ชายหนุ่มชุดดำตกใจ เสียงพลันหยุดกึก
เบื้องหน้าเขา ข้ารับใช้ร่างกำยำที่แต่เดิมเข่าอ่อนทรุดนั่งบนพื้นถูกหนึ่งฝ่ามือปลิดชีพ ล้มตัวลงกับพื้นอย่างสิ้นเชิง
ก่อนตายตายังเบิกตากว้าง!
เขาคล้ายกับคิดไม่ถึงสักนิด ว่าเหตุใดตอนท้ายกลับกลายเป็นตนที่ตายก่อนเป็นคนแรก
นี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่าแพะรับบาปหรือ
“ในฐานะข้ารับใช้ ไม่รู้จักห้ามปรามการกระทำชั่วร้ายของเจ้านาย ตรงข้ามกลับสนับสนุนให้ทำชั่วก่อกรรม ตายไปยังไม่พอด้วยซ้ำ”
ชายหนุ่มผมเงินเอ่ยปากเสียงเย็นชา
เพียงแต่บุคคลขอบเขตมกุฎบริเวณนั้นต่างมองออก ชายผมเงินพูดให้ดูดี ความจริงแล้วเป็นการเอาชีวิตของข้ารับใช้คนหนึ่งมาปกป้องชายหนุ่มชุดดำคนนั้นต่างหาก
หลินสวินก็ย่อมมองออกเช่นหัน เขาไม่พูดสักคำ แค่มองดูเช่นนี้
การวางตัวนิ่งเฉยเช่นนี้เดิมทีก็เป็นการแสดงจุดยืนอย่างหนึ่ง!
ชายหนุ่มผมเงินในใจขื่นขม ตระหนักได้ว่าแค่สังหารข้ารับใช้คนหนึ่งยังไม่อาจทำให้เทพมารตรงหน้าพึงพอใจได้
เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ สายตาเย็นเยียบ มองไปทางชายหนุ่มชุดดำ
“คุณชายหลิน ให้เขา… อย่าฆ่าคนได้หรือไม่”
แต่ขณะนั้นเองไฉไฉ่คล้ายกับรวบรวมความกล้า กล่าวเสียงเบาออกมา
ทันทีที่ประโยคนี้เอ่ยออกมา ชายผมเงินพลันเผยความซาบซึ้งออกมาทันที มองไปทางไฉไฉ่ด้วยสายตาอ่อนโยน
เขารู้ จะแก้ปมต้องให้คนผูกปมเป็นคนทำ
ชายหนุ่มชุดดำจะรอดชีวิตหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับเด็กสาวคนนี้ว่าสามารถเปลี่ยนท่าทีของหลินสวินได้หรือไม่!
“ไฉไฉ่ เจ้ารู้หรือไม่หากข้ามาไม่ทันเวลา เจ้าจะพบเจออะไรบ้าง”
หลินสวินทอดมองเด็กสาวตรงหน้าด้วยสีหน้าอ่อนโยน
“รู้”
ไฉไฉ่พยักหน้า จากนั้นก็กล่าวเสียงอู้อี้ออกมาคล้ายกับลำบากใจอยู่บ้าง “แต่ข้าไม่อยากให้คุณชายต้องล่วงเกินพวกเขาเพราะข้า แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ไม่คุ้มหรอก”
ผู้คนต่างพากันบื้อใบ้ เทพมารหลินผู้ยิ่งใหญ่ ยังต้องกลัวล่วงเกินผู้อื่นด้วยหรือ
นี่เหมือนเรื่องตลกอย่างหนึ่งชัดๆ!
แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ กลับแสดงให้เห็นว่าจิตใจของเด็กสาวตรงหน้านั้นเลอค่ายากหาพบอย่างถึงที่สุด
“เอาเถอะ ทำตามที่เจ้าว่า”
หลินสวินเองก็ระบายยิ้มเช่นกัน ไฉไฉ่ยังคงมีจิตใจใสซื่อ เมตตา บริสุทธิ์เหมือนเมื่อเก้าปีก่อน เป็นดั่งแสงตะวันมอบความอบอุ่นอันเรียบง่ายที่สุดให้แก่ผู้คน
ไฉไฉ่กล่าวอย่างระวัง “เอ่อ คุณชายท่านคงไม่หาว่าข้าเรื่องมากหรอกกระมัง”
“ก็อย่างที่เจ้าว่า แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้นนับเป็นอะไรได้ ขอแค่เจ้าคิดว่าทำเช่นนี้แล้วถูกต้อง ก็พยายามยึดมั่นอุดมการณ์นี้ไว้ก็พอแล้ว”
หลินสวินกล่าวยิ้มๆ
“ขอบคุณใต้เท้าหลิน!”
