บทที่ 658.2 เอาบะหมี่หยางชุนมาอีกชาม

กระบี่จงมา! Sword of Coming

รอบกายหร่วนซิ่ว

มีหลี่เป่าผิงที่แค่เห็นหน้ากันครั้งแรกก็ถูกชะตากัน มีเผยเฉียนลูกศิษย์ใหญ่ของภูเขาลั่วพั่ว หลิวเสี้ยนหยางผู้สืบทอดแห่งสำนักกระบี่หลงเฉวียน กู้ช่านแห่งตรอกหนีผิงที่บนโลกนี้เหลือสหายอยู่อีกไม่มาก ราชสำนักสกุลหลูที่ถือเป็นไฟของห้าธาตุ อวี๋ลู่รัชทายาทผู้สิ้นแคว้นที่แบกรับโชคชะตาบู๊ของหนึ่งแคว้น เซี่ยเซี่ยที่บนร่างมีโชคชะตาบนภูเขาอยู่มากมาย

ข้างกายหลี่หลิ่ว

มีน้องชายหลี่ไหว มังกรที่แท้จริงจื้อกุยแน่นอนว่าเกิดมาก็ใกล้ชิดกับน้ำ ถ้าอย่างนั้นซ่งจี๋ซินจะเลือกฝ่ายใดก็ชัดเจนดีอยู่แล้ว หม่าขู่เสวียน หนึ่งเป็นเพราะเขายินดีจะติดตามจื้อกุย สองเพราะท่านย่าของเขาได้เลื่อนขั้นจากแม่ย่าลำคลองหลงซวีเป็นเทพลำคลอง คนเชื่อดาบหลินโซ่วอี มือดาบต่งสุ่ยจิ่ง ทั้งสองคนต่างก็ชอบหลี่หลิ่ว

หากเกี่ยวพันกับความผิดความถูกบนมหามรรคา ค่ายทัพทั้งสองที่ยังเพิ่งอยู่ในช่วงก่อรูปก่อร่าง ทั้งสองคนต่างก็มีคนที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์ด้วย หากเรื่องเล็กๆ สะสมนานวันเข้า สุดท้ายใครเล่าจะสามารถวางตัวอยู่นอกเหนือเรื่องราวได้?

ถ้าอย่างนั้นก็จำเป็นต้องให้ระหว่างสองฝ่ายนี้มีบุคคลที่ยินดีจะใช้เหตุผล และสามารถพูดโน้มน้าวสยบใจผู้คนเพิ่มมาคนหนึ่ง

เฉินผิงอัน

ชุยฉานวางเม็ดหมาก ไม่ได้เอาแต่มองหมากเหล่านั้นเป็นแค่หุ่นเชิดในมือเท่านั้น ชุยฉานไม่เคยรู้สึกว่าความเป็นความตายของคนบนโลกล้วนถูกควบคุมอยู่ในมือของข้า เอาชะตาชีวิตของพวกเขามากำเล่นในฝ่ามือตัวเอง นั่นจะนับเป็นความสามารถยิ่งใหญ่อะไรได้ และยิ่งไม่ใช่เรื่องที่ทำให้สะใจอะไรเลย กลับกันคือยังต้องปูทางให้หมากเหล่านั้นเงียบๆ ทำให้วิถีทางบนมหามรรคาของหมากเหล่านั้นที่บางทีอาจวกวนอ้อมค้อม แต่สุดท้ายแล้วในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งก็ยังสามารถมาปรากฎอยู่ในตำแหน่งที่เป็นกุญแจสำคัญได้

หากแค่ละโมบในมหามรรคาและชีวิตอมตะ ชุยฉานย่อมไม่มีทางทรยศออกจากสายเหวินเซิ่ง

หากชอบกุมอำนาจ คิดจะเป็นผู้อำนวยการใหญ่ของสถานศึกษา เป็นรองเจ้าลัทธิในศาลบุ๋นของแผ่นดินกลาง แค่เอื้อมมือคว้าก็เข้ามาอยู่ในกระเป๋าของข้าชุยฉานได้แล้ว จะมีอะไรยากกัน?

