บทที่ 1403 ศัตรูแห่งชีวิต

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,403 ศัตรูแห่งชีวิต

“เจ้าต้องการเป็นเทพเจ้าระดับใด?”

หลินเป่ยเฉินถาม

สำหรับผู้ที่เคยเป็นหนึ่งในสิบผู้เข้าแข่งขันที่ทำคะแนนได้ดีที่สุด หลี่อี้เทียนย่อมไม่ได้ต้องการตำแหน่งเทพเจ้าระดับสามัญ

และในเมื่อหลินเป่ยเฉินกำลังจะเดินทางกลับออกไปจากดินแดนทวยเทพ เขาจึงต้องสร้างขุมกำลังของตนเองให้แข็งแกร่งมากที่สุด

ดังนั้น หลินเป่ยเฉินจึงถามความต้องการของนางโดยตรง

เพื่อให้ได้ตำแหน่งเทพเจ้าที่เหมาะสมสำหรับตัวหลี่อี้เทียนมากที่สุด

“ตำแหน่งใดก็ได้”

หลี่อี้เทียนตอบกลับมาสีหน้าเรียบเฉย

กิริยาท่าทางของนางทำให้หลินเป่ยเฉินนึกถึงมี่หรู่หยานขึ้นมาในทันใด แต่หลี่อี้เทียนเป็นมี่หรู่หยานในแบบฉบับที่ผสมเยว่หงเซียงร่วมเข้ามาด้วยอีกหลายส่วน โดยเฉพาะลักษณะท่าทีของการเป็นผู้ที่คร่ำเคร่งในวิชาการศึกษานั้น ก็ทำให้นางมีความงดงามและมีความใสซื่อถูกจริตหลินเป่ยเฉินเป็นอย่างยิ่ง

แต่เดี๋ยวก่อนนะ?

หลินเป่ยเฉินอดประหลาดใจไม่ได้

คนอื่นมีแต่บอกว่าอยากได้ตำแหน่งเทพเจ้าระดับสูงสุด

เหตุไฉนหลี่อี้เทียนจึงบอกว่าตำแหน่งใดก็ได้

น่าสนใจ

หลินเป่ยเฉินรู้สึกว่าเด็กสาวผมทองที่ยืนอยู่หน้าบัลลังก์ของเขาคนนี้กำลังซ่อนเร้นอะไรบางอย่างเอาไว้

แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาใหญ่

หากจะพูดถึงบุคคลที่ปิดบังความลับซ่อนเร้นเรื่องราวจากผู้คนภายนอกไว้มากมาย จะมีผู้ใดกุมความลับเอาไว้มากกว่าหลินเป่ยเฉินอีก?

“งั้นข้าจะมอบตำแหน่งเทพเจ้าผู้บุกเบิกสายหมอกให้กับเจ้า”

หลินเป่ยเฉินหยิบลูกแก้วเทพเจ้าใบหนึ่งออกมา

ภาพมายาที่อยู่ในลูกแก้วใบนั้นเป็นภาพของบุรุษในชุดเสื้อคลุมนักเวท ในมือถือลูกแก้ววิเศษ รอบ ๆ ร่างมายาปกคลุมด้วยม่านหมอกขาว และนักเวทผู้นี้ก็คล้ายกับกำลังสำรวจหาอะไรบางอย่าง

พิจารณาดูจากขนาดของลูกแก้วแล้ว นี่คือตำแหน่งเทพเจ้าระดับสูงทีเดียว

และสิ่งที่แตกต่างจากลูกแก้วใบอื่น ๆ ที่หลินเป่ยเฉินนำออกมามอบให้แก่ผู้คนก็คือ ตำแหน่งเทพเจ้าผู้บุกเบิกสายหมอกยังคงมีค่าความซื่อสัตย์เพียงหกสิบคะแนนเท่านั้น… และค่าความซื่อสัตย์เพียงเท่านี้ ปกติแล้วจะยังไม่สามารถนำออกมาใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพจนกว่าจะน่าวางใจ

