บทที่ 2154.1 โลเลเหมือนหนู (1)

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

ปฏิเสธเซี่ยโห้วเฉิงอวี่เป็นแค่แผนชั่วคราว ไม่ได้คิดจะปฏิเสธจริงๆ ตอนที่เหมียวอี้ปรากฏตัวตรงหน้านางอีกครั้ง หลังจากนางขอร้องเขาเป็นครั้งที่สาม  ในที่สุดเขาก็ตอบรับแล้ว การตอบรับนี้หมายความว่าต้องแลกด้วยการช่วยโน้มน้าวให้ตระกูลเซี่ยโห้วช่วยเหลือ

 

เมื่อบรรลุเป้าหมายแล้ว เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ไม่ได้อยู่ต่อนาน ออกไปแอบดีใจข้างนอก ความคับแค้นที่มีต่อเหมียวอี้ก็ลึกลงอีกชั้น เพราะสำหรับนาง การขอร้องอีกครั้งก็เท่ากับได้รับความอัปยศอีกครั้ง

 

พอกลับมาถึงจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล รู้ว่าขั้นแรกสำเร็จแล้ว ทำให้ชิงหยวนจุนมีความมั่นใจที่สุด เริ่มเคลื่อนไหวขั้นที่สองทันที ประชุมลับกับแม่ทัพใต้บังคับบัญชาของตัวเอง หากต้องการให้แผนนี้คืบหน้า ก็ไม่ใช่เรื่องที่ชิงหยวนจุนคนเดียวจะทำสำเร็จ จะต้องมีคนช่วยเหลือ จะต้องได้รับความช่วยเหลือจากคนส่วนหนึ่งก่อน

 

สำหรับชิงหยวนจุน สิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ต้องยืนยันรายชื่อที่หนิวโหย่วเต๋อได้มาจากตระกูลเซี่ยโห้ว ยืนยันว่าคนพวกนี้ได้รับอิทธิพลจากตระกูลเซี่ยโห้วแล้วยืนหยัดที่จะสนับสนุนเขาจริงหรือเปล่า คนที่อยู่บนรายชื่อมีไม่มาก มีเพียงหนึ่งพันคนเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นตระกูลเซี่ยโห้วหรือหนิวโหย่วเต๋อก็ไม่ได้ส่งรายชื่อกำลังพลที่แทรกซึมอยู่ออกมาทั้งหมด ชิงหยวนจุนไม่รู้ชัดเจน แต่ในจำนวนหนึ่งพันคนนี้มีแม่ทัพและคนในตำแหน่งสำคัญของทัพใหญ่แดนรัตติกาลจำนวนมาก

 

ชิงหยวนจุนไม่ได้พบหน้าครบทุกคน เลือกประชุมลับกับแม่ทัพเพียงร้อยคนเท่านั้น

 

ในห้องลับใต้ดิน เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เดินไปเดินมาอย่างกระวนกระวาย พอเสียงเปิดประตูข้างหลังดังขึ้น นางก็หันขวับมองไป เห็นเพียงชิงหยวนจุนเดินก้าวยาวเข้ามา นางออกไปต้อนรับทันที แล้วถามอย่างร้อนใจว่า “จุนเอ๋อร์ สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง?”

 

ชิงหยวนจุนตอบอย่างตื่นเต้นว่า “เสด็จแม่ พวกเขาแสดงท่าทีแล้ว ทุกคนลงนามแล้วว่าจะทำงานรับใช้ จะสนับสนุนค่าอย่างสุดความสามารถ!”

 

“ดีมากเลย!” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ประสานมืออย่างตื่นเต้นฮึกเหิม แบบนี้หมายความว่าแผนการขั้นที่สองมีจุดเริ่มต้นที่ดี

 

“เสด็จแม่…” ชิงหยวนจุนพลันเรียกด้วยน้ำเสียงจริงจัง

 

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เงยหน้า เห็นลูกชายมีสีหน้าแปลกไป จึงถามอย่างงุนงงว่า “เป็นอะไรไป?”