หยางเหล่าโถวพ่นควันขโมง กลุ่มควันลอยแผ่ปกคลุมไปทั่วร้านยา ถามว่า “เรื่องนั้นเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”

ชุยฉานเผยสีหน้าจนใจอย่างที่หาได้ยาก “ไม่เชื่อใจคนอื่น คนอื่นก็ทำเรื่องนี้ไม่ได้ ได้แต่แบ่งแยกจิตวิญญาณ ข้าจับตามองชุยตงซานอยู่เงียบๆ ภายในเวลาหนึ่งวัน อย่างน้อยที่สุดเขาจะมีความคิดอยู่สองอย่าง อย่างมากที่สุดก็คือเจ็ดหมื่นอย่าง เปลี่ยนจากชุยตงซานมาพิศมองข้าบ้าง อย่างน้อยที่สุดข้ามีสามความคิด อย่างมากที่สุดคือแปดหมื่น พวกเราสองคน ต่างคนต่างมีทั้งข้อดีและข้อเสีย”

หยางเหล่าโถวถาม “เส้นสายอันเป็นรากฐานพวกนั้นเรียบเรียงได้ราบรื่นแล้วหรือ?”

ชุยฉานส่ายหน้า “มีข้อโต้แย้งไม่น้อย การสลับสับเปลี่ยนสามชนิดที่มีสามขั้นตอน พวกเราสองฝ่ายต่างก็มีจุดขัดแย้งกันเอง แทบจะพลิกกลับลำดับขั้นตอนของอีกคนไปอย่างสิ้นเชิง ยุ่งยากมาก”

หยางเหล่าโถวยิ้มถาม “เหตุใดที่ผ่านๆ มาถึงจงใจไม่มาถามข้า?”

ชุยฉานยิ้มบางๆ “ไม่ว่าจะด้วยอายุหรือขอบเขต ท่านคือผู้อาวุโส ข้าคือผู้น้อย แต่หากว่าด้วยเรื่องการวางแผน พวกเราถือเป็นคนรุ่นเดียวกัน”

หยางเหล่าโถวส่ายหน้า “ไม่จำเป็นต้องถ่อมตัว เจ้าคือผู้อาวุโส”

ชุยฉานกุมหมัดยิ้มกล่าว “ไม่กล้ายอมรับ หวาดหวั่นที่จะรับเอาไว้”

ถ้อยคำเกรงอกเกรงใจ สายของเหวินเซิ่งนั้น ตั้งแต่อาจารย์มาจนถึงลูกศิษย์ แล้วไปถึงลูกศิษย์ผู้สืบทอด เหมือนว่าจะเชี่ยวชาญกันอยู่มาก

หยางเหล่าโถวพลันหลุดหัวเราะพรืด เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะทอดถอนใจเอ่ยว่า “สายตาในการรับลูกศิษย์ของซิ่วไฉเฒ่าช่างดีจริงๆ การวางแผนของลูกศิษย์คนแรกเป็นดั่งหมู่ดาราส่องแสงพร่างพราว เวทกระบี่ของจั่วโย่วดั่งดวงจันทร์กระจ่างใกล้จะเต็มดวงที่ลอยอยู่กลางนภา ความรู้ของฉีจิ้งชุนสูงที่สุด กลับกลายเป็นว่าเท้าเหยียบติดพื้นดิน พิทักษ์อยู่บนโลกมนุษย์มากที่สุด”

สำนักเจินจิ้งของทะเลสาบซูเจี่ยนมีความเกี่ยวพันกับสำนักกุยหยกของใบถงทวีป

เรือข้ามทวีปของสำนักพีหมาชายหาดโครงกระดูก ทำการค้าได้ไม่เล็ก

จวี้จื่อแห่งสำนักโม่ บรรพบุรุษของสำนักการค้า บวกกับคนอีกมากมายที่ยังคงซ่อนตัวอยู่เบื้องหลัง ล้วนทยอยกันถูกชุยฉานเชื้อเชิญมาบนโต๊ะเดิมพัน ตอนนี้ก็ยังมีเจ้านครจักรพรรดิขาวที่มาเยือนแจกันสมบัติทวีปด้วยตัวเองอีก

ชุยฉานนั่งอยู่บนม้านั่งตัวยาว สองมือวางทับบนหัวเข่าเบาๆ เอ่ยเย้ยหยันตัวเองว่า “เพียงแต่ว่าจุดจบไม่ค่อยดีสักเท่าไร”

หยางเหล่าโถวยิ้มกล่าว “ฝึกตนเป็นอมตะมักมีชีวิตที่ดี คนมีความสามารถที่ศึกษาหาความรู้มักมีชีวิตอาภัพ”

