ฟ้าดินเวิ้งว้าง
เมื่อออกจากเมืองนำทาง เงาร่างหลินสวินก็เคลื่อนสัญจรว่องไวดุจสายฟ้าแลบ ห้อตะบึงกลางห้วงอากาศ
‘เจ้าคางคก อาหลู่ สถานการณ์ชักไม่เข้าที ถึงแม้อริยะจะไม่เคยปรากฏร่องรอยเด่นชัด แต่ข้าสงสัยว่าพวกเขาซ่อนตัวอยู่ในเงามืดนี่แหละ’
หลินสวินสื่อจิต
ยามนี้เจ้าคางคก อาหลู่ ไฉไฉ่ต่างพากันซ่อนตัวอยู่ในเจดีย์สมบัติไร้อักษร
ทำเช่นนี้ก็เพื่อป้องกันยามที่เกิดเหตุสุดวิสัยอะไร จะมีหลินสวินคอยควบคุมสถานการณ์ เลี่ยงไม่ให้พลอยติดร่างแหเพราะคนมากเกินไป
‘เจ้าต้องระวังเผ่าอีกาทองไว้ด้วย อีกาพวกนี้นิสัยโอหัง ดุร้ายเจ้าอารมณ์ หุบเขาตะวันคล้อยอาณาเขตของพวกเขาก็อยู่ละแวกนี้เอง’
เจ้าคางคกรีบเอ่ยเตือนอย่างรวดเร็ว
‘ข้ารู้ เรื่องเร่งด่วนตอนนี้ย่อมเป็นออกจากที่นี่ก่อน’
หลินสวินกล่าวถึงตรงนี้ก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง เงาร่างหยุดชะงักกลางอากาศ ทอดสายตามองไปยังที่ไกลๆ
ตูม!
เกือบจะเวลาเดียวกัน ประกายแสงศักดิ์สิทธิ์สีทองที่เจิดจ้าไร้ทัดเทียมสายหนึ่งพุ่งโฉบมาจากที่ไกลโพ้น
เพียงชั่ววูบก็มาถึงบริเวณนี้แล้ว ประหนึ่งเคลื่อนไหวในพริบตา!
สิ่งที่มาพร้อมกันคืออานุภาพกดดันครอบฟ้าคลุมดินสายหนึ่ง พาให้ฟ้าดินแถบนี้จมสู่สภาพคร่ำครวญ หินผาบริเวณใกล้เคียงแตกกระจุย ผืนดินกว้างแตกระแหง
นี่ คือกลิ่นที่เป็นส่วนหนึ่งของระดับอริยะ!
“เจ้าหนุ่ม เจ้าคิดว่าจะหนีรอดหรือ”
ท่ามกลางน้ำเสียงเย็นเยียบเรียบเฉย รุ้งศักดิ์สิทธิ์สีทองสายนั้นกลายเป็นชายชราคนหนึ่ง
เขาสวมชุดคลุมสีทอง แก้มซูบตอบ นัยน์ตามีเปลวเพลิงสีทองน่าสยดสยองไหวเคลื่อน เจิดจ้าพร่าตาประดุจอาทิตย์ดวงใหญ่คู่หนึ่ง
ยืนสบายๆ อยู่ตรงนั้นก็แผ่กลิ่นอายอริยมรรคที่ควบคุมฟ้าดิน หมื่นวิชาสารพัดนึกแก่ผู้คน บีบคั้นเวิ้งฟ้า
“เผ่าอีกาทอง?”
