ฝนโลหิตสาดพรม
มองขึ้นไปจากพื้นสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ว่าท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ถูกแสงเลือดหนาแน่นเสียดตาปกคลุมนานแล้ว
แดงจนสยดสยอง!
เสียงแห่งมหามรรคที่ราวกับเทพมารร่ำไห้ อริยะเมธีร้องครวญเป็นระลอกดังก้องอยู่กลางฟ้าดินไม่ขาดสาย ราวกับลำนำไว้อาลัยบทหนึ่ง
การต่อสู้ยังคงปะทุ เหนือศีรษะหลินสวินเจดีย์มหามรรคไร้สิ้นสุดลอยล่อง เงาร่างของเขามีรุ้งเทพสีเลือดไหลเวียน เหมือนเทพที่ไม่ได้อยู่บนโลก
เขารบพุ่งใต้ฟ้า เสื้อผ้าพลิ้วไหว องอาจไร้เทียมทาน กำลังสังหารอริยะ!
ท่าทางที่ประหนึ่งไร้ศัตรูนั่น ทำให้เยี่ยจิ่วเซียว เซี่ยวปู้กุยและเหวยฉางอวิ๋นต่างอึ้งงันอยู่กับที่ ในใจสั่นสะท้านเหมือนคลื่นพายุพลิกตลบ
ใครก็คิดไม่ถึง ว่าแม้แต่ท่านเมี่ยวเสวียนแห่งหอฤทธิ์เทพมาเยือนแล้ว ก็ไม่สามารถหยุดยั้งเรื่องทั้งหมดนี้ได้
หรือพูดอีกอย่างคือ พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าหลินสวินจะใช้พลังของตนเพียงคนเดียวสังหารเหล่าอริยะใต้ฟ้า!
นี่เหลือเชื่อเกินไป
ตูม!
ในสนามรบอวี๋ซิวแห่งสำนักกระบี่เทียมฟ้าส่งเสียงคำราม ราวกับสัตว์ปีศาจที่ตื่นตกใจ วิ่งอย่างบ้าคลั่งเผ้าผมกระเซอะกระเซิง พยายามหนีไป
ต่อสู้มาถึงตอนนี้ เขารู้สึกถึงความหวาดกลัวไร้ที่พึ่งอย่างสิ้นเชิงแล้ว
สิ่งที่ทำให้เขาหมดหวังที่สุดคือ เขาได้ลองหนีหลายครั้งแล้ว แต่ห้วงอากาศผืนนี้ถูกพลังน่ากลัวปกคลุมตั้งนานแล้ว ทำให้เขาไม่สามารถสำแดงการเคลื่อนย้ายผ่านห้วงอากาศได้!
ครั้งนี้ก็เช่นกัน
หนีได้ไม่นาน เงาร่างของอวี๋ซิวก็ถูกพลังหมัดของหลินสวินกดข่มจนเซถอย ในปากกระอักเลือด
“เจ้าเป็นใครกันแน่?!”
เขาตาแทบถลนออกมา ใบหน้าเต็มไปด้วยความเดือดดาล
คำถามนี้เป็นสิ่งที่อริยะคนอื่นๆ ในที่นั้นสงสัยที่สุดเช่นกัน
ตั้งแต่เปิดศึก พวกเขาคิดว่าสิ่งที่หลินสวินยืมใช้เป็นเพียงพลังแห่งอริยะ ไม่มีทางยืนหยัดได้นาน จึงไร้ซึ่งความหวาดกลัว มั่นใจในชัยชนะ
แต่ตอนนี้พวกเขาตระหนักได้ถึงปัญหาหนึ่งอย่างชัดเจน ต่อให้ในสายตาพวกเขาพลังปราณที่แท้จริงของหลินสวินไม่ต่างอะไรกับมดปลวก
แต่พลังที่เขายืมใช้ กลับไม่มีทางเป็นพลังของระดับอริยะอย่างแน่นอน ถึงขั้นที่ไม่ใช่ของมหาอริยะและราชันอริยะด้วย!
ตูม!
หลินสวินไม่ได้ตอบ เขาคร้านจะพูดไร้สาระ สีหน้าเย็นเยียบจนน่ากลัว ควบคุมเจดีย์สมบัติไร้อักษรทะลวงอากาศกระแทกลงไป
ราวกับกัสสปะขว้างช้าง
ในตำนาน สมัยบรรพกาลมีอริยพุทธฉายากัสสปะท่องเที่ยวบนฟ้าดารา ระหว่างทางถูกช้างที่ร่างกายยิ่งใหญ่ราวกับภูเขาเทพขวางทาง เขาเพียงคว้าลวกๆ ก็โยนช้างตัวนั้นออกไปราวกับโยนก้อนหินก้อนหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น!
