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างในระยะห้าสิบวาได้อย่างชัดเจน

“สุดยอดเลยแฮะ”

หลินเป่ยเฉินร่ำร้องออกมาด้วยความดีใจ

นี่คืออุปกรณ์สำหรับการเอาตัวรอดที่หลินเป่ยเฉินจัดเตรียมเอาไว้เพื่อใช้ยามตนเองตกอยู่ในความมืดมิด

เมื่อมีไฟฉายอยู่ในมือ เขาก็ไม่ต้องกลัวว่าจะมองไม่เห็นสิ่งใดอีกแล้ว

พื้นวิหารมีสีดำราวกับน้ำหมึก

ห่างออกไปยี่สิบกว่าวา ขั้นบันไดสีดำก็ปรากฏขึ้น

มันเป็นบันไดเวียนที่ทอดนำขึ้นสู่ด้านบน

สภาพภายในวิหารต้องห้ามแตกต่างจากสิ่งที่หลินเป่ยเฉินเคยคาดคิดเอาไว้

ไม่มีรูปปั้น ไม่มีแท่นบูชา

มหาวิหารแห่งนี้มีสภาพเหมือนห้องสมุด

รอบข้างบันไดเวียนตั้งไว้ด้วย ‘ชั้นวางหนังสือ’ สีดำทะมึน

ชั้นวางหนังสือนี้ดูเหมือนจะมีความสูงเทียบเท่ากับความสูงของวิหาร

ชั้นวางหนังสือสูงมากจนต้องแหงนมอง แม้จะใช้ไฟฉายในมือส่องขึ้นไป ก็ยังไม่สามารถมองเห็นด้านบนสุดของชั้นวางหนังสือได้อยู่ดี

แต่จะบอกว่ามันเป็นชั้นวางหนังสือก็คงไม่ถูกต้องนัก

เพราะพื้นที่ส่วนใหญ่ของชั้นวางเหล่านี้มีแต่ความว่างเปล่า

ไม่ทราบเป็นเพราะเหตุใด หลินเป่ยเฉินถึงได้เกิดความรู้สึกสังหรณ์ใจประหลาด เขาคิดว่าครั้งหนึ่งชั้นวางหนังสือเหล่านี้คงจะต้องมีสิ่งของที่ล้ำค่าวางเอาไว้ แต่ได้มีใครบางคนขโมยออกไปแล้ว

ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินก็เพิ่งนึกได้ว่าตนเองลืมถามเรื่องสำคัญที่สุดไปเสียสนิท

ตำแหน่งเทพเจ้าอยู่ที่ใด?

จะให้เข้าไปคัดเลือกได้อย่างไร?

ไม่ว่าจะเป็นเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงหรือใต้เท้าเหลียน ต่างก็ไม่เคยบอกข้อมูลที่ชัดเจนเอาไว้เลย

นี่มัน…

แผนการหละหลวมเกินไปแล้ว

หลินเป่ยเฉินรู้สึกเหมือนคนหลงทาง

“เอาไงดีวะ?”

“เราจะเดินหาเอง หรือว่าจะไปเปิดห้องเก็บสมบัติของท่านมหาเทพก่อนดี?”

“ถ้าเราเดินหาตำแหน่งเทพเจ้าให้ตัวเองได้สำเร็จ งั้นก็คงต้องถูกไล่กลับออกจากวิหารเร็วขึ้นน่ะสิ”

“แต่ถ้าเราไปหาห้องเก็บสมบัติของท่านมหาเทพแล้วเกิดถูกจับได้ขึ้นมา นอกจากจะไม่ได้อะไรติดมือกลับไปแล้ว มีหวังได้ถูกจับขังคุกอสูรแน่ ๆ”

หลินเป่ยเฉินยืนนิ่งอยู่กับที่ด้วยความปวดหัว

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงพึ่งพาไม่ได้เลยจริง ๆ นี่นางวางแผนการภาษาอะไรกัน

“เดินขึ้นบันไดไปสิ”

“เจ้าจะมัวยืนเฉยอยู่ทำไม?”

“เจ้าเป็นอะไรหรือไม่?”

ทันใดนั้น เสียงสตรีผู้หนึ่งดังขึ้นในหูของหลินเป่ยเฉิน

ในวิหารที่เงียบงันวังเวงและเต็มไปด้วยความมืด นี่คือเหตุการณ์ที่น่าขนลุกเป็นอย่างยิ่ง

หลินเป่ยเฉินสะดุ้งโหยงเหมือนกระต่ายถูกเหยียบหางและร่ำร้องถามออกไปด้วยเสียงตื่นตระหนก

“ใครน่ะ? เจ้าเป็นใคร? กล้าดีอย่างไรมาหลอกหลอนข้า?”

เขากวาดตามองรอบตัว

แต่มองไม่เห็นวิญญาณเลยสักตน

ไม่น่าใช่

เขาคิดว่านี่เป็นนิยายแฟนตาซีมาตลอด

อยู่ดี ๆ จะเปลี่ยนไปเป็นนิยายสยองขวัญได้อย่างไร?

หลินเป่ยเฉินกราดแสงไฟฉายไปรอบทิศทาง

กระบี่เงินนอกสายตาที่มีสภาพสมบูรณ์พร้อมสำหรับการใช้งานปรากฏขึ้นในมืออีกข้างหนึ่ง

“ข้าเอง ไม่ต้องกลัว”

เสียงสตรีนั้นดังขึ้นอีกครั้ง

หลินเป่ยเฉินมีสีหน้าแปลกประหลาดขึ้นมาในทันใด

เพราะเขาจำได้

นี่คือเสียงของเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิง

“ให้ตายเถอะ ท่านอยู่ที่ไหน รีบไสหัวออกมาเดี๋ยวนี้”

หลินเป่ยเฉินถอนหายใจด้วยความโล่งอกและสบถคำหยาบออกมาด้วยความกลัว

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงแทบพูดอะไรไม่ออก

“น้องชาย เจ้านี่มันขี้ขลาดเกินไปแล้ว”

นางกระซิบตอบแผ่วเบา “รีบถูเข้าสิ ข้าจะได้ออกไปสักที”

“ไม่ต้องมาลีลา” หลินเป่ยเฉินพูดด้วยความเดือดดาลใจ “จะให้ข้าถูอะไร?”

