บทที่ 659.3 เปิดดูปฏิทินเหลือง

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ชุยฉานปัดสองนิ้วออกไปเบาๆ ราวกับว่าปัดเส้นสายเหล่านั้นออกไปให้สะอาด

หลินโส่วอีนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “เรื่องมาถึงขั้นนี้ ใกล้เพียงเบื้องหน้า ยังไงก็ต้องจัดการแต่ละเรื่องให้ดี”

แล้วหลินโส่วอีก็ถอนหายใจ “วันหน้าก็ยุ่งให้น้อยลง”

ชุยฉานยิ้มอย่างเข้าใจ “ไม่เสียแรงที่พ่อของเจ้างอแงขอให้ข้าตั้งชื่อดีๆ นี้ให้แก่เจ้า”

หลินโส่วอีพลันหยุดเดิน ประสานมือคารวะอีกครั้ง เขาปลุกความกล้าให้ตัวเอง ถามเสียงสั่น “ขอถามอาจารย์ลุงสักคำ เหตุใดปีนั้นถึงได้นิ่งดูดาย ปล่อยให้อาจารย์กระโจนเข้าหาความตายเพียงลำพัง?”

คำถามนี้อัดอั้นอยู่ในใจของหลินโส่วอีมานานมากแล้ว หากไม่ถามเขาต้องอึดอัดตายเป็นแน่

ต่อให้จะทำให้ใต้เท้าราชครูที่ไม่ยอมรับสถานะของอาจารย์ลุงผู้นี้เดือดดาล วันนี้หลินโส่วอีก็จะยังต้องถามให้รู้เรื่อง!

ชุยฉานไม่ถือสา เห็นได้ชัดว่าไม่โกรธเคืองกับการไม่รู้จักกลัวตายของคนหนุ่มผู้นี้ กลับกันยังรู้สึกปลาบปลื้มไม่น้อย เขาเอ่ยว่า “หากใช้เหตุผลข้อใหญ่แล้วไม่ต้องจ่ายค่าตอบแทนใหญ่ ถ้าอย่างนั้นคุณค่าของมันจะอยู่ที่ใด? หากไม่ว่าใครก็ใช้เหตุผลไม่ได้ แล้วความหมายในการเรียนหนังสือจะอยู่ที่ใด? ไม่เกี่ยงงอนในเรื่องที่ควรกระทำ เรื่องโง่ๆ เช่นนี้ หากไม่เรียนหนังสือก็ยากที่จะทำได้มาตั้งแต่เกิด เพียงแต่ว่าตำราแบ่งออกเป็นในและนอก การอบรมให้ความรู้ของลัทธิขงจื๊อ มีแห่งหนใดบ้างที่ไม่ใช่ตำราอริยะปราชญ์แต่ละเล่มที่วางกางออก”

ชุยฉานตบไหล่ของคนหนุ่มเบาๆ ยิ้มเอ่ย “ดังนั้นคนเรามีชีวิตอยู่บนโลกต้องด่าพวกบัณฑิตครึ่งๆ กลางๆ ให้มาก ด่าตำราอริยะปราชญ์ให้น้อย”