กัสสปะขว้างช้างจึงถูกพวกเขามองเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ไร้เทียมทานเช่นนั้น
และตอนนี้ การโจมตีนี้ของหลินสวินมีความองอาจเช่นนี้อยู่รางๆ เผด็จการจนน่ากลัว ท้องฟ้ายังเหมือนถูกกดข่มจนขาดเป็นเสี่ยงๆ
“ไม่…! ช่วย… ช่วยข้า!”
อวี๋ซิวตกใจยกใหญ่ คำรามสะเทือนฟ้า ดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง
แม้จะเป็นอริยะที่จรัสแสงเคียงคู่ตะวันจันทรา คงอยู่คู่ฟ้าดิน เมื่อเผชิญความตายก็ไม่ต่างอะไรกับคนปกติ!
ตูม!
เจดีย์สมบัติไร้อักษรร่วงลง อวี๋ซิวกลายเป็นเถ้าปลิวควันละลาย เสียงร้องขอความช่วยเหลือก็หยุดไปกะทันหัน
“ท่านเมี่ยวเสวียน ในฐานะผู้อาวุโสหอฤทธิ์เทพ จะนิ่งดูดายมองพวกเราถูกเด็กนี่ยืมใช้พลังชั่วร้ายสังหารโดยไม่ทำอะไรหรือ”
อริยะคนหนึ่งดวงตาแดงก่ำแล้ว ตะโกนร้องออกมา
นี่เท่ากับกำลังขอความช่วยเหลืออย่างไม่ต้องสงสัย!
ห่างออกไปท่านเมี่ยวเสวียนนิ่งเงียบ นั่งขัดสมาธิอยู่กลางอากาศ ถือพู่กันวสันต์สารทเขียนบนหนังสือบันทึกประวัติศาสตร์ ‘จากนั้นอวี๋ซิวแห่งสำนักกระบี่เทียมฟ้าถูกสังหาร จนถึงตอนนี้มีอริยะร่วงหล่นในวันนี้หกคนแล้ว’
เห็นเช่นนี้อริยะเหล่านั้นต่างสิ้นหวัง รู้ว่าแม้เป็นท่านเมี่ยวเสวียน ก็ตัดสินใจจะเฝ้าดูอยู่ข้างๆ วางตัวเป็นคนนอก!
“ฆ่า!”
“สู้ด้วยกัน!”
ราวกับฝูงสัตว์ที่จนหนทาง ภายใต้การกระตุ้นของความตาย กลับสะกิดปณิธานแห่งการต่อสู้ของเหล่าอริยะโดยสมบูรณ์
เพราะหนีไปก็ไม่มีประโยชน์ ฟ้าดินผืนนี้ล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมของหลินสวิน!
อย่างอวี๋ซิวก็หนีตายไม่ใช่แค่ครั้งเดียว แต่สุดท้ายก็พลาดทุกครั้ง ถูกสังหารคาที่
“ข้าบอกแล้ว ว่าวันนี้ใครก็อย่าคิดหนี!”
เสียงของหลินสวินเย็นชา
ครั้งนี้เขาจะสังหารให้หมดจด ฆ่าเดรัจฉานเฒ่าที่ยกตัวว่าเป็นอริยะพวกนี้ให้สิ้น สังหารจนเกิดอำนาจบารมีที่ไม่มีใครกล้าล่วงเกิน!
ตั้งแต่เข้าสู่ดินแดนรกร้างโบราณ ไม่ว่าจะเป็นแดนฐิติประจิมหรือแดนชัยบูรพา เขาก็ถูกสำนักโบราณเหล่านั้นดูถูก กดข่มและตามฆ่ามาโดยตลอด…
ตอนนั้นเขาอ่อนแอ เขายอมรับ เขาอดทน!
แต่ตอนนี้หลินสวินไม่สามารถทนทั้งหมดนี้ได้อีกต่อไปแล้ว!
อยู่ในแดนมกุฎมาสิบปี ทำให้สภาวะจิตของเขาไม่เพียงแค่เปลี่ยนไป ยังได้รู้จักถึงพลังมหามรรคที่สูงส่งยิ่งกว่า น่ากลัวยิ่งกว่า ครอบครองไพ่ตายมากมาย
ในสถานการณ์เช่นนี้ หากยังทนและให้อภัยเหมือนเมื่อก่อน จะต่างอะไรกับคนขี้ขลาดที่ถูกทุกคนเยาะเย้ย
ฆ่า!