บนพื้น ชายหนุ่มชุดดำซาบซึ้งจนพูดลิ้นพันกัน
“เจ้าโง่ เจ้าควรขอบคุณแม่นางผู้นี้ต่างหาก หากไม่ได้นาง วันนี้ข้ายังแทบอยากฟันเจ้าด้วยฝ่ามือเดียวทั้งเป็นด้วยซ้ำ!”
ชายผมเงินถีบใส่เขาเต็มแรง ท่าทางเหมือนเอือมระอากับความไม่เอาไหน
……
ฉากบุญคุณความแค้นเรียกน้ำย่อยก็ปิดม่านลงเช่นนี้
ชายหนุ่มชุดดำโชคดีที่เอาชีวิตรอดกลับมาได้ ถูกชายผมเงินพาตัวออกไป
เหล่าผู้กล้าคนอื่นในที่นั้นก็แยกย้ายกันไปอย่างต่อเนื่อง
สิ่งที่ไร้สาระที่สุดก็อาจเป็น ตั้งแต่ต้นจนจบหลินสวินไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชายหนุ่มชุดดำนั่นเป็นใคร และไม่รู้จักชายผมเงินคนนั้นสักนิด
ขนาดชื่อของพวกเขาก็ยังไม่รู้จัก
แต่เมื่อหลินสวินปรากฏตัว ความขัดแย้งนี้ไม่จำเป็นต้องให้เขาลงมือด้วยตัวเอง ก็สามารถคลี่คลายด้วยวิธีที่ราบรื่นที่สุด
นี่ก็คืออำนาจบารมี
ข่มผู้คนได้โดยไม่ต้องรบ!
……
“ไฉไฉ่ ผ่านไปตั้งหลายปีขนาดนี้ เหตุใดปราณของเจ้ายังไม่ก้าวสู่ระดับราชันอีก”
หลินสวินไม่เข้าใจเท่าไหร่
นอกเมืองเผาเซียน พวกหลินสวินหายอดเขาลูกหนึ่งสำหรับพักผ่อน
ราวๆ สามวันนี้ พลังของสถานที่นำทางก็จะปรากฏขึ้นที่แดนมกุฎ
ในตอนนั้นผู้ฝึกปราณที่กระจายตัวในสามพันแดน ล้วนสามารถอาศัยสิ่งนี้กลับไปยังดินแดนรกร้างโบราณอีกครั้ง
ไฉไฉ่รู้สึกกระดากเล็กน้อย กล่าวขึ้นอย่างขัดเขิน “ตั้งแต่ตอนฝึกปราณ ท่านพ่อข้าก็บอกข้าว่าฝึกปราณก็คือการทำในสิ่งที่ชอบที่สุด ข้าแค่ชอบเก็บน้ำค้างวิญญาณแสงเพลิง ก็เลยเอาแต่ทำเช่นนี้มาตลอด…”
“ไม่เลว”
หลินสวินเอ่ยชื่นชมคราหนึ่ง
ฝึกปราณขึ้นอยู่กับใจของบุคคล การแสวงหาของผู้ฝึกปราณแต่ละคนย่อมแตกต่างกัน บางคนเสาะหาสุดยอดมรรคกระบี่ อย่างเช่นอวิ๋นชิ่งไป๋
บางคนแสวงหากายเนื้อบรรลุอริยะ อย่างเช่นอาหลู่
บางคนก็แค่อยากเห็นสรรพสิ่งปวงสวรรค์ เห็นแก่นแท้มหามรรคสักหน อย่างเจ้าคางคก
และบางคนฝักใฝ่ชื่อเสียง แสงหาผลประโยชน์ เสาะหาปวงมรรค ฝักใฝ่อมตะนิรันดร์กาล ค้นหาความอิสระเสรีแห่งตนเอง…
ไม่มีที่สิ้นสุด
ส่วนสิ่งที่ไฉไฉ่แสวงหา คือความชอบ
นางมองการฝึกปราณเป็นดั่งใจตน ชอบเก็บน้ำค้างวิญญาณแสงเพลิง ก็ฝึกปราณด้วยวิธีนี้
ถึงจะบอกว่าปราณไม่คืบหน้ารวดเร็วเท่าใดนัก แต่ก็เป็นการฝึกปราณเหมือนกัน
“เช่นนั้นเจ้ามีเป้าหมายหรือยัง”
หลินสวินเอ่ยถาม
“มีสิ!”