ชุยฉานกวาดตามองรอบด้าน “ในอดีตตอนเดินทางไปศึกษาต่อ ความรู้สึกที่เจ้ามีต่อบิดานั้นย่ำแย่มาก ตอนนั้นเฉินผิงอันที่เดินทางร่วมกับเจ้าก็ได้จดจำไว้ในใจมานานแล้ว ดังนั้นต่อให้ภายหลังเฉินผิงอันจะมีความกล้ามากพอไปเปิดบัญชีเก่า แล้วก็เปิดเจอปฏิทินเหลืองมากมายที่เกี่ยวกับตระกูลหม่าของตรอกซิ่งฮวา ทว่ากลับมาหยุดชะงักค้างอยู่กับใต้เท้าหลินแห่งที่ว่าการงานเตาเผา นั่นก็เป็นเพราะว่าเชื่อมั่นในตัวเจ้า กลัวว่าข่าวลือพวกนั้นจะเชื่อไม่ได้ ยิ่งไม่เชื่อใจคนที่เขาไม่เคยพบเห็นกับตาตัวเองมาก่อน กลัวที่สุดก็คือหากสุดท้ายความจริงเปิดเผยจะทำร้ายให้สหายอย่างหลินโส่วอีเจ็บปวดหลั่งเลือด นี่เรียกว่าโดนงูกัดครั้งหนึ่งกลัวเชือกไปสิบปี เจอกับความยากลำบากที่ทะเลสาบซูเจี่ยนมาก่อน จึงไม่คิดอยากจะมาเจอซ้ำที่บ้านเกิดอีก”

ชุยฉานยิ้มเอ่ย “แม้เฉินผิงอันจะคิดไปคนละทาง แต่กลับถือเป็นเรื่องดี ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยของเขา หากคิดเอาจริงขึ้นมา ต่อให้สืบเจอความจริงแล้วจะโล่งอก เพราะสามารถอ้อมผ่านเจ้าและบิดาของเจ้าไปได้อย่างราบรื่น แต่ภูเขาลั่วพั่วกลับจะต้องพุ่งชนกับสกุลซ่งต้าหลีจนหัวร้างข้างแตกไปแล้ว ถ้าอย่างนั้นตอนนี้เขาจะยังต้องอยู่ที่บ้านเกิดเพื่อสืบเรื่องนี้ต่ออย่างแน่นอน เมื่อรอบกายมีแต่ศัตรู พลังชีวิตต้องเสียหายอย่างใหญ่หลวง ก็ย่อมไม่ได้ไปเป็นใต้เท้าอิ่นกวานของกำแพงเมืองปราณกระบี่ สกุลสวี่นครลมเย็นและกองกำลังมากมายรวมถึงภูเขาตะวันเที่ยงเป็นหนึ่งในนั้นจะต้องขว้างหินซ้ำเติมภูเขาลั่วพั่วอย่างไม่ออมแรงแน่”

ชุยฉานเอ่ย “ตอนนี้เจ้ายังไม่ต้องกลับไปที่สำนักศึกษา ลองไปถามพวกหลี่เป่าผิง หลี่ไหวดูก่อนว่าพวกเขามีใครยังเก็บตัวอักษรฉีเอาไว้บ้าง บวกกับของเจ้าเองด้วย รวบรวมเอามาไว้ด้วยกัน จากนั้นเจ้าก็ไปหาชุยตงซาน มอบตัวอักษร ‘ฉี’ ทั้งหมดให้กับเขา เสร็จแล้วเจ้าก็ไปทะเลสาบซูเจี่ยน ไปเก็บเอาแผ่นไม้ไผ่ที่เฉินผิงอันโยนลงทะเลสาบกลับมา”

หลินโส่วอีไม่เข้าใจ แต่ก็ยังพยักหน้ารับตอบตกลง

ชุยฉานแหงนหน้ามองแสงกระบี่ยิ่งใหญ่ที่พุ่งวาบแล้วก็หายไป เชิญเทพมาง่าย ส่งเทพกลับไปยาก ในที่สุดก็ไปได้เสียที

……

เรื่องการขุดเจาะลำน้ำใหญ่ของราชวงศ์ต้าหลีได้เริ่มมีการขุดดินก่อสร้างอย่างว่องไวราวกับไฟลามทุ่ง

กวนอี้หรานลูกหลานชนชั้นสูงกับหลิวสวินเหม่ยลูกหลานเมล็ดพันธ์แม่ทัพพลันกลายมาเป็นบุคคลชั้นสูงที่มีอำนาจบารมีกลุ่มใหม่ล่าสุดของต้าหลี