ผมยาวของหลินสวินปลิวพลิ้ว ท่าทางหยิ่งผยอง อานุภาพทั่วตัวยิ่งดูสะท้านขวัญ
หากอยากให้ศัตรูเปลี่ยนท่าที มีเพียงวิธีเดียวก็คือสังหารจนทำลายความกล้าของเขา พูดถึงตนยังกลัวเกรง!
ฉึก!
ไม่นานหน้าอกของอริยะคนหนึ่งก็ถูกระเบิด ส่งเสียงโหยหวนน่าอนาถ จากนั้นถูกเจดีย์สมบัติไร้อักษรดับทำลายในห้วงอากาศทั้งเป็น
ชั่วขณะหนึ่งเหล่าอริยะที่ซ่อนตัวอยู่ในที่มืด ไม่เคยเข้าสู่สนามรบพวกนั้นล้วนเหมือนกระต่ายตื่นตูม ลนลานอย่างสิ้นเชิง ไม่กล้ารั้งอยู่ต่ออีก
ต่อให้พวกเขาจะดูอยู่ห่างๆ ก็ยังสั่นไปทั้งตัว อกสั่นขวัญหนี ถูกอานุภาพสังหารท่วมฟ้าที่หลินสวินสำแดงออกมาสั่นสะเทือนสยบ
“ไป!”
“สถานการณ์ไม่อาจพลิกผันได้แล้ว…”
“เฮ้อ!”
เสียงที่อัดอั้น ไม่จำยอม จนปัญญาดังก้องในมุมมืด เหล่าอริยะที่ไม่เคยปรากฏตัวพวกนั้นต่างจากไปอย่างไม่ลังเลแล้ว
ขืนยังไม่ไป เกรงว่าจะไปไหนไม่รอด
เพราะอริยะในสนามรบเหลือเพียงสองคนแล้ว เมื่อหลินสวินจัดการจนหมด จะต้องมาจัดการพวกเขาแน่!
เพียงแต่พอคิดถึงว่าตั้งแต่ต้นจนจบยังไม่เคยได้ลงมือ ก็ถูกคนรุ่นหลังคนหนึ่งสะเทือนสยบ ข่มขวัญจนถอยหนี ทำให้อริยะที่ซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดต่างรู้สึกอึดอัดและอับอายอย่างไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้
แต่สถานการณ์เช่นนี้ พวกเขาจะกล้ารอต่อไปได้อย่างไร!
พรึ่บๆๆ!
ในห้วงอากาศที่อยู่ห่างออกไปสั่นขึ้นมาระลอกหนึ่ง อริยะเหล่านั้นจากไปไกลอย่างไร้สุ้มเสียง
เมื่อสังเกตเห็นภาพนี้ พวกเยี่ยจิ่วเซียว เซี่ยวปู้กุยที่เฝ้าระวังทุกอย่างนี้มาโดยตลอดต่างอดหัวเราะเยาะไม่ได้ กลัวจนหนีกระเจิงไปแล้วหรือ
น่าขายหน้า!
ส่วนท่านเมี่ยวเสวียนเขียนลงบนหนังสือบันทึกประวัติศาสตร์อีกว่า ‘เหล่าอริยะในมุมมืดถูกสะเทือนขวัญ ปณิธานต่อสู้สลาย จากไปพร้อมความตื่นตระหนก นี่เรียกได้ว่าเป็นเรื่องน่าแปลกที่ไม่เคยมีมาก่อน และเป็นเรื่องตลกที่ไม่เคยมีมาก่อนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเช่นกัน กลายเป็นเรื่องน่าขันที่คนรุ่นหลังพูดถึงกันอย่างเพลิดเพลิน’
เขียนจบ ความจริงในใจท่านเมี่ยวเสวียนก็โล่งอก
พูดตามจริงจนถึงตอนนี้เขาเองก็อกสั่นหวั่นไหวอยู่บ้าง ไม่ใช่เพราะหวาดเกรงศักยภาพของหลินสวิน แต่ตกใจกับจิตสังหารของเขา
หากให้เขาฆ่าต่อไป ก็ไม่รู้ว่าวันนี้จะมีอริยะร่วงหล่นอีกเท่าไหร่!
