ตอนที่ 1355 กลิ่นอายมรรคจักรพรรดิ?

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

ฝนโลหิตสาดพรม

มองขึ้นไปจากพื้นสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ว่าท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ถูกแสงเลือดหนาแน่นเสียดตาปกคลุมนานแล้ว

แดงจนสยดสยอง!

เสียงแห่งมหามรรคที่ราวกับเทพมารร่ำไห้ อริยะเมธีร้องครวญเป็นระลอกดังก้องอยู่กลางฟ้าดินไม่ขาดสาย ราวกับลำนำไว้อาลัยบทหนึ่ง

การต่อสู้ยังคงปะทุ เหนือศีรษะหลินสวินเจดีย์มหามรรคไร้สิ้นสุดลอยล่อง เงาร่างของเขามีรุ้งเทพสีเลือดไหลเวียน เหมือนเทพที่ไม่ได้อยู่บนโลก

เขารบพุ่งใต้ฟ้า เสื้อผ้าพลิ้วไหว องอาจไร้เทียมทาน กำลังสังหารอริยะ!

ท่าทางที่ประหนึ่งไร้ศัตรูนั่น ทำให้เยี่ยจิ่วเซียว เซี่ยวปู้กุยและเหวยฉางอวิ๋นต่างอึ้งงันอยู่กับที่ ในใจสั่นสะท้านเหมือนคลื่นพายุพลิกตลบ

ใครก็คิดไม่ถึง ว่าแม้แต่ท่านเมี่ยวเสวียนแห่งหอฤทธิ์เทพมาเยือนแล้ว ก็ไม่สามารถหยุดยั้งเรื่องทั้งหมดนี้ได้

หรือพูดอีกอย่างคือ พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าหลินสวินจะใช้พลังของตนเพียงคนเดียวสังหารเหล่าอริยะใต้ฟ้า!

นี่เหลือเชื่อเกินไป

ตูม!

ในสนามรบอวี๋ซิวแห่งสำนักกระบี่เทียมฟ้าส่งเสียงคำราม ราวกับสัตว์ปีศาจที่ตื่นตกใจ วิ่งอย่างบ้าคลั่งเผ้าผมกระเซอะกระเซิง พยายามหนีไป

ต่อสู้มาถึงตอนนี้ เขารู้สึกถึงความหวาดกลัวไร้ที่พึ่งอย่างสิ้นเชิงแล้ว

สิ่งที่ทำให้เขาหมดหวังที่สุดคือ เขาได้ลองหนีหลายครั้งแล้ว แต่ห้วงอากาศผืนนี้ถูกพลังน่ากลัวปกคลุมตั้งนานแล้ว ทำให้เขาไม่สามารถสำแดงการเคลื่อนย้ายผ่านห้วงอากาศได้!

ครั้งนี้ก็เช่นกัน

หนีได้ไม่นาน เงาร่างของอวี๋ซิวก็ถูกพลังหมัดของหลินสวินกดข่มจนเซถอย ในปากกระอักเลือด

“เจ้าเป็นใครกันแน่?!”

เขาตาแทบถลนออกมา ใบหน้าเต็มไปด้วยความเดือดดาล

คำถามนี้เป็นสิ่งที่อริยะคนอื่นๆ ในที่นั้นสงสัยที่สุดเช่นกัน

ตั้งแต่เปิดศึก พวกเขาคิดว่าสิ่งที่หลินสวินยืมใช้เป็นเพียงพลังแห่งอริยะ ไม่มีทางยืนหยัดได้นาน จึงไร้ซึ่งความหวาดกลัว มั่นใจในชัยชนะ

แต่ตอนนี้พวกเขาตระหนักได้ถึงปัญหาหนึ่งอย่างชัดเจน ต่อให้ในสายตาพวกเขาพลังปราณที่แท้จริงของหลินสวินไม่ต่างอะไรกับมดปลวก

แต่พลังที่เขายืมใช้ กลับไม่มีทางเป็นพลังของระดับอริยะอย่างแน่นอน ถึงขั้นที่ไม่ใช่ของมหาอริยะและราชันอริยะด้วย!

ตูม!

หลินสวินไม่ได้ตอบ เขาคร้านจะพูดไร้สาระ สีหน้าเย็นเยียบจนน่ากลัว ควบคุมเจดีย์สมบัติไร้อักษรทะลวงอากาศกระแทกลงไป

ราวกับกัสสปะขว้างช้าง

ในตำนาน สมัยบรรพกาลมีอริยพุทธฉายากัสสปะท่องเที่ยวบนฟ้าดารา ระหว่างทางถูกช้างที่ร่างกายยิ่งใหญ่ราวกับภูเขาเทพขวางทาง เขาเพียงคว้าลวกๆ ก็โยนช้างตัวนั้นออกไปราวกับโยนก้อนหินก้อนหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น!