ส่วนหลิ่วชิวเฟิงอดีตเจ้าเมืองแคว้นชิงหลวนที่อยู่ดีๆ ก็โผล่มาคนนั้น หลังจากความครึกครื้นในวงการขุนนางเมืองหลวงต้าหลีผ่านพ้นไป บวกกับการจงใจวางแผนของคนเบื้องหลังบางส่วน เพียงไม่นานหลิ่วชิงเฟิงก็ไม่เหลือจุดที่ทำให้ผู้คนสนใจจะสืบเสาะอีก

มีชาติกำเนิดมาจากตระกูลปัญญาชนในแคว้นเล็กๆ อันห่างไกล ไม่ใช่ผู้ฝึกลมปราณอะไรจริงๆ ถูกกำหนดมาแล้วว่าชีวิตจะไม่มีทางยืนยาว ผลงานในอดีตยามอยู่แคว้นชิงหลวนนับว่าพอใช้ได้ เพียงแต่ว่าชื่อเสียงฉาวโฉ่ ดังนั้นเมื่อมานั่งอยู่ในตำแหน่งนี้จึงพอจะมีอนาคต แต่ยากที่อนาคตจะราบรื่นยาวไกล เพราะถึงอย่างไรก็ไม่ได้มีชาติกำเนิดมาจากขุนนางต้าหลี ส่วนข้อที่ว่าเหตุใดถึงสามารถเดินขึ้นฟ้าในก้าวเดียว มีบารมีอำนาจขึ้นมาอย่างฉับพลัน ก็มีเพียงสวรรค์เท่านั้นที่รู้ เมืองหลวงต้าหลีมีคนเคยคาดเดาว่าคนผู้นี้คือหุ่นเชิดที่สกุลเจียงอวิ๋นหลินประคับประคองขึ้นมา เพราะถึงอย่างไรทางเข้าที่ลำน้ำใหญ่สายใหม่จะไหลลงสู่มหาสมุทรก็อยู่ตรงหน้าประตูบ้านของสกุลเจียงพอดี

เด็กหนุ่มชุดขาวหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งนั่งยองอยู่ระหว่างคันนา มองการแย่งน้ำทำนาของตระกูลหนึ่งในพื้นที่ที่อยู่ห่างไปไกลอย่างสนุกสนาน ข้างกายมีเด็กน้อยผอมอ่อนแอสีหน้าทึ่มทื่อนั่งอยู่

หลิ่วชิงเฟิงนั่งอยู่บนคันนา หวังอี้ฝู่องค์รักษ์และเด็กหนุ่มหลิ่วซัวยืนอยู่ห่างไปไกล หลิ่วซัวไม่ค่อยกลัวเด็กหนุ่มประหลาดที่ในอดีตเคยเจอกันมาก่อนสักเท่าไรแล้ว เพราะนอกจากสมองจะผิดปกติ เรื่องอื่นก็ไม่มีค่าพอให้พูดถึง ทว่าหวังอี้ฝู๋กลับเตือนหลิ่วซัวว่าทางที่ดีที่สุดอย่าเข้าไปใกล้ ‘เด็กหนุ่ม’ คนนั้น

หลิ่วชิงเฟิงหันหน้าไปมองเด็กหนุ่มที่คาบต้นหญ้าไว้ในปาก ถามว่า “การขุดเจาะลำน้ำใหญ่ เรื่องน้อยใหญ่ทั้งหลายก็แค่ทำไปตามลำดับขั้นตอนเท่านั้น อาจารย์ชุยน่าจะไม่จำเป็นต้องมาจับตามองอยู่ที่นี่”

ชุยตงซานยังคงมองทางฝั่งนั้นที่ตีกันเจ้าหนึ่งจอบข้าหนึ่งคานหาบ ระหว่างที่ทั้งสองฝ่ายประมือกัน พวกหลานๆ ทั้งหลายตีกันเอาจริงเอาจังอย่างมาก ตีกันเสร็จแล้วก็ยังเป็นญาติกันอยู่เหมือนเดิม ไม่แน่ว่าอาจจะควักเงินจ่ายค่ายาให้อีกฝ่ายด้วยความจริงใจอีกด้วย