แต่ลูกแก้วเทพเจ้าก็ค่อย ๆ ลอยไปอยู่เบื้องหน้าหลี่อี้เทียน

เด็กสาวผมทองยื่นมือออกมารับลูกแก้วไปถือไว้ด้วยสีหน้าที่แสดงออกถึงความประหลาดใจไม่น้อย

“เหมาะสมกับข้าแล้ว”

นางเงยหน้ามองมาที่หลินเป่ยเฉิน คิ้วขมวดมุ่นก่อนถามพร้อมยิ้มเล็กน้อย “ใต้เท้าไม่กลัวว่าข้าจะหลอกลวงเอาตำแหน่งจากท่านหรือ? หากท่านจะให้ข้าลงนามในสัญญาศักดิ์สิทธิ์ ข้าก็ไม่มีปัญหาติดขัดอันใด”

หลินเป่ยเฉินยังคงนั่งเท้าคางด้วยมือข้างหนึ่งและตอบกลับไปเสียงเรียบว่า “ข้าคิดว่าการมอบตำแหน่งเทพเจ้าให้แก่นักเวทสาวมากฝีมือเช่นเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะซื่อสัตย์กับข้าหรือไม่ แต่มันก็ถือเป็นการเดิมพันที่คุ้มความเสี่ยง”

หลี่อี้เทียนถึงกับชะงักกึกและหัวเราะออกมา

เมื่อนางยิ้ม ลักยิ้มก็ปรากฏบนสองแก้ม อีกทั้งยังเผยให้เห็นฟันที่ขาวสะอาดเรียงเป็นระเบียบอีกด้วย “ในดินแดนทวยเทพขณะนี้ มีเพียงบุคคลสามคนเท่านั้นที่ควรค่าต่อการเคารพอย่างแท้จริง และใต้เท้าเจี๋ยนท่านก็คือหนึ่งในนั้น”

“อ้อ งั้นอีกสองคนเป็นผู้ใดกันเล่า?”

หลินเป่ยเฉินถามออกมาด้วยความสงสัย

หลี่อี้เทียนเก็บลูกแก้วเทพเจ้าและตอบรับด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “อีกสองท่านย่อมต้องเป็นใต้เท้าเหลียนและเทพีกระบี่”

หัวใจของหลินเป่ยเฉินกระตุกวูบ

นี่คือครั้งแรกที่มีผู้คนเอ่ยถึงเทพีกระบี่ต่อหน้าเขา

และยังเป็นการยกย่องอยู่ในระดับเดียวกับใต้เท้าเหลียนอีกด้วย

น่าสนใจจริง ๆ

หลินเป่ยเฉินคิดจะสอบถามรายละเอียดของเทพีกระบี่ดูสักหน่อย แต่สุดท้ายเขาก็เปลี่ยนใจ

“หากไม่มีอะไรแล้ว ข้าน้อยขออำลา”

เมื่อเห็นว่าการสนทนาจบสิ้นลง หลี่อี้เทียนก็ประสานมือคำนับแสดงความเคารพอย่างผู้ต่ำต้อย “เมื่อข้าน้อยหลอมรวมพลังเทพเจ้าสำเร็จ ข้าน้อยจะกลับมารับใช้ใต้เท้าที่วิหารแห่งนี้นะเจ้าคะ”

หลินเป่ยเฉินพยักหน้าหงึกหงัก “ไปเถอะ… ระวังตัวด้วย แล้วก็ดื่มน้ำเยอะ ๆ ด้วยละ”

หลี่อี้เทียนเบิกตาโตด้วยความพิศวง

นี่มันอะไรกัน?

นางก้าวเท้าเดินออกมาได้สองก้าว ก็หยุดชะงักเล็กน้อยและหันหน้ามองกลับไปที่หลินเป่ยเฉินด้วยความลังเลใจ “ข้าน้อยขอบังอาจสอบถาม ใต้เท้ามีแผนการคิดจะหลอมรวมพลังเพื่อปลดผนึกวงแหวนเทพเจ้าหรือไม่?”