กัสสปะขว้างช้างจึงถูกพวกเขามองเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ไร้เทียมทานเช่นนั้น

และตอนนี้ การโจมตีนี้ของหลินสวินมีความองอาจเช่นนี้อยู่รางๆ เผด็จการจนน่ากลัว ท้องฟ้ายังเหมือนถูกกดข่มจนขาดเป็นเสี่ยงๆ

“ไม่…! ช่วย… ช่วยข้า!”

อวี๋ซิวตกใจยกใหญ่ คำรามสะเทือนฟ้า ดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง

แม้จะเป็นอริยะที่จรัสแสงเคียงคู่ตะวันจันทรา คงอยู่คู่ฟ้าดิน เมื่อเผชิญความตายก็ไม่ต่างอะไรกับคนปกติ!

ตูม!

เจดีย์สมบัติไร้อักษรร่วงลง อวี๋ซิวกลายเป็นเถ้าปลิวควันละลาย เสียงร้องขอความช่วยเหลือก็หยุดไปกะทันหัน

“ท่านเมี่ยวเสวียน ในฐานะผู้อาวุโสหอฤทธิ์เทพ จะนิ่งดูดายมองพวกเราถูกเด็กนี่ยืมใช้พลังชั่วร้ายสังหารโดยไม่ทำอะไรหรือ”

อริยะคนหนึ่งดวงตาแดงก่ำแล้ว ตะโกนร้องออกมา

นี่เท่ากับกำลังขอความช่วยเหลืออย่างไม่ต้องสงสัย!

ห่างออกไปท่านเมี่ยวเสวียนนิ่งเงียบ นั่งขัดสมาธิอยู่กลางอากาศ ถือพู่กันวสันต์สารทเขียนบนหนังสือบันทึกประวัติศาสตร์ ‘จากนั้นอวี๋ซิวแห่งสำนักกระบี่เทียมฟ้าถูกสังหาร จนถึงตอนนี้มีอริยะร่วงหล่นในวันนี้หกคนแล้ว’

เห็นเช่นนี้อริยะเหล่านั้นต่างสิ้นหวัง รู้ว่าแม้เป็นท่านเมี่ยวเสวียน ก็ตัดสินใจจะเฝ้าดูอยู่ข้างๆ วางตัวเป็นคนนอก!

“ฆ่า!”

“สู้ด้วยกัน!”

ราวกับฝูงสัตว์ที่จนหนทาง ภายใต้การกระตุ้นของความตาย กลับสะกิดปณิธานแห่งการต่อสู้ของเหล่าอริยะโดยสมบูรณ์

เพราะหนีไปก็ไม่มีประโยชน์ ฟ้าดินผืนนี้ล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมของหลินสวิน!

อย่างอวี๋ซิวก็หนีตายไม่ใช่แค่ครั้งเดียว แต่สุดท้ายก็พลาดทุกครั้ง ถูกสังหารคาที่

“ข้าบอกแล้ว ว่าวันนี้ใครก็อย่าคิดหนี!”

เสียงของหลินสวินเย็นชา

ครั้งนี้เขาจะสังหารให้หมดจด ฆ่าเดรัจฉานเฒ่าที่ยกตัวว่าเป็นอริยะพวกนี้ให้สิ้น สังหารจนเกิดอำนาจบารมีที่ไม่มีใครกล้าล่วงเกิน!

ตั้งแต่เข้าสู่ดินแดนรกร้างโบราณ ไม่ว่าจะเป็นแดนฐิติประจิมหรือแดนชัยบูรพา เขาก็ถูกสำนักโบราณเหล่านั้นดูถูก กดข่มและตามฆ่ามาโดยตลอด…

ตอนนั้นเขาอ่อนแอ เขายอมรับ เขาอดทน!

แต่ตอนนี้หลินสวินไม่สามารถทนทั้งหมดนี้ได้อีกต่อไปแล้ว!

อยู่ในแดนมกุฎมาสิบปี ทำให้สภาวะจิตของเขาไม่เพียงแค่เปลี่ยนไป ยังได้รู้จักถึงพลังมหามรรคที่สูงส่งยิ่งกว่า น่ากลัวยิ่งกว่า ครอบครองไพ่ตายมากมาย

ในสถานการณ์เช่นนี้ หากยังทนและให้อภัยเหมือนเมื่อก่อน จะต่างอะไรกับคนขี้ขลาดที่ถูกทุกคนเยาะเย้ย

ฆ่า!