ได้ยินคำถามของหลิ่วชิงเฟิง ชุยตงซานที่ตาจ้องมองภาพนั้นไม่กะพริบก็เอ่ยอย่างขอไปทีว่า “ลำน้ำใหญ่มีชื่อว่าฉี นี่ก็คือเหตุผล”

หลิ่วชิงเฟิงพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม แสดงให้รู้ว่าเข้าใจแล้ว

รถม้าคันหนึ่งมาจอดลงบนทางเล็กๆ ในชนบท หลี่เป่าเจินเดินลงมาจากห้องโดยสารรถม้า พอเดินมาถึงตรงนี้ก็ประสานมือคารวะ “อาจารย์ชุย”

ชุยตงซานไม่ได้สนใจเขา

หลี่เป่าเจินยืดตัวขึ้นแล้วก็มองไปทางหลิ่วชิงเฟิง ยิ้มกล่าว “อาจารย์หลิ่ว”

หลิ่วชิงเฟิงยิ้มพลางผายมือบอกเป็นนัยให้อีกฝ่ายนั่งลง

หลี่เป่าเจินจึงนั่งลงข้างกายหลิ่วชิงเฟิง

ชุยตงซานหันหน้ามาเอ่ยสัพยอก “พบหน้าเอ่ยคำว่าลำบาก ล้วนเป็นคนในยุทธภพ”

“ไม่กวนเวลาถามไถ่ทักทายของพวกเจ้าสองคนแล้ว ข้าไปหาเรื่องสนุกทำดีกว่า” ชุยตงซานลุกขึ้นยืน หิ้วคอเสื้อของเด็กน้อยข้างกายทะยานลมจากไป

ชุยตงซานพลิ้วกายลงในเมืองล่างภูเขาแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างมาหลายร้อยลี้ พาน้องเกาที่ตัวเองเอามาด้วยไปนั่งเรียงกันอยู่ใต้ร่มไม้ รอบด้านมีผู้คนเบียดเสียดกันแออัด มองดูคนเล่นหมากป่า (การละเล่นที่ต้องใช้สติปัญญาอย่างหนึ่ง วิธีคล้ายการเล่นหมากล้อม แต่ผู้เล่นสามารถตั้งกฎการเล่นขึ้นมาได้เอง) ข้างทางอยู่นานถึงครึ่งชั่วยาม ไม่ใช่หมากล้อม กระดานหมากก็ยิ่งทำขึ้นอย่างง่ายๆ ไม่อย่างนั้นชาวบ้านที่ไม่เคยแตะตำราหมากล้อมมาก่อนจะสามารถดึงดูดคนให้มามุงดูมากมายขนาดนี้ได้อย่างไร

กระทั่งคนที่ตั้งกฎการเล่นชนะได้เงินเหรียญทองแดง เศษก้อนเงินมากองใหญ่ ผู้คนก็พากันแยกย้ายจากไป วันนี้เขาจึงคิดจะเลิกเล่นแล้ว นี่เรียกว่ามีฝีมือเรื่องหนึ่งก็หากินได้ทุกที่ เพียงแต่เมื่อเขามองเห็นว่าเด็กหนุ่มชุดขาวยังคงไม่ยอมขยับตัวไปไหน ก็มองประเมินอีกฝ่ายอยู่สองสามที มองดูเหมือนนายน้อยบ้านคนมีเงิน จึงยิ้มถาม “ชอบเล่นหมากรุกหรือ?”