นัยน์ตาดำของหลินสวินหดรัด ช่างคิดอะไรก็ได้อย่างนั้นจริงๆ
“ข้าอูหลิวฉื่อ ราชครูเก้าเผ่าอีกาทอง เจ้าหนุ่ม ข้าได้ยินเรื่องราวที่เจ้าก่อไว้ในแดนมกุฎหมดแล้ว จะให้โอกาสเจ้าสักหน ตามข้ามุ่งหน้าไปหุบเขาตะวันคล้อยแต่โดยดี หาไม่อย่าโทษว่าข้าเป็นผู้ใหญ่รังแกเด็ก”
อูหลิวฉื่อสีหน้าเรียบเฉย
ในฐานะอริยะ เขามีรากฐานและพลังเพียงพอจะเหยียดหยันสรรพชีวิต
และในสายตาของเขา ถึงแม้หลินสวินจะเหยียบย่างระดับมกุฎราชัน พลังต่อสู้บนมรรคาอมตะแข็งแกร่งถึงขีดสุด แต่… ก็แค่เท่านั้น!
“เท่าที่ข้ารู้ หุบเขาตะวันคล้อยห่างจากเมืองนำทางแปดพันลี้ แม้จะเร่งเดินทางทันทีที่ทราบข่าว ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะตามข้าทันภายในเวลาอันสั้นเช่นนี้”
นัยน์ตาดำของหลินสวินทอประกาย “เว้นแต่ก่อนหน้านี้เจ้าแอบสอดแนมในเงามืดมาโดยตลอด?”
“คำถามข้อนี้สำคัญมากหรือ”
สีหน้าอูหลิวฉื่อไร้ความรู้สึก เขาก้าวไปข้างหน้า แต่ละก้าวที่เหยียบย่างออกไปฟ้าดินนี้ก็สั่นสะเทือนอย่างหนักหนหนึ่ง แผ่นดินสั่นคลอนภูเขาโคลงเคลง ห้วงอากาศปั่นป่วน
ขณะเดียวกันบนตัวเขา อานุภาพบีบคั้นอันน่าสะพรึงก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ ดุจดั่งเงาทะมึนบดบังผืนฟ้า
“ข้าจะนับสาม หากไม่ยอมก้มหัว ตาย!”
อูหลิวฉื่อเอ่ยปาก นัยน์ตาเย็นเยียบจนปราศจากความรู้สึกใดๆ
ต่ำกว่าอริยะ ล้วนประหนึ่งมดปลวก!
และหลินสวิน ในสายตาของอูหลิวฉื่อก็เหมือนมดปลวก สามารถบดขยี้ได้ตามใจ
“หนึ่ง!”
เสียงราบเรียบดังก้อง เหมือนเสียงบรรเลงกระชากวิญญาณ
และพร้อมๆ กับเสียงนั้น อูหลิวฉื่อค่อยๆ บีบใกล้เข้ามาทีละก้าว ทุกก้าวต่างพาให้ฟ้าถล่มดินทลาย
ชั่วขณะเดียวฟ้าดินร้องโหยหวน สิบทิศล้วนสั่นสะท้าน อานุภาพอริยมรรคน่าสะพรึงไร้รูปท่วมท้นฟ้าดินแถบนี้ประหนึ่งกระแสน้ำหลากก็ไม่ปาน
หากผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ อยู่ที่นี่ เกรงว่าคงแบกรับไม่ไหวตั้งนานแล้ว ถูกซัดสะเทือนจนจิตใจแตกสลาย กระอักเลือดทรุดลงกับพื้น
แม้จะเป็นหลินสวินยามนี้ก็ยังรู้สึกถึงแรงกดดันอันยิ่งใหญ่อย่างหนึ่ง ทำเอาทั่วร่างเขาราวกับคันธนูใหญ่ที่ง้างเต็มเหนี่ยว เริ่มเกร็งขึ้นมา
ความรู้สึกนี้ ในช่วงสิบปีที่อยู่แดนมกุฎเขาได้พบเจอน้อยครั้งยิ่ง
นี่ก็คือระดับอริยะ!
ยืนตระหง่านเหนือมรรคาอมตะ เรืองรองเทียบเท่าสุริยันจันทรา อายุขัยตราบเท่าฟ้าดิน แผ่ครอบฝนฟ้าพลิกเปลี่ยนเมฆา กลิ่นอายกลายเป็นอสนี!