 

ชิงหยวนจุนกล่าวเสียงต่ำว่า “ตอนที่ยังไม่เห็นรายชื่อก็ไม่รู้ แต่พอได้เห็นแล้วก็ตกใจ ลูกนึกไม่ถึงจริงๆ ว่าทัพใหญ่แดนรัตติกาลถูกตระกูลเซี่ยโห้วแทรกซึมเข้ามาอย่างร้ายแรงขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าลูกจะไม่สังเกตเห็นความเคลื่อนไหวเลยสักนิด ถ้าเกิดสงครามขึ้น ผลที่ตามมาก็เลวร้ายจนไม่อยากคิดถึงเลย นี่เป็นเพียงรายชื่อที่พวกเขายอมเปิดเผยเท่านั้น ลูกเชื่อว่าในมือของพวกเขาต้องมีรายชื่อที่ไม่อยากให้ลูกเห็นอีกแน่นอน ผมไม่เปิดเผยออกมาหมดง่ายๆ ขนาดนี้ ตระกูลเซี่ยโห้วน่ากลัวจริงๆ ถ้าไม่กำจัดตระกูลเซี่ยโห้ว ในอนาคตลูกก็เป็นได้เพียงหุ่นเชิดของพวกเขา”

 

แม้จะพูดไม่ดีต่อครอบครัวเดิมของตัวเอง แต่เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ไม่ได้รู้สึกดีอะไรกับครอบครัวของตัวเองอยู่แล้ว นางพยักหน้าเบาๆ ดึงมือลูกชายมาปลอบโยน “ตอนนี้ยังต้องการการสนับสนุนจากตระกูลเซี่ยโห้ว อดทนไว้ก่อน รอให้เจ้ามีกำลังที่สอดคล้องกัน ถ้าเจ้ายังคิดจะกำจัดตระกูลเซี่ยโห้ว แม่ก็ไม่ขวางเจ้าแน่นอน มีแต่จะสนับสนุนเจ้าสุดความสามารถ!”

 

“อืม!” ชิงหยวนจุนมองมารดา ออกแรงพยักหน้า ในดวงตาฉายแววซาบซึ้ง พบว่าบนโลกนี้คนที่ดีกับตัวเองจริงๆ นอกจากมารดาก็ไม่มีคนอื่นแล้ว

 

เพียงแต่ความคิดของสองแม่ลูกไร้เดียงสาเกินไปหรือเปล่าก็ไม่รู้ เรื่องที่แม้แต่ประมุขชิงยังจัดการไม่ได้ ไม่รู้ว่าพวกเขาสองแม่ลูกไปเอาความมั่นใจมาจากไหน มิหนำซ้ำยังอยู่ในสถานการณ์ปัจจุบันอีก

 

“ไปกันเถอะ ไปพบท่านน้าจอมเอาเปรียบท่านนั้นของเจ้าด้วยกัน ปรึกษาแผนการขั้นถัดไปกันสักหน่อยจะทำให้ผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาด” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ตบแขนลูกชายเบาๆ

 

ชิงหยวนจุนเอ่ยรับ เก็บมารดาเข้ากระเป๋าสัตว์แล้วออกไป

 

พอมาถึงห้องสมาธิ ก็ปล่อยเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ออกมาอีก แล้วเล่าเรื่องที่ประชุมลับให้ฟัง ถามความเห็นของหยางชิ่ง

 

หยางชิ่งไม่มีความเห็นอะไรเกี่ยวกับสิ่งนี้ เพราะเป็นเรื่องที่อยู่ในความคาดหมายอยู่แล้ว เพียงถามว่า “หวังติ้งเฉา องค์ชายเตรียมจะลงมือเมื่อไหร่?”