ชุยฉานยิ้มบางๆ “ประโยคนี้ของผู้อาวุโสปลอบใจข้าได้ดีนัก”

……

หลิ่วชื่อเฉิงพาน้องหลงป๋อเดินทางไปพร้อมกับกู้ช่าน เตรียมจะไปที่เขตการปกครอง

ตอนนี้อำเภอไหวหวงสามารถเดินทางไปได้ทั่วสารทิศ ถนนน้อยใหญ่มีอยู่มากมาย

พวกคนหนุ่มสาวที่ไปรวมตัวกันที่โรงเรียนแยกย้ายกันไปตามทาง ต่างคนต่างกลับบ้านตัวเอง ความกดดันในมืดฟ้ามัวดินในใจของไฉ่ป๋อฝูจึงลดฮวบลงตามไปด้วย นี่ทำให้เขาพูดไม่ออกบอกไม่ถูก

หลิ่วชื่อเฉิงสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงทางสภาพจิตใจของไฉ่ป๋อฝูอย่างเฉียบไว เขาจึงตบไหล่เด็กหนุ่มผมขาว “น้องหลงป๋อ มองไม่ออกเลยว่าที่แท้เจ้าก็เป็นคนฉลาดขนาดนี้ มีความหวังบนมหามรรคาเลยนะนี่”

ไฉ่ป๋อฝูเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ขอบคุณผู้อาวุโสที่อวยพร”

สือชุนเจียขึ้นรถม้าเดินทางกลับเมืองหลวงต้าหลีพร้อมเปียนเหวินเม่าผู้เป็นสามี หลี่เป่าผิงบอกว่าจะหาม้าสักตัวมาขี่ อีกเดี๋ยวก็จะตามไปทันรถม้า

ส่วนพวกหลี่ไหว หลินโส่วอีก็ตามเหมาเสี่ยวตงกลับไปที่สำนักศึกษาต้าสุย

เฉาเกิงซินและต่งสุ่ยจิ่งนัดกันไปดื่มเหล้าที่ร้านของหวงเอ้อเหนียง

เจ้าเมืองหยวนเจิ้งติ้งเดินทางไปพร้อมกับซ่งจี๋ซินและสาวใช้จื้อกุย หาข้ออ้างไปกราบไหว้ศาลบุ๋นที่ภูเขากระเบื้องด้วยกัน

หม่าขู่เสวียนพาซู่เตี่ยนไปเยี่ยมชมศาลบู๊ในสุสานเทพเซียน

หลิวเสี้ยนหยางติดตามหร่วนซิ่วไปยังภูเขาของสำนักกระบี่หลงเฉวียน ยังคงไม่ใช่ลูกศิษย์ผู้สืบทอด แน่นอนว่าไม่อาจไปจุดธูปกราบไหว้ภาพเหมือนที่ศาลบรรพจารย์ได้ เป็นเพียงแค่การไปเดินเล่นเท่านั้นจริงๆ แต่หลิวเสี้ยนหยางบอกว่าจะไปที่ภูเขาลั่วพั่วก่อน ดูเหมือนว่าหร่วนซิ่วจะรอคอยประโยคนี้มาโดยตลอด แต่นางเสนอว่าสามารถไปที่สำนักกระบี่หลงเฉวียนก่อนได้ แล้วค่อยไปภูเขาลั่วพั่ว หลิวเสี้ยนหยางรู้สึกว่ามีเหตุผล

จากนั้นคนสองคนที่ทะยานลมเดินทางไกลก็มองเห็นหลี่เป่าผิงที่กำลังเดินไปทางภูเขาใหญ่

เด็กหนุ่มต่างถิ่นที่มาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ซึ่งไปอาศัยอยู่ที่แท่นบูชากระบี่อย่างจางเจียเจินและเจี่ยงชวี่ เดินทางมาเยือนภูเขาลั่วพั่วภายใต้การคุ้มกันอย่างลับๆ ของผู้ฝึกกระบี่ชุยเหวย

ก่อนหน้านี้ผู้ดูแลใหญ่จูเคยเอ่ยว่า อยากจะให้พวกเขาสองคนไปช่วยที่ร้านยาสุ้ยของตรอกฉีหลง จางเจียเจินและเจี่ยงชวี่ปรึกษากันก็รู้สึกว่าควรจะมาที่นี่ก่อน จะได้สอบถามเรื่องที่ควรระวังจากอาจารย์ผู้เฒ่าจู