“ให้ข้าเดา เหตุที่เจ้าเลือกเวลานี้เกรงว่าก็คงหมดหนทางเหมือนกันกระมัง ถึงอย่างไรหากหนีไปแล้วก็ไม่สามารถแก้แค้นแทนลูกหลานพวกนั้นในเผ่าพวกเจ้าได้ แต่หากคู่ต่อสู่ลงมือ ก็กังวลว่าจะไปหาเรื่องคนที่ไม่ควรหาเรื่องเข้า ใช่หรือไม่”
สีหน้าหลินสวินเยือกเย็น พูดอย่างเป็นจังหวะจะโคน
พูดให้ถูกคือ เขาฝึกปราณมาจนป่านนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เผชิญหน้ากับแรงบีบคั้นของอริยะจังๆ แรงบีบคั้นที่ต้องแบกรับแสนยิ่งใหญ่ แต่ยังไม่ถึงขั้นทำให้เขาจิตใจสั่นไหว
นัยน์ตาอูหลิวฉื่อผุดแววประหลาดใจวูบหนึ่ง จากนั้นก็กล่าวเย็นชาว่า “ความกล้าหาญไม่น้อยทีเดียว!”
ตูม!
ห้วงอากาศแตกระเบิด บาดหูอย่างที่สุด
“สอง!” ริมฝีปากเขาเอ่ยคำหนึ่งออกมาเบาๆ ดุจดั่งฟ้าคำราม
และในเวลานี้เอง หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ปราณทั่วร่างโคจรถึงขีดสุด ปลดปล่อยแบบไม่เคยเป็นมาก่อน ชั่วพริบตาเขาเหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคน
ผิวหนังทุกอณูล้วนเปล่งแสงมรรคเรืองรองออกมา อานุภาพดุจดั่งเทพมาร
“วันนี้ข้ากลับอยากใช้ปราณอมตะเคราะห์ด่านเจ็ดขั้นสมบูรณ์ มาขอคำชี้แนะศักยภาพของอริยะสักหน่อย!”
กลางนัยน์ตาของหลินสวินพุ่งยิงจิตต่อสู้ลุกโชนออกมา
เขากระหายใคร่รู้จริงๆ ว่าตนเองในตอนนี้จะห่างชั้นกับระดับอริยะขนาดไหน
วิธีการเช่นนี้อาจจะบ้าคลั่งสุดขีด หากถูกผู้แข็งแกร่งคนอื่นรู้เข้าคงต้องคิดว่าตนกำลังรนหาที่ตายเป็นแน่
แต่หลินสวินไม่กลัวสักนิด!
ก่อนออกจากแดนมกุฎ เขาก็มีความคิดเช่นนี้นานแล้ว
“มดแดงขย่มต้นไม้”
บนใบหน้าของอูหลิวฉื่อผุดแววดูแคลนอย่างรุนแรง ไม่ปกปิดสักนิด ถึงขั้นที่เขายังนึกสงสัยว่าตัวเองฟังผิด!
นับแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน ผู้แข็งแกร่งระดับอมตะเคราะห์คนไหนบ้างกล้าท้าทายอริยะเช่นนี้ ไม่กลัวถูกหนึ่งฝ่ามือตบตายรึ
“สาม!”
อูหลิวฉื่อไม่ลังเลอีกต่อไป นัยน์ตาผุดไอสังหารแวบผ่านไป
สวบ!
เกือบจะเวลาเดียวกัน เงาร่างของเขาขยับไหวหายลับกลางอากาศ และเมื่อปรากฏตัวอีกครั้งก็มาหยุดต่อหน้าหลินสวิน กดหนึ่งฝ่ามือออกมาอย่างแรง
เคลื่อนผ่านห้วงอากาศ!