 

หวังติ้งเฉาเป็นเพียงหนึ่งในตัวแทน ความจริงต่อให้เหมียวอี้จะสัญญาว่าจะแบ่งอาณาเขตและผูกมัดคนด้วยผลประโยชน์ แล้วมีคนของตระกูลเซี่ยโห้วแทรกซึมอยู่ เป็นไปไม่ได้ที่ทัพใหญ่แดนรัตติกาลจะทรยศประมุขชิงเสียทั้งหมด ดังนั้นเรื่องราวจึงไม่ได้ง่ายแค่การกำจัดหวังติ้งเฉา หลังจากจบเรื่องยังมีคนอีกส่วนที่ต้องกำจัดให้หมด!

 

“เอ่อ…” ชิงหยวนจุนลังเลทันที ถึงอย่างไรก็อยู่กับหวังติ้งเฉามาหลายปี เขาเห็นแล้วว่าหวังติ้งเฉาจงรักภักดีต่อเขา คอยปรนนิบัติรับใช้เขา ต่อให้เป็นก้อนหินก็ถูกคลุมให้ร้อนได้เหมือนกัน การลงมือสังหารหวังติ้งเฉาคือทางเลือกที่ยากลำบากสำหรับเขาจริงๆ

 

ถ้ามองจากอีกด้านหนึ่ง เขาหวังว่าจะทำเรื่องนี้อย่างนิ่มนวลสักหน่อย ไม่อยากทำให้รุนแรงเกินไป  ฝ่าบาทบิดาท่านนั้นระแวงแม้แต่พวกอ๋องสวรรค์ เขาจะกล้าต่อต้านอย่างเอิกเกริกได้อย่างไร ถ้าสังหารหวังติ้งเฉาโดยตรงก็เกรงว่าจะยั่วโมโหเสด็จพ่อ รู้สึกไม่มั่นใจจริงๆ จะบอกว่าขี้ขลาดก็ได้

 

หยางชิ่งเกลี้ยกล่อมว่า “องค์ชาย มัวลังเลชักช้าไม่ได้แล้ว งานใหญ่มิอาจโลเล ควรจะตัดสินใจเด็ดขาดเมื่อมีโอกาส!”

 

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เข้าใจความคิดของลูกชายเช่นกัน อย่าว่าแต่ลูกชายเลย แม้แต่นางก็ยังรู้สึกไม่มั่นใจ หวังติ้งเฉาได้ชื่อว่าเป็นรองผู้สำเร็จราชการ แต่ที่จริงแล้วเป็นสารวัตรทหารที่ประมุขชิงส่งมา ถ้าสังหารสารวัตรทหารที่ประมุขชิงส่งมา แสดงว่าคิดจะทำอะไรล่ะ? ประมุขชิงไม่โมโหก็แปลกแล้ว ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือฝั่งนี้ไม่มีอำนาจในการลงโทษประหารหวังติ้งเฉาเลย

 

และชิงหยวนจุนก็เคยอธิบายกับนางแล้ว ว่าหวังติ้งเฉาจงรักภักดีต่อเขามาก นางเองก็หวังว่าลูกชายจะสามารถค่อยๆ พัฒนาลูกน้องคนสนิทจำนวนหนึ่งออกมาได้

 

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ฝืนยิ้มให้หยางชิ่ง  “น้องชาย หวังติ้งเฉาจงรักภักดีต่อจุนเอ๋อร์มาหลายปีขนาดนี้ ทั้งยังมีโอกาสให้พยายาม พวกเราควบคุมหวังติ้งเฉาเอาไว้แล้วค่อยๆ โน้มน้าวเขาดีกว่าไหม”

 

หยางชิ่งขมวดคิ้ว “ที่หวังติ้งเฉาจงรักภักดีต่อองค์ชาย เกรงว่าคงเป็นเพราะฝ่าบาทเหมือนกัน ถ้าฝ่าบาทออกคำสั่ง แล้วให้หวังติ้งเฉาลงมือกับองค์ชายล่ะ?”

 

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ทำสีหน้าเคร่งขรึมทันที “ถ้าเขาไม่รู้จักแยกแยะดีชั่ว จะรนหาที่ตายให้ได้ เช่นนั้นจุนเอ๋อร์ก็ย่อมไม่ปล่อยเขาไปอยู่แล้ว!”