ชุยตงซานทำท่ากระเหี้ยนกระหือรือ ถูมือเอ่ยว่า “เล่นเป็นๆ อย่าว่าแต่หมากรุกแบบนี้เลย ต่อให้เป็นหมากล้อมข้าก็ยังเล่นเป็น เพียงแต่ว่ารีบร้อนออกมาจากบ้านเลยไม่ทันได้พกเหรียญทองแดงมาสักเท่าไร หมากกระดานนี้ ข้ามองออกแล้วว่ามีเคล็ดลับอย่างไร ต้องชนะเจ้าได้แน่นอน”

คนเล่นหมากป่าผู้นั้นหัวเราะ นี่คือใส้เดือนล่อมังกรหนึ่งในสิบสถานการณ์ใหญ่ของหมากป่าในยุทธภพ ไม่กลัวว่าคนอื่นจะมองเคล็ดลับออก เพราะยิ่งมองออกเยอะก็ยิ่งดี กลัวก็แต่ว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกว่าหมากกระดานนี้ไร้หนทางให้ฝ่าออกไปจึงไม่ยินดีจะมางับเหยื่อ

ชุยตงซานตบหัวเด็กชายที่อยู่ด้านข้าง “รีบเล่นหมากรุกหาเงินเข้าสิ”

ชายฉกรรจ์ผู้นั้นหัวเราะดังลั่นไม่หยุด แล้วเก็บแผงหมากป่าของตัวเองอย่างว่องไว คร้านจะตอแยกับเด็กหนุ่มผู้นี้แล้ว

ชุยตงซานเองก็ไม่เอ่ยห้าม เขาขยับเท้าไปทีละนิด กระทั่งนั่งลงตรงข้ามกับเด็กชาย ชุยตงซานยื่นคอยาวออกไปจ้องเด็กชาย จากนั้นก็ยกมือทั้งสองดึงแก้มของเขา “มองออกว่าเจ้าคือยอดฝีมือในการเล่นหมากรุกได้อย่างไร ข้ายังไม่ได้บอกคนผู้นั้นเลยนะว่าเจ้าแซ่เกาน่ะ”

เด็กชายสีหน้าไร้อารมณ์

ชุยตงซานดึงแก้มเขาอยู่นานก็รู้สึกเบื่อ จึงลุกขึ้นยืน พาเด็กชายไปเดินเล่นในเมือง เจอกับจิงลิวจื่ออายุไม่มากคนหนึ่งซึ่งคิดจะมาเก็บตกของดีในเมืองหลวงแคว้นเล็กๆ ใต้อาณัติแห่งนี้ มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นลูกศิษย์ของเถ้าแก่ร้านขายของเก่าที่ได้รับความไว้วางใจ แบ่งกลุ่มกันออกมาจากเมืองหลวงเพื่อรวบรวมสมบัติล้ำค่าหายาก ของโบราณหรือภาพวาดเก่าแก่ตามสถานที่ต่างๆ ทำอาชีพเป็นจิงลิวจื่อเช่นนี้ สายตาต้องเฉียบคม และต้องเป็นคนใจแข็งถึงจะได้ ไม่อย่างนั้นหากได้สมบัติหนักที่มูลค่าเท่าทองพันชั่งมาก็คงเผ่นหนีไปตั้งกิจการของตัวเองเป็นแน่

ชุยตงซานติดตามจิงลิวจื่อผู้นั้นเดินเล่นไปตามร้านต่างๆ ของชิ้นใดที่คนผู้นั้นเคยหยิบมาชั่งน้ำหนักหรือมองผ่าน เขาก็จะหยิบมาชั่งน้ำหนักแล้วก็เพ่งตามองอยู่พักใหญ่ตามไปด้วย ทำเอาจิงลิวจื่อผู้นั้นโมโหจนได้แต่ไปหยุดอยู่ในมุมหนึ่งที่เงียบสงัด แล้วเอ่ยอย่างจนใจว่า “หากเด็กหนุ่มเช่นเจ้าขาดเงินใช้ ข้าจะเอาเงินให้เจ้าก็ได้ แต่เลิกตามข้าเสียที เจ้ารู้สึกว่าสนุก แต่กลับเป็นการทุบชามข้าวของข้า”