อันที่จริงชุยเหวยเองก็มีแผนการของตัวเอง จึงอยากขอคำอนุญาตจากจูเหลี่ยนเหมือนกัน

เผยเฉียนเพิ่งจะพาหมี่ลี่น้อยออกจากพื้นที่มงคลรากบัวกลับมายังภูเขาลั่วพั่วพอดี พอเห็นจางเจียเจินกับเจี่ยงชวี่ก็มีท่าทีดีใจกันไม่น้อย

อย่างน้อยที่สุดเฉินหน่วนซู่ที่เห็นเมล็ดแตงหนึ่งถุงผ้าป่านก็คงไม่บ่นนางกับหมี่ลี่น้อยแล้ว เพราะต้องคอยรับรองเด็กหนุ่มสองคนที่ถือว่าเป็นคนกันเองแล้ว

หมี่ลี่น้อยเจ้าเล่ห์นัก ก่อนหน้านี้ถูกหน่วนซู่บ่นว่าซื้อเมล็ดแตงมามากเกินไป ราคาก็ไม่ถือว่าคุ้มค่าด้วย หมี่ลี่น้อยไม่ได้มาระบายความทุกข์อะไรให้ฟัง แค่แกล้งทำเป็นไม่พูดไม่จาอย่างมีคุณธรรม แต่กลับขยิบตาให้เผยเฉียนถี่ๆ นี่หมายความว่าอะไรกัน

หยวนไหลเคยพูดคุยกับจางเจียเจินและเจี่ยงชวี่มาก่อน ความสัมพันธ์ไม่เลว จึงขึ้นเขาไปพร้อมกัน

ส่วนหยวนเป่าที่ซื่อเซ่อผู้นั้น คาดว่าก็คงฝึกวิชาหมัดประลองฝีมืออยู่กับเฉินยวนจีที่โง่งมอยู่บนยอดเขากระมัง

หลี่เป่าผิงมายืมม้าตัวนั้นจากภูเขาลั่วพั่ว คือม้าตัวที่อาจารย์อาน้อยของนางนำกลับจากทะเลสาบซูเจี่ยนมายังบ้านเกิด ช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้ก็เลี้ยงไว้ในอาณาเขตของภูเขาลั่วพั่วตลอดมา

อาจารย์อาน้อยมักจะไม่ลืมมิตรภาพเก่าๆ เช่นนี้เสมอ

พอเผยเฉียนได้ยินว่าพี่หญิงเป่าผิงมาถึงหน้าประตูภูเขาแล้วก็รีบพาหมี่ลี่น้อยซึ่งกำลังขยี้หูวิ่งตะบึงไปหานางทันที

อยู่ห่างกันร้อยกว่าขั้นบันได เผยเฉียนกระทืบเท้าหนึ่งที กระโดดขึ้นสูง แล้วพลิ้วกายลงบนพื้น มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าหลี่เป่าผิง

โจวหมี่ลี่ที่หาบคานหาบสีทองอันเล็ก ในมือถือไม้เท้าเดินป่าทำตามเผยเฉียน อยู่ดีๆ ก็หยุดชะงักกึก สองเข่างอลงเล็กน้อย ตวาดเบาๆ หนึ่งครั้ง คิดไม่ถึงว่าออกแรงมากเกินไป ผลคือต้องร้องว้ากๆๆ อยู่กลางอากาศ กระเด็นไปกระแทกประตูภูเขาที่ตีนเขาโดยตรง

เผยเฉียนจึงเอื้อมมือมาคว้าแล้วกระชากนางกลับมาข้างกาย

แม่นางน้อยชุดดำที่ร่างโงนเงนหยุดยืนนิ่งได้แล้วก็หัวเราะฮ่าๆ

เห็นว่าเผยเฉียนตัวสูงขึ้นอย่างพรวดพราด หลี่เป่าผิงก็ยื่นมือมาดึงแก้มของเด็กสาว จากนั้นก็ค้อมเอวลง ใช้สองมือตบแก้มหมี่ลี่น้อยแล้วบีบเบาๆ คิ้วสีเหลืองอ่อนจางสองข้างของแม่นางน้อยชุดดำหนึ่งสูงหนึ่งต่ำ มองดูแล้วน่าขำอย่างยิ่ง

ภายใต้การนำทางของหยวนเป่า จางเจียเจินและเจี่ยงชวี่ไปเยือนศาลภูเขามารอบหนึ่ง ศาลแห่งนั้นแทบไม่มีควันธูปลอยโชยเลยแม้แต่น้อย