หลินเป่ยเฉินวางมือลงบนที่เท้าแขนของบัลลังก์ประจำตำแหน่งพลางตอบกลับไปว่า “ย่อมมีแผนการเช่นนั้น ว่าแต่หากข้ายังไม่คิดปลดผนึกวงแหวนเทพเจ้า เจ้ามีปัญหาอะไรหรือไม่?”

หลี่อี้เทียนก้มหน้าลงเล็กน้อย ปิดบังไม่ให้หลินเป่ยเฉินมองเห็นถึงความผิดหวังในแววตาของตนเอง ก่อนจะกล่าวอย่างแช่มช้าว่า “เหตุไฉนใต้เท้าไม่รออีกหน่อยล่ะเจ้าคะ”

ว่าไงนะ?

ในดวงตาของหลินเป่ยเฉินปรากฏความประหลาดใจฉายวูบ

นี่เขาหูฝาดไปเองหรือไม่….

หลี่อี้เทียนไม่อยากให้เขารีบปลดผนึกวงแหวนเทพเจ้าอย่างนั้นหรือ?

นอกจากเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงแล้ว ก็มีหลี่อี้เทียนนี่แหละที่ไม่แนะนำให้เขารีบปลดผนึกวงแหวนเทพเจ้า

ในความเข้าใจของหลินเป่ยเฉิน วงแหวนเทพเจ้าเป็นเสมือนเครื่องหมายยืนยันถึงตำแหน่งเทพเจ้าที่แท้จริงจากท่านมหาเทพ ไม่ว่าต้องทำอย่างไร เขาก็สมควรหาทางปลดผนึกมันให้ได้

“ข้าไม่มีเวลาแล้ว”

หลินเป่ยเฉินให้คำตอบกลับไปเช่นนั้น

หลี่อี้เทียนประสานมือคำนับและกล่าวว่า “ข้าน้อยขอตัวอำลา”

หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นนวดขมับตนเองอีกครั้ง

นับเป็นเด็กสาวที่น่าสนใจจริง ๆ

นางคงปิดบังความลับเอาไว้มากมายนัก

หลี่อี้เทียนเดินออกมาจากห้องโถงใหญ่ด้วยสีหน้าเย็นชา หัวคิ้วยังคงขมวดเข้าหากันอยู่เล็กน้อย

ใครบางคนเดินสวนเข้ามา

สัญชาตญาณของหลี่อี้เทียนตื่นตัว ไม่ต่างจากสัตว์ป่าที่เผชิญหน้ากับศัตรูแห่งชีวิต ขนทุกเส้นบนร่างกายพลันลุกชันขึ้นมาในพริบตา

เป็นเด็กสาวผู้นั้น

หลี่อี้เทียนจำได้อย่างชัดเจน เมื่อเงยหน้ามอง นางก็พบเห็นเด็กสาวผู้มีนามว่าฮันลั่วเซวี่ยกำลังเดินสวนเข้ามา

นางสวมใส่ชุดเสื้อคลุมสีดำที่ตัดเย็บอย่างประณีต ผิวขาวผ่องตัดกับสีเสื้อคลุม รูปร่างอรชรอ้อนแอ้น เอวคอดกิ่ว ช่วงขาเรียวยาว ใบหน้างดงาม ผมสีดำผูกรวบเป็นหางม้ายกสูง ลักษณะท่าทีดูมีความมั่นใจในตนเองอย่างเปี่ยมล้น ไม่ใช่บุคลิกของคุณหนูตระกูลผู้สูงศักดิ์