 

หยางชิ่งสังเกตได้ว่าสองแม่ลูกตัดสินใจลำบากเป็นเพราะยังกลัวประมุขชิงนิดหน่อย เดินมาถึงขั้นนี้แล้ว นี่คือเรื่องที่ช้าหรือเร็วก็ต้องเผชิญ แต่ยังจะห่วงหน้าพะวงหลังอีก ไม่รู้จะพูดกับสองแม่ลูกนี้อย่างไรแล้วจริงๆ ในเมื่อไม่มีความกล้าหาญ แล้วจะทะเยอทะยานขนาดนั้นทำไม? ในเมื่อกล่อมไม่สำเร็จ เขาก็ไม่สะดวกจะบีบบังคับมากเกินไป ทำได้เพียงกดดันอีกทางหนึ่ง จุดประสงค์ที่เขามาที่นี่ เดิมทีก็เพื่อกำหนดเรื่องราวให้คืบหน้าตามเป้าหมายที่คาดการณ์เอาไว้ จึงส่ายหน้ากล่าวเสียงเรียบว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พี่สาว พวกเราลองหยั่งเชิงสักครั้งก็ได้ ดูว่าหวังติ้งเฉาจะเชื่อฟังฝ่าบาท หรือเชื่อฟังองค์ชาย เป็นยังไง?”

 

“จะทดสอบยังไง?” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่สงสัย

 

หยางชิ่งเอียงหน้ามองประตูหินที่ปิดสนิท พลางกล่าวช้าๆ  “พี่สาว ท่านสามารถเปิดเผยหน้าที่จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลได้เลย…”

 

วันต่อมา พวกเอ๋อเหมยถูกรับกลับมาจากเกาะกลางทะเลทั้งหมด เรื่องแรกที่ทำก็คือแต่งองค์ทรงเครื่องให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่นั่งสง่าอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง

 

หลังจากแต่งตัวเหมาะสมแล้ว ราชินีสวรรค์ที่สง่าน่าเกรงขามก็เดินออกมาจากห้องอย่างสง่าผ่าเผย มีชิงหยวนจุนเดินมาเป็นเพื่อน เดินออกจากเรือนชั้นในอย่างโจ่งแจ้ง ปรากฏตัวและเดินเนิบนาบอยู่บนลานกว้างของจวนผู้สำเร็จราชการ ดึงดูดสายตาของคนจำนวนไม่น้อย

 

อย่าไปมองว่าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่กำลังวางมาด ชิงหยวนจุนที่อยู่ข้างกันทำท่าทางเหมือนพูดคุยอย่างเบิกบานใจ ความจริงแล้วทั้งสองรู้สึกไม่มั่นใจ ต่างก็รู้ว่าอีกไม่นานเขาจะไปถึงหูประมุขชิง

 

ผ่านไปไม่นาน รองผู้สำเร็จราชการหวังติ้งเฉาก็รีบร้อนมาถึง หลายคนที่ติดตามมาด้วยมีท่าทางหวั่นเกรง รีบทำความเคารพพร้อมกัน “คำนับราชินีสวรรค์!”

 

จากนั้นหวังติ้งเฉาก็รับผิดคนเดียว “รองผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลหวังติ้งเฉา ไม่ทราบว่าเหนียงเหนียงเสด็จมาด้วยตัวเอง ขออภัยที่ไม่ได้ต้อนรับ เหนียงเหนียงโปรดอภัย” ที่จริงในใจกำลังหาคำตอบ ว่าราชินีสวรรค์มาแล้วเหรอ  มาได้อย่างไร ไม่น่าเชื่อว่าตัวเองจะไม่ได้ข่าวเลยสักนิด

 

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่พูดรับมืออย่างง่ายๆ สองสามประโยค แล้วเดินวางมาดจากไปโดยมีชิงหยวนจุนเคียงข้าง

 

หวังติ้งเฉาที่กุมหมัดคารวะน้อมส่งเงยหน้าขึ้นมาช้าๆ ในดวงตาเต็มไปด้วยความสงสัย…

 