พลังที่มีเพียงอริยะเท่านั้นที่สามารถครอบครองได้
ความเร็วระดับนี้ หลุดพ้นพันธนาการของห้วงอากาศอย่างสิ้นเชิง ทุบทำลายโซ่ตรวนแห่งความว่างเปล่าแล้ว!
หากเกิดกับตัวผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ คงถึงขั้นตอบสนองไม่ทันด้วยซ้ำ
แต่จังหวะที่อูหลิวฉื่อบุกโจมตี พลังหมัดเจิดจ้าไร้ทัดเทียมสายหนึ่งก็โฉบพุ่งอออกไปแล้ว
หมัดนี้ เรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่สะท้อนพลังที่แกร่งที่สุดของหลินสวินในยามนี้แล้ว ใช้มรรคดับดารากลืนกินมาควบคุม บรรจุพลังมหามรรคมากมายไว้ภายในนั้น
และพร้อมๆ กับที่ปล่อยหมัดออกไป โทสะหยาจื้อ วิชาอริยะยุทธ์ วิชายอดนิรันดร์ไร้รั่ว ก็รวบเอาสารพลังทั่วตัวหลินสวินทะลักเข้าสู่หมัดนี้ตั้งแต่แรกแล้ว
สามารถพูดอย่างไม่เกินจริงว่า ต่อให้เป็นบุคคลระดับอวิ๋นชิ่งไป๋ โอรสเซ่าเฮ่า เผชิญหน้ากับหมัดนี้ก็ต้องเตรียมรับอย่างครัดเคร่ง ปะทะเต็มกำลัง
ตูม!
แรงกระแทกสะเทือนเลื่อนลั่นฟ้าดินสายหนึ่งดังกึกก้อง ห้วงอากาศพังครืนดังโครมคราม ทั่วสิบทิศประหนึ่งถูกซัดกระจุย บังเกิดหลุมว่างเปล่าแปลกประหลาด
และเงาร่างของหลินสวินก็เหมือนไม่อาจควบคุม ลอยคว้างกลางห้วงอากาศห่างออกไปร้อยจั้งเต็มๆ กว่าจะฝืนทรงตัวได้
“นี่ก็คือพลังของระดับอริยะหรือ”
หลินสวินหอบหายใจถี่รัว เลือดลมพลิกกลับ แทบจะกระอักเลือด แต่นัยน์ตาดำของเขากลับทอประกายเจิดจ้าสุดขีด ทำหน้าประหนึ่งว่าก็แค่เท่านั้นเอง
“แค่โจมตีส่งๆ เท่านั้น คิดจริงๆ หรือว่าฆ่าเจ้าไม่ได้จริงๆ”
อูหลิวฉื่อแค่นเสียงเย็น อันที่จริงในใจเขาค่อนข้างตะลึงอยู่บ้าง คิดไม่ถึงว่าหลินสวินจะถึงกับต้านทานการโจมตีของเขาไว้ได้ นี่น่าแปลกใจยิ่ง
เพราะอย่าว่าแต่อมตะเคราะห์ด่านเจ็ด ต่อให้เป็นราชันระดับอมตะเคราะห์ด่านเก้า อยู่ต่อหน้าเขาก็ไม่ต่างอะไรกับไก่ดินสุนัขกระเบื้อง
ต่ำกว่าระดับอริยะล้วนประหนึ่งมดปลวก ประโยคนี้หาได้พูดส่งๆ!
แต่หลินสวินกลับต้านทานการโจมตีของเขาได้!
หนำซ้ำยังเข้าปะทะตรงๆ ไม่ได้หลบเลี่ยง
สวบ!
เงาร่างเขาขยับไหว หายลับไปอีกครั้ง
ครู่ต่อมาเขาก็ปรากฏอยู่ด้านหลังหลินสวินแล้ว ทำมุทระเป็นประทับ ฟันโจมตีลงไปอย่างแรง ประหนึ่งวิญญาณเก่าแก่โบราณเหวี่ยงขว้างภูเขาเทพทั้งลูก
ตู้ม!