ดวงตาสุกใสปานดาราของไฉไฉ่ทอประกายขึ้นมาทันที ดวงหน้าน้อยที่สะอาดผุดผ่องเปี่ยมด้วยความใฝ่ฝัน
นางพูดอย่างจริงจัง “ข้าหวังว่าสักวันจะเก็บแสงเมฆทั่วฟ้า หลอมออกมาเป็นเส้นด้ายที่งดงามที่สุดในโลก จากนั้นก็จะถักทอเป็นอาภรณ์ชุดหนึ่งด้วยมือตัวเอง ไว้เป็นชุดแต่งงานของข้า”
“ข้ายังอยากเก็บน้ำค้างวิญญาณแสงอาทิตย์นานาชนิดเอามาหมักสุรา ไว้ใช้เป็นสุรามงคลตอนข้าออกเรือน เชิญสหายที่มาร่วมงานเลี้ยงแต่งงานของข้าลิ้มรสไปพร้อมกัน!”
พูดถึงความฝันของตน ทั่วทั้งตัวไฉไฉ่ทอแสงหลากสีสันบอกไม่ถูกออกมา น้ำเสียงใสกังวานนั้นก็เหมือนเสียงสวรรค์กำลังไหวพลิ้ว
เด็กสาวสองมือไพล่หลัง ยืนอยู่ท่ามกลางหมอกเมฆบนยอดเขา เหมือนดั่งแสงที่แพรวพราวที่สุด
หลินสวินอึ้งงันครู่หนึ่งก่อนทอดถอนใจชื่นชมจากใจจริง “นี่เป็นเป้าหมายมหามรรคที่งดงามที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบมา”
ไฉไฉ่เหนียมอายทันที ได้สติจากภวังค์ฝันใฝ่ ก้มหน้างุดกล่าวว่า “ทำให้คุณชายเห็นเรื่องน่าขันแล้ว”
“นี่ๆ แม่นางไฉไฉ่ เจ้าอยากทำให้เป้าหมายนี้เป็นจริง ยังมีปัญหาสำคัญมากข้อหนึ่งที่ต้องคลี่คลาย”
เจ้าคางคกกล่าวพลางยิ้มน้อยๆ
“อะไรหรือ” ไฉไฉ่งุนงง
“หาชายในดวงใจสักคนน่ะสิ หากไม่มีชายในดวงใจ จะเอาแต่งงาน สุรามงคลพวกนี้ไปใช้ทำอะไรเล่า” เจ้าคางคกกล่าวคำพลางยิ้มตาหยี
ดวงหน้างามของไฉไฉ่แดงเรื่อขึ้นมาทันที เหมือนแสงเมฆที่ลุกโชนบนฟากฟ้า
อาหลู่ก็อดชอบใจไม่ได้ ไฉไฉ่ช่างเป็นแม่นางที่น่ารักจริงๆ อุปนิสัยบริสุทธิ์ผุดผ่องราวกระจกใส จิตใจดีมีเมตตาโดยเนื้อแท้ งามราวกับลมวสันต์เดือนสามไม่มีผิด
ยามราตรี
จู่ๆ เจ้าคางคกก็สื่อจิตเตือนหลินสวิน ‘พี่ใหญ่ ต่อไปถ้าอยากหวนกลับสู่โลกชั้นล่างอีกครั้ง เกรงว่าคงต้องให้แม่นางไฉไฉ่คนนี้ช่วยถึงจะทำได้’
‘พูดแบบนี้หมายความว่าอย่างไร’ หลินสวินถาม
‘เผ่าทอเมฆาไม่ธรรมดาเลย บรรพบุรุษของเผ่านี้เป็นบุคคลในตำนานที่น่าทึ่งคนหนึ่ง สันทัดวิชาลับสุดวิเศษอย่างหนึ่ง มองฟ้าดินเป็นดั่งเส้นด้าย สามารถตัดเย็บ ‘อาภรณ์สวรรค์’ ที่แท้จริงออกมาได้!’