ผมยาวของหลินสวินปลิวพลิ้ว ท่าทางหยิ่งผยอง อานุภาพทั่วตัวยิ่งดูสะท้านขวัญ

หากอยากให้ศัตรูเปลี่ยนท่าที มีเพียงวิธีเดียวก็คือสังหารจนทำลายความกล้าของเขา พูดถึงตนยังกลัวเกรง!

ฉึก!

ไม่นานหน้าอกของอริยะคนหนึ่งก็ถูกระเบิด ส่งเสียงโหยหวนน่าอนาถ จากนั้นถูกเจดีย์สมบัติไร้อักษรดับทำลายในห้วงอากาศทั้งเป็น

ชั่วขณะหนึ่งเหล่าอริยะที่ซ่อนตัวอยู่ในที่มืด ไม่เคยเข้าสู่สนามรบพวกนั้นล้วนเหมือนกระต่ายตื่นตูม ลนลานอย่างสิ้นเชิง ไม่กล้ารั้งอยู่ต่ออีก

ต่อให้พวกเขาจะดูอยู่ห่างๆ ก็ยังสั่นไปทั้งตัว อกสั่นขวัญหนี ถูกอานุภาพสังหารท่วมฟ้าที่หลินสวินสำแดงออกมาสั่นสะเทือนสยบ

“ไป!”

“สถานการณ์ไม่อาจพลิกผันได้แล้ว…”

“เฮ้อ!”

เสียงที่อัดอั้น ไม่จำยอม จนปัญญาดังก้องในมุมมืด เหล่าอริยะที่ไม่เคยปรากฏตัวพวกนั้นต่างจากไปอย่างไม่ลังเลแล้ว

ขืนยังไม่ไป เกรงว่าจะไปไหนไม่รอด

เพราะอริยะในสนามรบเหลือเพียงสองคนแล้ว เมื่อหลินสวินจัดการจนหมด จะต้องมาจัดการพวกเขาแน่!

เพียงแต่พอคิดถึงว่าตั้งแต่ต้นจนจบยังไม่เคยได้ลงมือ ก็ถูกคนรุ่นหลังคนหนึ่งสะเทือนสยบ ข่มขวัญจนถอยหนี ทำให้อริยะที่ซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดต่างรู้สึกอึดอัดและอับอายอย่างไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้

แต่สถานการณ์เช่นนี้ พวกเขาจะกล้ารอต่อไปได้อย่างไร!

พรึ่บๆๆ!

ในห้วงอากาศที่อยู่ห่างออกไปสั่นขึ้นมาระลอกหนึ่ง อริยะเหล่านั้นจากไปไกลอย่างไร้สุ้มเสียง

เมื่อสังเกตเห็นภาพนี้ พวกเยี่ยจิ่วเซียว เซี่ยวปู้กุยที่เฝ้าระวังทุกอย่างนี้มาโดยตลอดต่างอดหัวเราะเยาะไม่ได้ กลัวจนหนีกระเจิงไปแล้วหรือ

น่าขายหน้า!

ส่วนท่านเมี่ยวเสวียนเขียนลงบนหนังสือบันทึกประวัติศาสตร์อีกว่า ‘เหล่าอริยะในมุมมืดถูกสะเทือนขวัญ ปณิธานต่อสู้สลาย จากไปพร้อมความตื่นตระหนก นี่เรียกได้ว่าเป็นเรื่องน่าแปลกที่ไม่เคยมีมาก่อน และเป็นเรื่องตลกที่ไม่เคยมีมาก่อนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเช่นกัน กลายเป็นเรื่องน่าขันที่คนรุ่นหลังพูดถึงกันอย่างเพลิดเพลิน’

เขียนจบ ความจริงในใจท่านเมี่ยวเสวียนก็โล่งอก

พูดตามจริงจนถึงตอนนี้เขาเองก็อกสั่นหวั่นไหวอยู่บ้าง ไม่ใช่เพราะหวาดเกรงศักยภาพของหลินสวิน แต่ตกใจกับจิตสังหารของเขา

หากให้เขาฆ่าต่อไป ก็ไม่รู้ว่าวันนี้จะมีอริยะร่วงหล่นอีกเท่าไหร่!