“ถูกุญแจไงเล่า” เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงตอบ “สามครั้ง”

“นี่ท่านเลียนแบบยักษ์จินนี่ในเรื่องอะลาดินหรือไง?”

หลินเป่ยเฉินนำกุญแจสีดำนั้นออกมาถูกับต้นขาของตนเองสามครั้ง

ฟู่!

กลุ่มหมอกขาวพวยพุ่งออกมา

กลิ่นแบบเดียวกัน รสชาติแบบเดียวกัน

นี่คือผงวิเศษที่เขาใช้อำพรางสายตาจากพานตั่วชิง ฮั่วเซี่ย แล้วก็เทพเจ้าหมิงรั่วนี่นา

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงกระโดดออกมาจากม่านหมอกขาวนั้นพร้อมกับสะบัดชายกระโปรงพลิ้วไหว

“เฮ้อ ข้าเกือบจะขาดใจตายเสียแล้ว กลัวแทบแย่ว่าจะถูกม่านพลังของวิหารค้นพบ ก่อนเข้ามาข้าจึงไม่กล้าดื่มสุราเลยแม้แต่น้อย”

พูดจบ เทพธิดาสาวก็หยิบขวดน้ำเต้าบรรจุสุราออกมาเปิดจุกกระดกดื่มหน้าตาเฉย

หลินเป่ยเฉินเบิกตาโต

พี่สาว ขนาดอยู่ข้างนอกท่านยังหวาดกลัว

แล้วนี่เล่นมาดื่มสุราในวิหารไม่กลัวถูกผู้คนจับได้หรือไง?

แล้วทำไมพอเข้ามาได้ก็ต้องดื่มสุราทันทีด้วย

ไม่กลัวว่าจะมีผู้คนได้กลิ่นสุราหรืออย่างไร?

“ฮื่อ ค่อยโล่งหน่อย”

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงครางออกมาอย่างมีความสุข

นางดื่มสุราในน้ำเต้าหมดไปถึงสองในสามส่วน น้ำสีอำพันไหลหยดลงกระจัดกระจายตามร่างกาย เสื้อผ้าบางเบาของนางเปียกชุ่ม แนบเนื้อติดไปกับผิวขาวผ่อง ขับเน้นให้เห็นถึงส่วนโค้งส่วนเว้าอย่างชัดเจน…

หลินเป่ยเฉินรีบยกมือขึ้นอุดจมูก

ในที่สุด เขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมสุนัขถึงชอบเลีย

หากหลินเป่ยเฉินทำได้ บัดนี้ เขาก็อยากใช้ลิ้นเลียเช่นกัน

“เราจะทำยังไงกันต่อ?”

โชคดีที่หลินเป่ยเฉินไม่ได้เป็นเด็กหนุ่มไร้เดียงสาอีกแล้ว เขาจึงไม่ได้ร้องเตือนให้เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่กลับใช้ไฟฉายส่องไปที่เรือนร่างของนางและถามว่า “แผนการคืออะไร?”

“หืม? แสงในมือเจ้าคืออะไรน่ะ?”

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงถามกลับมาด้วยความสงสัย

“อ๋อ นี่คือลำแสงเฉพาะตัวของชาวอุลตร้าแมนแห่งดาว M78 สว่างอย่างน่าเหลือเชื่อเลยใช่ไหมล่ะ?”

หลินเป่ยเฉินตอบคำถามด้วยสีหน้าร่าเริง

“เจ้าพูดไร้สาระอันใด วิชาลำแสงอุลตร้าแมนคืออะไร ในชาติภพที่แล้วของเจ้า เจ้าเป็นคนของเผ่าเทพแห่งแสงใช่หรือไม่?”เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงมักสงสัยอยู่ในใจเสมอว่าหลินเป่ยเฉินเป็นเทพเจ้าระดับสูง แต่ต้องถูกขับไล่ลงไปอยู่ในโลกมนุษย์เพราะทำความผิดมหันต์บางประการ

หลินเป่ยเฉินไม่ได้อธิบายอะไรต่อ

เขาปล่อยให้เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงใช้จินตนาการมโนเอาตามสบาย

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงสะบัดหยดสุราออกไปจากชายกระโปรง ก่อนจะปิดจุกขวดน้ำเต้าและกล่าวว่า “พวกเราไปหาตำแหน่งเทพเจ้าให้เจ้ากันก่อน… หลังจากนั้น ค่อยไปที่ห้องเก็บสมบัติของท่านมหาเทพ ตามข้ามาเถอะ”

เทพธิดาสาวหมุนตัวและเดินนำทาง

หลินเป่ยเฉินส่องไฟฉายจับไปที่ช่วงเอวและสะโพกของเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงพลางกล่าวว่า “เดี๋ยวข้าจะคอยระวังหลังให้ท่านเอง… เอ๊ะ? ดูเหมือนท่านจะคุ้นเคยกับสถานที่นี้พอสมควรเลยนะ”

“ถูกต้อง เมื่อไม่นานมานี้ข้าก็เพิ่งเข้ามาที่นี่ จะไม่คุ้นเคยได้อย่างไร”

เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงกล่าวตอบ