เจ้าคางคกพูดอย่างมีลับลมคมใน ‘อาภรณ์สวรรค์ นี่เป็นถึงสมบัติล้ำค่าสูงสุดที่แม้แต่มหาจักรพรรดิยังใจเต้น อาภรณ์สวรรค์ที่ถักทอขึ้นด้วยกรรมวิธีที่แตกต่าง มีประสิทธิภาพมหัศจรรย์ที่ต่างกันออกไป’
‘บ้างสามารถหลบเลี่ยงพิบัติเคราะห์ฟ้าดิน บ้างสามารถมองข้ามข้อผูกมัด ลัดเลาะไปตามพื้นที่ลึกลับนอกห้วงอากาศว่างเปล่า บ้างก็สามารถเปลี่ยนให้เป็นสมบัติที่เทียบเท่าศาสตราจักรพรรดิ…’
‘เพราะเผ่าทอเมฆาปรากฏตัวบนโลกน้อยมาก ประวัติและข่าวสารเกี่ยวกับพวกเขาก็มีน้อยคนนักที่รู้’
‘ถ้าไม่ใช่เพราะข้าปลุกพลังความทรงจำในสายเลือดขึ้นมาแล้ว ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะล่วงรู้ความลับในอดีตพวกนี้’
‘แน่นอน สิ่งสำคัญที่สุดคือหากพวกเราอยากกลับโลกชั้นล่างอีกครั้ง ก็ต้องเข้าสู่อุโมงค์อากาศระหว่างดินแดนอย่างเลี่ยงไม่ได้ และสิ่งที่เผ่าทอเมฆาถนัดมากที่สุด ก็คือการข้ามห้วงอากาศ!’
‘ถ้าหากได้ความช่วยเหลือจากพวกเขา ต่อไปยามพวกเรากลับโลกชั้นล่างอีกครั้งจะต้องสะดวกมากขึ้นอย่างแน่นอน’
พูดถึงตรงนี้หลินสวินถึงเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง
ปัญหาเรื่องย้อนกลับไปโลกชั้นล่าง หลินสวินเองก็เคยไตร่ตรองมาแล้ว ปัญหาเดียวที่ติดขัดก็คือควรกลับไปอย่างไร
แรกเริ่มเดิมทีตอนที่เขาเดินทางจากโลกชั้นล่างมาสู่ดินแดนรกร้างโบราณ ก็อาศัยพลังกระบวนค่ายกลอริยะห้าสีของจักรวรรดิทะลวงผ่านอุโมงค์อากาศสายนั้นมา
แต่ตอนนี้คงผ่านไม่ได้แล้วเป็นแน่
จากที่จ้าวจิ่งเซวียนว่ามา หากเป็นเมื่อก่อนในดินแดนรกร้างโบราณมีเส้นทางทะลุสู่โลกชั้นล่างมากกว่าหนึ่งสาย
ในสำนักโบราณอย่างแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์พวกนี้ ต่างก็มีเส้นทางเช่นนี้อยู่
แต่เมื่อหลายปีก่อนหน้านี้ตอนที่มหายุคยังไม่มาถึงอย่างแท้จริง พลังฟ้าดินของดินแดนรกร้างโบราณก็เกิดการเปลี่ยนแปลงไปแล้ว
อุโมงค์อากาศที่เชื่อมสู่โลกชั้นล่างก่อนหน้านี้ ก็แทบจะพังพินาศแตกยับพร้อมๆ กับการมาเยือนทีละก้าวของการเปลี่ยนแปลงอันน่าตกใจนี้!
แม้แต่ตัวจ้าวจิ่งเซวียนเองก็ยังจนปัญญากับเรื่องนี้ ได้แต่คอยดูไปทีละก้าว และตัดสินใจตามสถานการณ์
ดังนั้นสำหรับหลินสวินในยามนี้ หากหมายจะกลับสู่โลกชั้นล่าง สิ่งที่ต้องจัดการอันดับแรกก็คือปัญหาเรื่องเส้นทาง
และคำเสนอแนะครั้งนี้ของเจ้าคางคกก็ทำให้หลินสวินจิตใจไหวหวั่น
เผ่าทอเมฆา!