แต่ยังโชคดี แม้การหนีจากไปของอริยะในมุมมืดจะน่าอับอาย แต่สุดท้ายก็ถือว่ารอดชีวิตไปได้ ไม่เสี่ยงจะร่วงหล่น

ท่านเมี่ยวเสวียนถึงขั้นแน่ใจว่า ต่อไปหากไม่มั่นใจจริงๆ เหล่าอริยะที่หนีไปเหล่านี้เกรงว่าคงไม่กล้าลงมือกับหลินสวินอีกเลยทั้งชีวิต!

นี่ก็คือการสะท้านขวัญ!

เรื่องวันนี้สามารถทำให้พวกเขาหนีจากไปอย่างไม่ห่วงหน้า ก็เท่ากับว่าพวกเขาหวาดกลัวแล้ว จะกลายเป็นเหมือนเงามืดในใจที่คอยเตือนพวกเขาอยู่ตลอดเวลาว่า ว่าหากคิดจะฆ่าหลินสวิน ให้พิจารณาถึงความเสี่ยงของการถูกฆ่าก่อน

“ปล่อยข้าไปสักครั้งได้หรือไม่”

ในสนามรบอริยะคนหนึ่งท่าทางสิ้นหวัง

ฟุ่บ!

หลินสวินไม่เกรงใจ ถึงขั้นสีหน้าไม่เคยเปลี่ยนเลยสักนิด ใช้กำลังทั้งหมดกดฝ่ามือลงไป ทำลายล้างอีกฝ่าย

“นี่เจ้ากำลังเป็นศัตรูกับทั้งดินแดนรกร้างโบราณ! ไม่มีใครยอมให้ดาวพิฆาตอย่างเจ้ามีชีวิตอยู่ต่อหรอก!”

ในที่นั้นเหลืออริยะคนสุดท้ายแล้ว เป็นซางเย่แห่งเผ่าวิญญาณสมุทร เพียงแต่นางในตอนนี้กลับราวกับบ้าคลั่ง กรีดร้องคร่ำครวญ

“เป็นศัตรูกับทั้งโลกแล้วอย่างไร ขวางทางแสวงมรรคของข้า สังหารซะก็ได้แล้ว!”

ในเสียงราบเรียบ หลินสวินเรียกเจดีย์สมบัติไร้อักษรออกมา เย็นชาจนราวกับไร้ความรู้สึก ท่าทางแข็งกร้าวเด็ดขาดทำเอาพวกเซี่ยวปู้กุยหนาวเยือกในใจอย่างอดไม่ได้

ต่างตระหนักได้ว่า หากใครเป็นศัตรูกับหลินสวินก็เหมือนฝันร้ายครั้งหนึ่ง!

สุดท้าย ซางเย่เองก็ถูกสังหารในที่นั้น

ก่อนตายนางยังสาปแช่งหลินสวินอย่างบ้าคลั่งรุนแรง มองเขาเป็นดาวมารที่จะต้องประสบหายนะ

น่าเสียดายที่สุดท้ายคำสาปแช่งก็ไม่มีประโยชน์ ใช้ไม่ได้กับหลินสวิน

ฮูม…

กลางฟ้าดินเต็มไปด้วยคาวเลือดที่เข้มข้น แดงสดบาดตา เลือดอริยะดั่งสายฝน พร่างพรมอยู่กลางฟ้าดินเนิ่นนานไม่เสื่อมคลาย

ในสนามรบไม่มีอริยะแล้ว!

คู่ต่อสู้ที่ปิดล้อมโจมตีหลินสวินก่อนหน้าถูกฆ่าทั้งหมด ไม่ว่าใครก็ล้วนหนีไม่รอด

ขณะมองดูภาพนี้อย่างอึ้งๆ พวกเซี่ยวปู้กุยรู้สึกเหมือนกำลังฝัน พวกเขาเป็นถึงอริยะ ชีวิตนี้มีลมฝนใหญ่อะไรที่ไม่เคยเจอ

แต่ตอนนี้ต่างจิตใจล่องลอยอย่างควบคุมไม่ได้ รู้สึกไม่สมจริงเกินไป!

ใครจะกล้าจินตนาการ ว่าวันนี้คนรุ่นเยาว์ระดับอมตะเคราะห์ด่านเจ็ดคนหนึ่ง อยู่ท่ามกลางการปิดล้อมของเหล่าอริยะ แต่กลับสังหารเหล่าอริยะได้ทั้งหมด

น่ากลัวเกินไป!