แต่ยังโชคดี แม้การหนีจากไปของอริยะในมุมมืดจะน่าอับอาย แต่สุดท้ายก็ถือว่ารอดชีวิตไปได้ ไม่เสี่ยงจะร่วงหล่น
ท่านเมี่ยวเสวียนถึงขั้นแน่ใจว่า ต่อไปหากไม่มั่นใจจริงๆ เหล่าอริยะที่หนีไปเหล่านี้เกรงว่าคงไม่กล้าลงมือกับหลินสวินอีกเลยทั้งชีวิต!
นี่ก็คือการสะท้านขวัญ!
เรื่องวันนี้สามารถทำให้พวกเขาหนีจากไปอย่างไม่ห่วงหน้า ก็เท่ากับว่าพวกเขาหวาดกลัวแล้ว จะกลายเป็นเหมือนเงามืดในใจที่คอยเตือนพวกเขาอยู่ตลอดเวลาว่า ว่าหากคิดจะฆ่าหลินสวิน ให้พิจารณาถึงความเสี่ยงของการถูกฆ่าก่อน
“ปล่อยข้าไปสักครั้งได้หรือไม่”
ในสนามรบอริยะคนหนึ่งท่าทางสิ้นหวัง
ฟุ่บ!
หลินสวินไม่เกรงใจ ถึงขั้นสีหน้าไม่เคยเปลี่ยนเลยสักนิด ใช้กำลังทั้งหมดกดฝ่ามือลงไป ทำลายล้างอีกฝ่าย
“นี่เจ้ากำลังเป็นศัตรูกับทั้งดินแดนรกร้างโบราณ! ไม่มีใครยอมให้ดาวพิฆาตอย่างเจ้ามีชีวิตอยู่ต่อหรอก!”
ในที่นั้นเหลืออริยะคนสุดท้ายแล้ว เป็นซางเย่แห่งเผ่าวิญญาณสมุทร เพียงแต่นางในตอนนี้กลับราวกับบ้าคลั่ง กรีดร้องคร่ำครวญ
“เป็นศัตรูกับทั้งโลกแล้วอย่างไร ขวางทางแสวงมรรคของข้า สังหารซะก็ได้แล้ว!”
ในเสียงราบเรียบ หลินสวินเรียกเจดีย์สมบัติไร้อักษรออกมา เย็นชาจนราวกับไร้ความรู้สึก ท่าทางแข็งกร้าวเด็ดขาดทำเอาพวกเซี่ยวปู้กุยหนาวเยือกในใจอย่างอดไม่ได้
ต่างตระหนักได้ว่า หากใครเป็นศัตรูกับหลินสวินก็เหมือนฝันร้ายครั้งหนึ่ง!
สุดท้าย ซางเย่เองก็ถูกสังหารในที่นั้น
ก่อนตายนางยังสาปแช่งหลินสวินอย่างบ้าคลั่งรุนแรง มองเขาเป็นดาวมารที่จะต้องประสบหายนะ
น่าเสียดายที่สุดท้ายคำสาปแช่งก็ไม่มีประโยชน์ ใช้ไม่ได้กับหลินสวิน
ฮูม…
กลางฟ้าดินเต็มไปด้วยคาวเลือดที่เข้มข้น แดงสดบาดตา เลือดอริยะดั่งสายฝน พร่างพรมอยู่กลางฟ้าดินเนิ่นนานไม่เสื่อมคลาย
ในสนามรบไม่มีอริยะแล้ว!
คู่ต่อสู้ที่ปิดล้อมโจมตีหลินสวินก่อนหน้าถูกฆ่าทั้งหมด ไม่ว่าใครก็ล้วนหนีไม่รอด
ขณะมองดูภาพนี้อย่างอึ้งๆ พวกเซี่ยวปู้กุยรู้สึกเหมือนกำลังฝัน พวกเขาเป็นถึงอริยะ ชีวิตนี้มีลมฝนใหญ่อะไรที่ไม่เคยเจอ
แต่ตอนนี้ต่างจิตใจล่องลอยอย่างควบคุมไม่ได้ รู้สึกไม่สมจริงเกินไป!
ใครจะกล้าจินตนาการ ว่าวันนี้คนรุ่นเยาว์ระดับอมตะเคราะห์ด่านเจ็ดคนหนึ่ง อยู่ท่ามกลางการปิดล้อมของเหล่าอริยะ แต่กลับสังหารเหล่าอริยะได้ทั้งหมด
น่ากลัวเกินไป!