ชุยตงซานมองสีหน้าและแววตาของคนหนุ่มผู้นั้น อยู่ดีๆ ก็รู้สึกคุ้นเคยขึ้นมา เขาพลันคลี่ยิ้มกว้าง “วางใจเถอะ ต่อจากนี้ข้ารับรองว่าจะไม่ก่อความวุ่นวายให้เจ้า”

คนหนุ่มกึ่งเชื่อกึ่งกังขา แต่จะให้ไล่อีกฝ่ายไปก็ไม่สมควร โชคดีที่หลังจากนั้นไม่ว่าเดินไปที่ไหน เด็กหนุ่มก็ทำตัวสงบเสงี่ยมจริงๆ เพียงแต่นี่ทำให้คนหนุ่มรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาอีก คงไม่ใช่ความอันตรายในยุทธภพ กลายเป็นว่าอีกฝ่ายจงใจมาเล่นงานตนโดยเฉพาะหรอกกระมัง? วิธีการของคนในยุทธภพมีมากมาย ไม่ป้องกันไม่ได้เลย แต่เด็กหนุ่มคนนั้นก็ซื้อชามกระเบื้องมาใบหนึ่งแล้ววางคว่ำไว้บนหัวของเด็กน้อย ก่อนเอ่ยลาเขา บอกว่าจะพาน้องชายคนโง่กลับไปกินข้าวที่โรงเรียนแล้ว ไม่อย่างนั้นอยู่ต่างที่ต่างถิ่น มาขอศึกษาต่อข้างนอก ฟ้าดินกว้างใหญ่ก็ยังไม่ใหญ่เท่าอาจารย์ ศิษย์ออกมานานแล้วไม่กลับไป อาจารย์ต้องเป็นห่วงแน่

จิงหลิวจื่อหนุ่มรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก

เด็กหนุ่มหยิบถ้วยขาวลงมาจากหัวเด็กน้อยแล้วโยนไกลๆ มาให้คนหนุ่ม ยิ้มสดใสเอ่ยว่า “เรียนรู้เคล็ดลับใหม่ๆ ในการซื้อของเก่าจากเจ้ามาได้ ไม่รู้จะขอบคุณอย่างไร มอบชามใบนี้ให้เจ้าก็แล้วกัน”

เดิมทีคนหนุ่มคิดจะปฏิเสธ ก็แค่ชามเก่าๆ ใบเดียวเท่านั้น จะเอาไปทำอะไร แถมยังเปลืองพื้นที่ อีกอย่างเด็กหนุ่มคนนั้นก็มาเรียนต่อข้างนอกอยู่ไกลบ้าน สวมเสื้อผ้าหรูหรา เพียงแต่เวลาควักเงินกลับนับเหรียญทองแดงทีละเหรียญ ไม่เหมือนว่าจะมีเงินให้ใช้จ่ายได้อย่างฟุ่มเฟือย…เพียงแต่ว่าไม่รอให้คนหนุ่มเปิดปากพูด เด็กหนุ่มคนนั้นก็ลากแขนข้างหนึ่งของเด็กน้อยวิ่งจากไปไกล เขาวิ่งเร็วจริงๆ น่าสงสารเด็กน้อยที่โดนกระชากแขนคนนั้นอยู่มาก

ภายใต้แสงอาทิตย์อัสดง บนเส้นทางดินเหลือง เรือนน้อยใหญ่ของหมู่บ้านแห่งหนึ่งปลูกติดอยู่กับริมลำคลองสายหนึ่ง