ใครเลยจะคาดคิด เด็กสาวเช่นไฉไฉ่คนนี้ถึงกับมาจากเผ่าที่ลึกลับเช่นนี้ได้
ไหนจะ ‘อาภรณ์สวรรค์’ อันลึกลับนั่นอีก ทำให้หลินสวินพลันนึกถึงการสร้าง ‘ชุดศึกสลักวิญญาณ’ ขึ้นมา ถึงทั้งคู่จะแตกต่างกัน แต่กลับมีจุดคล้ายคลึงกันอยู่บ้าง
อีกอย่างดินแดนรกร้างกว้างใหญ่ไพศาลปานใด แต่สิ่งที่น่าพิศวงถึงขีดสุดคือ หลินสวินฝึกปราณจนป่านนี้กลับไม่เคยเห็นใครมีชุดศึกสลักวิญญาณไว้ในครอบครองเลย
แต่ในจักรวรรดิโลกชั้นล่าง ชุดศึกสลักวิญญาณเป็นเรื่องที่นักสลักวิญญาณทุกคนล้วนรู้จัก
จากการคาดเดาของหลินสวิน ในนี้ต้องมีบางอย่างแอบแฝงแน่นอน
เช่นเดียวกัน หากไม่ได้เจ้าคางคกเอ่ยถึงเรื่อง ‘อาภรณ์สวรรค์’ ในครั้งนี้ หลินสวินก็ไม่รู้เลยว่าบนโลกนี้ยังมีสมบัติสุดวิเศษเช่นนี้อยู่ด้วย
“เอาเถอะ จากนี้หากพวกเราจนหนทางแล้วจริงๆ ค่อยไปขอความช่วยเหลือจากไฉไฉ่อีกทีก็ยังไม่สาย”
หลินสวินครุ่นคิดสักพักก่อนตัดสินใจ
เขาไม่อยากรบกวนไฉไฉ่ ไฉไฉ่อาจยินดีช่วยเขาเป็นอย่างยิ่ง แต่เผ่าทอเมฆาเบื้องหลังไฉไฉ่จะเป็นเช่นนี้ด้วยหรือไม่
นั่นก็บอกไม่ได้แล้ว
อีกอย่างหลินสวินยังมีเรื่องที่ต้องจัดการอีกนิดหน่อย ต่อให้กลับดินแดนรกร้างโบราณ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะกลับโลกชั้นล่างในทันที
“เจ้าคางคก เจ้ากับอาหลู่เตรียมให้ดี หลังจากพวกเราออกจากแดนมกุฎเกรงว่าคงมีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้น”
หลินสวินกำชับ
“ปัญหา?”
เจ้าคางคกอึ้งงัน จู่ๆ ก็พลันนึกถึงเหตุการณ์ถูกปิดล้อมโจมตีในตอนที่ออกจากแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาได้
ตอนนี้พวกเขากำลังจะออกจากแดนมกุฎกันแล้ว เรื่องพรรค์นี้ยังจะเกิดขึ้นอีกหรือ
“ข้าสังหารบุคคลแห่งยุคไปมากมายขนาดนั้น หากขุมอำนาจเบื้องหลังเจ้าพวกนั้นรู้เรื่องพวกนี้เข้า มีหรือจะยอมกล้ำกลืนความโกรธแค้นครั้งนี้ได้”
นัยน์ตาดำของหลินสวินลึกล้ำ กล่าวเสียงเรียบ “เมื่อก่อนพวกเราได้แต่เป็นฝ่ายตั้งรับ เป็นตายไม่ได้ขึ้นอยู่กับตน แต่คราวนี้ ข้าไม่คิดจะเป็นฝ่ายตั้งรับเช่นนั้นอีกต่อไปแล้ว!”
เจ้าคางคกพยักหน้ากล่าวว่า “ละแวกสถานที่นำทางขากลับของพวกเราก็คือหุบเขาตะวันคล้อยที่เป็นอาณาเขตของเผ่าอีกาทอง ถ้าสัตว์ประหลาดเฒ่าเผ่าอีกาทองพวกนั้นรู้ว่าอีกาน้อยพวกนั้นถูกพวกเราฆ่าตายหมดแล้ว จะต้องเต้นเร่าราวสายฟ้าฟาด ยกโขยงแห่กันมาแน่”
“อืม อีกอย่างก็เดาได้ว่าต้องมีอริยะเคลื่อนไหวด้วยแน่นอน และอาจจะมีกันมากด้วย…”
แววตาหลินสวินล่องลอย
ภายในใจกลับแน่วแน่ไม่หวั่นวิตก
ผงาดง้ำสิบปี เขาครอบครองไพ่ตายมากพอจะเผชิญหน้ากับทุกสิ่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว!
——