บนท้องฟ้าหลินสวินกลับไม่ทันได้ถอนหายใจ เพราะตอนนี้กลิ่นอายที่น่ากลัวถึงที่สุดสายหนึ่งโฉบเข้ามาจากระยะไกลโพ้นกะทันหัน
กลิ่นอายนั่นแข็งแกร่งจนเหลือเชื่อ ทำให้หลินสวินรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาในชั่วขณะ!
“ไป!”
ทันใดนั้นไม่รอให้หลินสวินตั้งตัวได้ ก็รู้สึกว่าภาพตรงหน้าพร่ามัว ถูกท่านเมี่ยวเสวียนที่ไม่รู้ว่าปรากฏตัวตั้งแต่เมื่อไหร่สะบัดแขนเสื้อ พาตัวไปจากกลางอากาศ
ครืนโครม!
แค่ชั่วพริบตานั้น กลางอากาศนั่นก็ปรากฏแสงมรรคไร้สิ้นสุด รวมตัวเป็นใบหน้าที่เคร่งขรึมเย็นชาอย่างที่สุด ดวงตายิ่งใหญ่ดุจฟ้าดารา มีปรากฏการณ์ประหลาดปานจักรวาลสับเปลี่ยนหมุนเวียนผุดขึ้นผุดลงอยู่ภายใน
เขากวาดมองเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน แค่นเสียงขึ้นจมูกอย่างเย็นเยียบ “กลิ่นอายมรรคจักรพรรดิ ถึงว่า…”
ในเสียงแฝงความไม่พอใจเสี้ยวหนึ่ง
สุดท้ายสายตาของเขาหยุดอยู่ที่พวกเซี่ยวปู้กุย เยี่ยจิ่วเซียว เหวยฉางอวิ๋นสามคนแล้วพูดว่า “ต่อไปหากมีโอกาสบอกหลินสวินนั่นว่า ตอนที่การต่อสู้แห่งเก้าดินแดนเริ่มขึ้น หากเขาไม่ไปฆ่าศัตรูในสนามรบ ข้าจะฆ่าเขาเป็นคนแรก!”
เสียงราวกับประสงค์ของเจ้าเหนือหัวแห่งใต้หล้า เย็นชาไร้ปรานี
โครม!
จากนั้นใบหน้าที่เคร่งขรึมอย่างที่สุดนั่น แปรเปลี่ยนเป็นแสงมรรคโหมซัดหายไปกลางฟ้าดิน
และตอนนี้ พวกเซี่ยวปู้กุยตกใจจนเหงื่อท่วมตัวแล้ว
ต่อให้เป็นถึงอริยะ แต่ตอนที่ใบหน้าเคร่งขรึมเมื่อครู่นี้ปรากฏ ก็ยังคงทำให้พวกเขารู้สึกถึงความกดดันที่ราวกับหายใจไม่ออก
“มหาจักรพรรดิ… คนหนึ่งหรือ”
ครู่ใหญ่เซี่ยวปู้กุยถึงสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเอ่ยถาม
“ต่อให้ไม่ใช่มหาจักรพรรดิก็ต้องเป็นตัวตนปานราชันอริยะแน่ ร่างต้นของเขายังไม่ได้ปรากฏ แต่กลิ่นอายระดับนั้นก็น่ากลัวจนไม่กล้าจินตนาการแล้ว”
เสียงของเยี่ยจิ่วเซียวแผ่วต่ำ
“ข้ารู้จักเขา”
เหวยฉางอวิ๋นสีหน้าเลื่อนลอย สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเล็กน้อย ราวกับยากจะเชื่อ ครู่หนึ่งถึงพูดออกมาว่า “พวกเจ้ารู้จักไป๋อวี้จิงหรือไม่”
เยี่ยจิ่วเซียวกับเซี่ยวปู้กุยต่างขมวดคิ้ว พวกเขาจะไม่รู้จักนครหยกขาว (ไป๋อวี้จิง[1])ได้อย่างไร นั่นเป็นชื่อเขตแคว้นแห่งหนึ่งในดินแดนรกร้างโบราณ
สำนักกระบี่เทียมฟ้าก็ครองอาณาเขตอยู่ในนั้น
“ท่านทั้งสอง ที่ข้าพูดคือชื่อคน…”
เหวยฉางอวิ๋นพูดด้วยสีหน้าซับซ้อน
ทันใดนั้นเยี่ยจิ่วเซียวกับเซี่ยวปู้กุยต่างอึ้งงันโดยพร้อมเพรียง สูดหายใจเย็นด้วยความตกใจ
——
[1] นครหยกขาว ในภาษาจีนอ่านว่า ไป๋อวี้จิง