ก็เหมือนอย่างที่เผยเฉียนคาดเดา เฉินยวนจีกับหยวนเป่ากำลังถามหมัดกันและกันอยู่บนลานกว้าง

เด็กหนุ่มสามคนนั่งเรียงกันอยู่บนราวรั้วที่ห่างไปไม่ไกล

จางเจียเจินมองพี่สาวสองคนที่พอเก็บหมัดก็ยืนตัวตรงอย่างสง่างามแวบเดียวก็ไม่มองอีก

แต่หันหน้าไปมองขุนเขาสายน้ำที่สลับเรียงกันหนาชั้นนอกภูเขาลั่วพั่ว มีนกฝูงใหญ่บินผ่านมาโดยบังเอิญ มองดูคล้ายสายน้ำสีขาวหิมะเส้นหนึ่งที่ขยับเคลื่อนไหลรินช้าๆ ลอยอยู่กลางอากาศ

ตอนที่จางเจียเจินเป็นลูกจ้างร้านอยู่ที่ร้านเหล้าของกำแพงเมืองปราณกระบี่ เคยถามคำถามอาจารย์เฉินเป็นการส่วนตัวไปข้อหนึ่ง

อาจารย์เฉินมีความรู้ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ แรกเริ่มสุดความรู้ของอาจารย์เฉินก็เป็นท่านอาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งที่ถ่ายทอดให้ด้วยตัวเองหรือ?

นักเล่านิทานที่พอเล่าเรื่องจบก็หิ้วม้านั่งถือกิ่งไม้ไว้ในมือ ยามที่เดินเคียงไหล่ไปกับเด็กหนุ่มในตรอกได้ยิ้มส่ายหน้า ว่าไม่ได้เป็นเช่นนี้ ช่วงแรกเริ่มสุดที่บ้านเกิดของข้ามีโรงเรียนอยู่แห่งหนึ่ง อาจารย์แซ่ฉี อาจารย์ฉีบอกว่าหลักการเหตุผลอยู่ในตำรา แต่การวางตัวเป็นคนนั้นอยู่นอกตำรา วันหน้าหากเจ้ามีโอกาสไปเยือนบ้านเกิดของข้า สามารถลองไปดูที่โรงเรียนแห่งนั้นได้ หากอยากเรียนหนังสือจริงๆ ที่นั่นก็ยังมีโรงเรียนแห่งใหม่ ความรู้ของพวกอาจารย์ก็ไม่ใช่เล็กๆ เหมือนกัน

ตอนนั้นจางเจียเจินพร่ำเอ่ยถ้อยคำเกี่ยวกับหลักการเหตุผลและตำราประโยคนั้น

อาจารย์เฉินยกมือขึ้นน้อยๆ ชี้ไปยังทิศไกล ยิ้มเอ่ยว่าสำหรับเด็กคนหนึ่งที่ไม่เคยเรียนหนังสือมาก่อน ฟังประโยคนี้เข้าหูก็เหมือนว่า…อยู่ดีๆ ก็มีภูเขาเงินภูเขาทองลูกหนึ่งโผล่มากลางอากาศ เส้นทางค่อนข้างยาวไกล แต่ว่ามองเห็นแล้ว ถือมีดผ่าฟืน แบกจอบ สะพายตะกร้าไม้ไผ่ ไปหาเงินก้อนใหญ่ที่นั่น! อยู่ดีๆ ก็ทำให้คนรู้สึกว่ามีความหวัง ราวกับว่าในที่สุดก็พอจะมีความหวังบ้างแล้วว่าชีวิตนี้จะได้มีวันที่กินอยู่อย่างไร้ทุกข์ไร้กังวลแล้ว

อันที่จริงคำพูดหลายอย่างที่ไม่เกี่ยวข้องกับหลักการเหตุผลของอาจารย์เฉิน เด็กหนุ่มล้วนจดจำไว้ในใจเงียบๆ

ใต้หล้าไพศาลเองก็มีคนยากจนอยู่มากมาย คำที่บอกว่ามีชีวิตที่ดีก็คือคนที่สามารถแปะภาพเทพทวารบาล ภาพกลอนคู่ใหม่ๆ ได้ทุกปี คำที่บอกว่าบ้านพอมีฐานะ ก็คือมีเงินเหลือให้ซื้อภาพเทพทวารบาล กลอนคู่ได้มากมาย เพียงแต่ว่ามีสถานที่มากมายของบ้านเรือนที่สามารถแปะภาพเทพทวารบาล คำโคลงคู่ได้ หากในกระเป๋าไม่มีเงินก็ได้แต่มองด้วยความอยากได้เท่านั้น