ชุยตงซานพูดพึมพำกับตัวเอง “เพราะได้รับอิทธิพลมาจากเรื่องหนึ่งตอนเป็นเด็กหนุ่ม อาจารย์จึงรู้สึกหวาดเกรงในเรื่องการชักดาบช่วยเหลือเมื่อเจอความอยุติธรรมของจอมยุทธผู้ผดุงคุณธรรม บวกกับที่อาจารย์ของข้าคิดว่าตัวเองอ่านตำรามาไม่มาก แต่กลับสามารถทำอะไรรอบคอบรัดกุมได้ขนาดนี้ ในใจคิดว่าคนเก่าแก่ในยุทธภพส่วนใหญ่ก็น่าจะเป็นกันเช่นนี้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว แน่นอนว่าเป็นอาจารย์ของข้าที่เรียกร้องคนในยุทธภพอย่างเข้มงวดเกินไป”

“หวังดีทำเรื่องผิด กับใจคนที่ผิดพลาด แบบไหนน่ากลัวกว่ากัน? จำเป็นต้องทำการเลือกและตัดทิ้ง”

“เพียงแต่ว่าอาจารย์ฉลาดเกินวัย ไม่ว่าเรื่องไหนก็ต้องเหนื่อยกายเหนื่อยใจ คนเป็นลูกศิษย์จะตัดใจพูดกับเขาแบบนี้ได้อย่างไร”

ระหว่างที่ชุยตงซานพึมพำกับตัวเอง

มีเด็กคนหนึ่งนั่งขี่มาบนหลังวัว พาวัวกลับบ้านหลังจากนำไปปล่อยไว้

ชุยตงซานก็ไม่ด้อยไปกว่ากัน เขาขี่อยู่บนหลังเด็กชาย

ชุยตงซานโยกไหล่ เด็กชายที่น่าสงสารก็เดินโซเซตามไปด้วย ชุยตงซานเอ่ย “เมฆลอยอยู่ตรงขอบฟ้า สองข้างทางคือสีสันของต้นหลิ่ว ในตรอกมีเสียงร้องขายดอกซิ่งดัง”

จากนั้นชุยตงซานก็ยื่นสองมือมาตบแก้มเด็กชาย “น้องเกา พี่ใหญ่อย่างข้ามีอารมณ์อยากแต่งกลอน เจ้าช่วยกันแต่งสิ!”

เด็กชายกะพริบตาปริบๆ

ชุยตงซานเพิ่มแรงมากขึ้น พูดขู่ว่า “ไม่ไว้หน้าข้าหรือ?!”

เด็กชายพูดเสียงอู้อี้ “ควันอาหารลอยในชนบท เด็กน้อยจูงวัว เสียงขลุ่ยบรรเลงบทเพลงแห่งความสงบ”

“น้องเกา เจ้าคืออัจฉริยะจริงๆ!”

ชุยตงซานเอามือหนึ่งคล้องคอเด็กชาย อีกมือหนึ่งตบหัวฝ่ายหลังอย่างแรง หัวเราะเสียงดัง “ข้าทำบุญมาด้วยอะไรนะถึงได้รู้จักกับเจ้าได้?!”

เด็กจูงวัวหันกลับมามองสองคนนั้นก็ตกใจจนต้องรีบเร่งให้วัวของตัวเองเดินเร็วขึ้น

ชุยตงซานใช้สองมือปิดตาเด็กชาย “ออกแรงวิ่งเร็วเข้า!”

สุดท้ายเด็กชายที่ถูกชุยตงซานบดบังการมองเห็นก็วิ่งโซเซไปข้างหน้า กระทั่งวิ่งลงไปในลำคลอง

ชุยตงซานที่อยู่กลางอากาศปล่อยสองมือออก สองแขนโบกปัดป่ายจนชายแขนเสื้อกว้างใหญ่สะบัดพึ่บพั่บ ในขณะที่คนทั้งสองกำลังจะร่วงลงน้ำ เด็กหนุ่มก็หัวเราะเสียงดังเอ่ยว่า “ผู้มีปัญญาชอบน้ำ! ตงซานมาแล้ว!”