และขณะนี้ ฮันลั่วเซวี่ยก็พบเห็นหลี่อี้เทียนแล้วเช่นกัน

สองสาวต่างก็หยุดชะงัก

ดวงตาสบประสาน

คล้ายกับเกิดกระแสพลังสายฟ้าพุ่งจากดวงตาของพวกนางเข้าปะทะกันอย่างดุเดือด

ในแววตาปรากฏความไม่เป็นมิตร

ดินแดนทวยเทพเคยมีตำนานเล่าขานว่า ผู้คนที่ถือกำเนิดเกิดมานั้นจะเกิดมาพร้อมกับคู่แท้และศัตรูของชีวิต คู่แท้คือเกิดมาเพื่อรักกัน ส่วนศัตรูนั้นเกิดมาเพื่อเป็นอริร้ายไปชั่วชีวิต

กาลเวลาคล้ายกับจะหยุดนิ่ง

หลี่อี้เทียนสะกดกั้นพลังกดดัน พยักหน้าทักทายฮันลั่วเซวี่ยเล็กน้อย ก่อนที่ทั้งสองคนจะเดินผ่านกันไป

ฮันลั่วเซวี่ยพยักหน้าตอบกลับมาและเดินสวนหลี่อี้เทียนเข้าไปยังส่วนลึกในวิหารของเจี๋ยนเซียวเหยา

หลังเดินผ่านโถงทางเดินที่ทอดยาว ฮันลั่วเซวี่ยก็ได้มาพบกับหลินเป่ยเฉินที่นั่งเอกเขนกอยู่บนบัลลังก์ใหญ่

“พี่ใบ้”

เสียงของเด็กสาวบอกชัดถึงความดีใจและโล่งอกที่หลินเป่ยเฉินยังคงอยู่รอดปลอดภัยมาจนถึงวันนี้

“เจ้ามาได้อย่างไรกัน?”

หลินเป่ยเฉินลุกขึ้นนั่งหลังตรง ก่อนจะกระโดดลงจากบัลลังก์พร้อมกับทักทายว่า “ท่านป้าอู๋เป็นอย่างไรบ้าง?”

อู๋เว่ยคือมารดาของฮันลั่วเซวี่ย หญิงชราเคยดูแลหลินเป่ยเฉินเป็นอย่างดีตอนที่เขาใช้โรงเตี๊ยมถิงเซวี่ยเป็นที่ซุกหัวนอนและถึงแม้หลินเป่ยเฉินจะถูกใส่ความ แต่หญิงชราก็ยังคงเชื่อมั่นในตัวเขา นับว่าอู๋เว่ยเป็นหญิงชราใจดีผู้หนึ่ง

“มารดาสบายดี แต่ว่า… มารดาออกจะคิดถึงท่านอยู่ไม่น้อย”

รอยยิ้มอย่างมีความสุขปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฮันลั่วเซวี่ย

หลินเป่ยเฉินผงกศีรษะ ต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง เขาเองก็อยากหาเวลาไปพบหญิงชราเช่นกัน แต่เมื่อนึกได้ว่าตนเองกำลังจะต้องกลับจากดินแดนทวยเทพในอีกไม่ช้า สุดท้าย หลินเป่ยเฉินก็ไม่ได้พูดสิ่งที่คิดออกมา

“เจ้ามาที่นี่ คงอยากได้รับตำแหน่งเทพเจ้าเหมือนกันสินะ?”

หลินเป่ยเฉินจ้องมองเด็กสาวที่เติบโตอย่างรวดเร็วเบื้องหน้าเขาและกล่าวว่า “วางใจเถอะ ข้าเตรียมตำแหน่งเอาไว้ให้เจ้าแล้ว”

นี่คือความจริง

หลินเป่ยเฉินเตรียมตำแหน่งเทพเจ้าที่เหมาะสมกับฮันลั่วเซวี่ยเอาไว้ให้แก่นางแล้ว

“ข้าอยากจะติดตามท่าน”

ฮันลั่วเซวี่ยกล่าว “ข้าอยากจะเป็นนักเวทในวิหารของท่าน… พี่ใบ้ ท่านจะยอมรับข้าเป็นผู้ติดตามได้หรือไม่? ต่อให้ท่านสั่งให้ข้าเป็นหญิงรับใช้ข้างกาย ข้าก็ยินดี”