ด้านหลังหลินสวินราวกับมีตางอกออกมา เงามายาฟู่ซี่ตัวหนึ่งพุ่งพรวดออกมาโดยพลัน ดูมีชีวิตชีวา เปี่ยมด้วยพลังกฎเกณฑ์เจินหลงที่วิเศษล้ำเกินบรรยาย
เสียงปังสายหนึ่งดังสนั่น เงามายาฟู่ซี่แหลกกระจาย ท่ามกลางละอองแสงสาดกระเซ็น หลินสวินยังคงถูกประทับฝ่ามือนั้นตบใส่อย่างไม่อาจเลี่ยง ทั้งตัวถูกซัดร่วงลงกับพื้น
“ตาย!”
อูหลิวฉื่อไม่ได้หยุดมือแต่อย่างใด กดหนึ่งฝ่ามือออกไปอีกครั้ง
ฉัวะ!
เพียงแต่จังหวะที่ฝ่ามือกดออกไป ประกายคมที่ขาวเจิดจ้าดุจหิมะสายหนึ่งก็ปรากฏ บั่นเฉือนไปทางหัวของอูหลิวฉื่อด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ
กระบวนเฉือนไม่เที่ยงแท้!
อูหลิวฉื่อนัยน์ตาหดรัด งอนิ้วชี้แล้วดีดนิ้วออกไป
เคร้ง!
ท่ามกลางแรงกระแทกสะเทือนโสตจวนหูจะหนวก ดาบหักถูกดีดปลิว ส่งเสียงวู้มบาดหูออกมา
“เอ๋ สมบัตินี้น่าทึ่งทีเดียว ถึงกับต้านทานการโจมตีของข้าได้”
อูหลิวฉื่อประหลาดใจอยู่บ้าง
ส่วนหนึ่งฝ่ามือที่เขาตบออกมา ก็เพราะถูกการลอบโจมตีจากดาบหักจึงไม่อาจซัดใส่หลินสวินได้
“เจ้าเฒ่า ที่แท้เจ้าก็เป็นอริยะเทียมคนหนึ่ง”
บนพื้นดินท่ามกลางฝุ่นควันคลุ้งกระจาย เงาร่างของหลินสวินพุ่งทะยานขึ้นมา มุมปากของเขามีรอยเลือด ดูสะบักสะบอมยิ่ง
แต่สีหน้าของเขากลับแฝงแววเหยียดแคลนอยู่เสี้ยวหนึ่ง!
อริยะแท้จริง สามารถควบหลอมกฎเกณฑ์อริยมรรค ความแข็งแกร่งในอานุภาพทัดฟ้าเทียมปฐพี
แต่อริยะเทียม ทำได้เพียงครอบครองพลังแห่งระดับอริยะ ไม่สามารถหยั่งถึงและควบหลอมกฎเกณฑ์อริยมรรคได้!
อูหลิวฉื่อเป็นอริยะคนหนึ่งจริงๆ พลังทั่วกายบีบคั้นเวิ้งฟ้า พาให้สิบทิศสั่นสะท้าน แต่เขากลับไม่ได้ควบหลอมกฎเกณฑ์อริยมรรคสักนิด
การบุกโจมตีของเขามีพลังกฎเกณฑ์อยู่จริงๆ แต่กลับเป็นพลังกฎเกณฑ์ของมรรคาอมตะ! ขาดอานุภาพที่เป็นส่วนหนึ่งของกฎเกณฑ์อริยมรรค!
“อย่างเจ้าก็กล้าวิพากษ์วิจารณ์ระดับอริยะหรือ”
อูหลิวฉื่อหน้าขรึม ถูกกระตุ้นโทสะแล้ว คนรุ่นหลังคนหนึ่ง แค่เหยียบย่างระดับมกุฎราชันเท่านั้นก็กล้าดูแคลนอริยมรรคของเขาเช่นนี้ ช่างบ้าระห่ำเกินไปแล้ว!