ตำหนักเย็น ในห้องหนังสือ จ้านหรูอี้โน้มตัวบนโต๊ะวาดอะไรบางอย่าง อาการบาดเจ็บที่ได้รับก่อนหน้านี้สมานตัวแล้ว

 

ประมุขชิงเดินย่องเข้ามา ใช้สองมือประคองอ่างปลาผลึกใสดุจอัญมณีวางที่หัวโต๊ะ ท่ามกลางสาหร่ายสีเขียวสดในนั้นมีกุ้งตัวเล็กหลายสิบตัว ตัวมีสีสันหลากหลาย ข้างหลังกระพริบแสงเล็กน้อย คาดว่าจะสว่างมากกว่านี้ไม่อยู่ในที่มืด

 

จ้านหรูอี้เงยหน้าช้าๆ มองเขาแวบหนึ่ง แล้วดวงตาก็ไปหยุดอยู่บนกุ้งน้อยในอ่างปลาอีกครั้ง นางชะงักนิดหน่อย เป็นครั้งแรกที่เห็นกุ้งประเภทนี้

 

ประมุขชิงกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ไม่กี่วันก่อนเห็นกุ้งน้อยในกระแสน้ำของภาพที่จะวาด ข้าก็เลยไปถามมา ให้คนหามาให้อ่างหนึ่ง กุ้งพวกนี้มีชื่อว่ากุ้งรุ้ง สวยไหม?”

 

ไม่กี่วันก่อนเขาเห็นภาพนั้นแล้วจริงๆ หยินซวงคอยเตือนอยู่ข้างๆ บอกว่าจ้านหรูอี้เห็นในลำธารด้านหลัง ถึงได้นำมาวาดไว้ในภาพวาด คำพูดนี้ของหยินซวงทำให้ประมุขชิงรู้สึกผิดมาก เกรงว่าช่วงนี้คงไม่สะดวกจะให้จ้านหรูอี้ออกจากตำหนักเย็นไปที่หุบเขาอีกแล้ว ทำได้เพียงนำสัตว์หายากมาให้

 

“ขอบพระทัยฝ่าบาท!” จ้านหรูอี้ย่อตัวขอบคุณ แล้วจดจ่อวาดภาพของตัวเองต่อไป

 

ประมุขชิงส่ายหน้ายิ้ม เอามือไขว้หลังเดินมาด้านข้าง มองสิ่งที่อยู่ในภาพวาดของจ้านหรูอี้ ทิวทัศน์เศร้าวิเวก เป็นทิวทัศน์ภูเขาหิมะ

 

ในขณะนี้เอง มีระฆังดาราส่งข่าวมา หลังจากประมุขชิงหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อแล้ว ก็พลันขมวดคิ้วมุ่น ยกมือข้างหนึ่งลูบผมงามบนแผ่นหลังของจ้านหรูอี้ แล้วหันตัวเดินไป เร่งฝีเท้าเดินออกจากห้องหนังสือ

 

พอมาถึงนอกห้อง ซ่างกวนชิงก็เข้ามาทำความเคารพ แล้วเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปในตำหนักหลักของตำหนักเย็น

 

พอเข้ามายืนตรงกลางตำหนักหลัก ประมุขชิงก็หันตัวขวับ สีหน้าบูดบึ้งแล้ว ถามเสียงเย็นว่า “แน่ใจนะว่านางไปจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล?”

 

ซ่างกวนชิงถอนหายใจ “แน่ใจแล้ว หวังติ้งเฉายังได้พูดคุยกับเหนียงเหนียงแบบต่อหน้าขอรับ เหนียงเหนียงอยู่ในจวนผู้สำเร็จราชการจริงๆ บ่าวรับใช้ข้างกายก็อยู่หมด”

 

“หึหึ!” ประมุขชิงโมโหจนหัวเราะประชด ถามว่า “พวกเขาสองแม่ลูกคิดจะทำอะไร? ประท้วงข้าเหรอ?”

 

…………………