บนท้องฟ้าหลินสวินกลับไม่ทันได้ถอนหายใจ เพราะตอนนี้กลิ่นอายที่น่ากลัวถึงที่สุดสายหนึ่งโฉบเข้ามาจากระยะไกลโพ้นกะทันหัน

กลิ่นอายนั่นแข็งแกร่งจนเหลือเชื่อ ทำให้หลินสวินรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาในชั่วขณะ!

“ไป!”

ทันใดนั้นไม่รอให้หลินสวินตั้งตัวได้ ก็รู้สึกว่าภาพตรงหน้าพร่ามัว ถูกท่านเมี่ยวเสวียนที่ไม่รู้ว่าปรากฏตัวตั้งแต่เมื่อไหร่สะบัดแขนเสื้อ พาตัวไปจากกลางอากาศ

ครืนโครม!

แค่ชั่วพริบตานั้น กลางอากาศนั่นก็ปรากฏแสงมรรคไร้สิ้นสุด รวมตัวเป็นใบหน้าที่เคร่งขรึมเย็นชาอย่างที่สุด ดวงตายิ่งใหญ่ดุจฟ้าดารา มีปรากฏการณ์ประหลาดปานจักรวาลสับเปลี่ยนหมุนเวียนผุดขึ้นผุดลงอยู่ภายใน

เขากวาดมองเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน แค่นเสียงขึ้นจมูกอย่างเย็นเยียบ “กลิ่นอายมรรคจักรพรรดิ ถึงว่า…”

ในเสียงแฝงความไม่พอใจเสี้ยวหนึ่ง

สุดท้ายสายตาของเขาหยุดอยู่ที่พวกเซี่ยวปู้กุย เยี่ยจิ่วเซียว เหวยฉางอวิ๋นสามคนแล้วพูดว่า “ต่อไปหากมีโอกาสบอกหลินสวินนั่นว่า ตอนที่การต่อสู้แห่งเก้าดินแดนเริ่มขึ้น หากเขาไม่ไปฆ่าศัตรูในสนามรบ ข้าจะฆ่าเขาเป็นคนแรก!”

เสียงราวกับประสงค์ของเจ้าเหนือหัวแห่งใต้หล้า เย็นชาไร้ปรานี

โครม!

จากนั้นใบหน้าที่เคร่งขรึมอย่างที่สุดนั่น แปรเปลี่ยนเป็นแสงมรรคโหมซัดหายไปกลางฟ้าดิน

และตอนนี้ พวกเซี่ยวปู้กุยตกใจจนเหงื่อท่วมตัวแล้ว

ต่อให้เป็นถึงอริยะ แต่ตอนที่ใบหน้าเคร่งขรึมเมื่อครู่นี้ปรากฏ ก็ยังคงทำให้พวกเขารู้สึกถึงความกดดันที่ราวกับหายใจไม่ออก

“มหาจักรพรรดิ… คนหนึ่งหรือ”

ครู่ใหญ่เซี่ยวปู้กุยถึงสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเอ่ยถาม

“ต่อให้ไม่ใช่มหาจักรพรรดิก็ต้องเป็นตัวตนปานราชันอริยะแน่ ร่างต้นของเขายังไม่ได้ปรากฏ แต่กลิ่นอายระดับนั้นก็น่ากลัวจนไม่กล้าจินตนาการแล้ว”

เสียงของเยี่ยจิ่วเซียวแผ่วต่ำ

“ข้ารู้จักเขา”

เหวยฉางอวิ๋นสีหน้าเลื่อนลอย สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเล็กน้อย ราวกับยากจะเชื่อ ครู่หนึ่งถึงพูดออกมาว่า “พวกเจ้ารู้จักไป๋อวี้จิงหรือไม่”

เยี่ยจิ่วเซียวกับเซี่ยวปู้กุยต่างขมวดคิ้ว พวกเขาจะไม่รู้จักนครหยกขาว (ไป๋อวี้จิง[1])ได้อย่างไร นั่นเป็นชื่อเขตแคว้นแห่งหนึ่งในดินแดนรกร้างโบราณ

สำนักกระบี่เทียมฟ้าก็ครองอาณาเขตอยู่ในนั้น

“ท่านทั้งสอง ที่ข้าพูดคือชื่อคน…”

เหวยฉางอวิ๋นพูดด้วยสีหน้าซับซ้อน

ทันใดนั้นเยี่ยจิ่วเซียวกับเซี่ยวปู้กุยต่างอึ้งงันโดยพร้อมเพรียง สูดหายใจเย็นด้วยความตกใจ

——

[1] นครหยกขาว ในภาษาจีนอ่านว่า ไป๋อวี้จิง