ตูม!
เขาเหยียบย่างห้วงอากาศ อาภรณ์โบกพลิ้ว หนึ่งฝ่ามือคว้าตะครุบ อาทิตย์ดวงใหญ่สีทองปรากฏขึ้นสาดส่องเวิ้งฟ้า แผ่กลิ่นอายน่าสะพรึงที่เผาฟ้าผลาญดินออกมา
สู้ศึกจนป่านนี้ อูหลิวฉื่อวางใจอย่างสิ้นเชิง ไม่กังวลว่า ‘อริยะหญิงลึกลับ’ ในคำเล่าลือคนนั้นจะโผล่ออกมาอีกต่อไป
ก่อนหน้านี้ก็เพราะเขากริ่งเกรงจุดนี้ ยามลงมือถึงได้ระมัดระวังทำการลองเชิง
หากไม่ใช่เพราะเหตุนี้ สำหรับอูหลิวฉื่อแล้ว หลินสวินก็คือคนตายคนหนึ่ง!
หืม?
และในเวลานี้เอง อูหลิวฉื่อนัยน์ตาหดรัด
ในมือซ้ายของหลินสวินปรากฏคันธนูใหญ่ที่ประหนึ่งสร้างขึ้นจากกระดูกขาวคันหนึ่ง หยาบหนาดุดัน ส่วนสายธนูกลับแดงสดน่าสยดสยอง ราวกับเคยถูกแช่อยู่ในเลือดเทพมาก่อน
และเมื่อมองเห็นศรเทพดอกหนึ่งที่หลินสวินถือในมือขวาถนัดตา อูหลิวฉื่อก็ไม่อาจรักษาความสงบได้อีกต่อไป กล่าวเสียงหลงว่า “นะ… นี่คือศรนภาคราม!?”
ศรเทพดอกนั้นเรียบง่ายไม่หวือหวา หยาบหนาดุจท่อนแขน บนขนศรเปื้อนคราบเลือดแดงเข้ม ในคมศรดำสนิทไหลเวียนด้วยประกายแสงเย็นเยียบที่คล้ายมีแต่ไม่มี
เพียงแค่ถืออยู่ในมือหลินสวินก็มีอานุภาพอำมหิตน่าสะพรึงแผ่ออกมา บีบคั้นจนห้วงอากาศสี่ทิศบังเกิดระลอกคลื่นกระเพื่อมไหวที่ประหนึ่งพังทลายก็ไม่ปาน
หนึ่งคันธนูหนึ่งลูกศร เป็นคันธนูวิญญาณไร้แก่นสารและศรนภาครามนั่นเอง!
ในแดนมกุฎ อริยเทพไม่คงอยู่ ดังนั้นจึงไม่สามารถใช้สมบัติอริยะได้
แต่อยู่โลกภายนอก ย่อมไม่เหมือนกัน!
วู้ม!
พร้อมๆ กับที่หลินสวินง้างคันธนูเต็มเหนี่ยว ระลอกคลื่นพิศวงที่ดุจดั่งเสียงเพรียกจากเทพมารสายหนึ่งก็ดังกึกก้องสะท้อนเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน
และเป็นเวลานี้ที่อูหลิวฉื่อได้สติจากความตกตะลึง สีหน้าเขียวคล้ำหาใดเปรียบ นัยน์ตาปรากฏไอสังหารรุนแรงที่ไม่อาจปกปิดออกมา
ศรนภาคราม!
ในฐานะคนของเผ่าอีกาทอง เขาไม่อาจลืมเลือนว่านี่คือหนึ่งในศรเทพทั้งเก้าของเผ่าต้าอี้บรรพกาล ที่เคยยิงฆ่าบรรพชนเผ่าอีกาทองของเขาไม่รู้ตั้งเท่าไหร่!
——