เมื่อเด็กหนุ่มได้มาเยือนบ้านเกิดของอาจารย์เฉินอย่างไม่ง่ายนัก อาจารย์เฉินกลับยังคงอยู่ที่บ้านเกิดของเด็กหนุ่ม

ทางฝั่งชั้นสองของเรือนไม้ไผ่

หลี่เป่าผิงพาเด็กสาวเผยเฉียนและแม่นางน้อยสองคนอย่างเฉินหน่วนซู่และโจวหมี่ลี่ไปฟุบตรงราวรั้ว มองทัศนียภาพไปด้วยกัน

คนที่ตัวสูงก็ไม่จำเป็นต้องเขย่งเท้า

โจวหมี่ลี่ที่ตัวเตี้ยที่สุดก็ได้แต่ลอยห้อยต่องแต่งอยู่บนราว

ราวกับว่านาทีถัดไปจะได้พบกับใครบางคนที่ในมือถือไม้เท้าเดินป่า สะพายหีบไม้ไผ่หวนกลับคืนมาสู่บ้านเกิด

จากนั้นเขาก็จะเงยหน้า คลี่ยิ้มโบกมือทักทายพวกนาง

เผยเฉียนถามเสียงเบา “วันนี้ดวงจันทร์อยู่ในลำคลอง พรุ่งนี้ดวงดาวเคลื่อนลงต่ำ ถ้าอย่างนั้นวันมะรืนอาจารย์พ่อก็จะกลับมาบ้านแล้วใช่ไหม”

หลี่เป่าผิงกล่าว “ดูเหมือนว่าอาจารย์อาน้อยจะคอยวิ่งวุ่นเหน็ดเหนื่อยเพื่อคนอื่นตลอดเวลา นับตั้งแต่วันแรกที่ออกไปจากบ้านเกิดก็ไม่เคยได้หยุดฝีเท้า ได้อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่นานหน่อยก็ดีเหมือนกัน ถือว่าได้พักผ่อนบ้าง”

เฉินหน่วนซู่ยิ้มกล่าว “ได้ยินว่าที่นั่นก็มีร้านเหล้าเหมือนกัน มีเมล็ดแตงแล้วก็มีบะหมี่หยางชุนชามโตด้วย”

โจวหมี่ลี่แกว่งเท้าที่ลอยอยู่กลางอากาศ พยักหน้ารับอย่างแรง “บะหมี่หยางชุนอร่อย ยิ่งชามใหญ่ก็ยิ่งดี”

ทางฝั่งของร้านเหล้ากำแพงเมืองปราณกระบี่ เฉินผิงอันที่ออกจากหัวกำแพงเมืองไปลงสนามรบ แล้วย้อนกลับเข้ามาในเมืองเป็นครั้งที่สองเปลี่ยนมาสวมเสื้อผ้าสะอาด เวลานี้เพิ่งจะมานั่งข้างโต๊ะ สั่งเหล้ามาหนึ่งกา กินบะหมี่หยางชุนอยู่เพียงลำพัง แม้จะบอกกับเด็กชายแล้วว่าให้บอกท่านพ่อเขาว่าอย่าใส่ต้นหอม แต่สุดท้ายก็ยังมีหอมซอยโรยมาบนบะหมี่อยู่ดี

นานๆ ทีเถ้าแก่รองจะได้มาที่นี่ ดังนั้นแม้ชามของที่ร้านจะไม่ใหญ่ ทว่าปริมาณของบะหมี่หยางชุนกลับมากพอ แล้วก็ยิ่งต้องใส่ต้นหอมซอยมากๆ ถึงจะเข้าท่า

เฝิงคังเล่อกับเถาป่านเด็กสองคนนั่งอยู่บนโต๊ะตัวติดกัน มองแผ่นหลังของเถ้าแก่รองที่กำลังก้มหน้าค้อมเอวดื่มเหล้า

เฉินผิงอันหันหน้ากลับมา ชูถ้วยเปล่าในมือขึ้น ยิ้มเอ่ยว่า “เอามาอีกถ้วย จำไว้ว่าอย่าใส่ต้นหอม ไม่ต้องการแล้ว”