บทที่ 2172 ตัวการสำคัญ

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พอได้ยินว่าเขาจะหนี เถิงเฟยก็ร้อนใจทันที “ถ่ายทอดคำสั่งข้า เคลื่อนทัพตามแผนเดิม!”

“ขอรับ!” บรรดาแม่ทัพกุมหมัดคารวะเอ่ยรับคำสั่ง ขณะกำลังจะออกไป ใครจะคิดว่าเถิงเฟยจะกล่าวเสริมอีก “เดี๋ยวก่อน ต้องระวังให้ดี ระวังจะมีอุบาย!”

บรรดาแม่ทัพผันตัวมาเอ่ยรับอีกครั้ง “รับทราบ!”

รอจนกระทั่งพวกแม่ทัพออกไปแล้ว เถิงเฟยก็รีบขอความช่วยเหลือจากกองหนุนของทัพตะวันตกและทัพเหนือ ทางฝั่งนี้ก็กำลังรีบจัดระเบียบกำลังพลเดิมเช่นกัน จากนั้นก็นำทัพอารักขาเร่งไปข้างหน้าด้วยตัวเอง…

กำลังพลของอ๋องสวรรค์เถิงออกโจมตีทุกเส้นทาง

ทว่าทุกที่ที่ไปถึง ก็ปลอดโปร่งไร้อุปสรรค มุ่งตรงเข้าสู่อาณาเขตของเฉิงไท่เจ๋อโดยตรง ไม่มีการต่อต้านใดๆ

ขณะยืนอยู่หน้าประตูใหญ่จวนอ๋องสวรรค์เฉิงและจ้องป้ายบนประตูอยู่นานมาก เถิงเฟยก็กัดฟันพูดว่า “ค้นหาอีก! ติดต่อทัพใต้ ทัพเหนือและทัพตะวันตกให้รีบปิดล้อมชายแดน!”

“ขอรับ!” ผู้ติดตามเอ่ยรับ เถิงเฟยนำคนเข้าไปในจวนอ๋องสวรรค์เฉิง

เขาเดินทั่วจวนอ๋องสวรรค์เฉิงรอบหนึ่ง กำลังพลเบื้องล่างก็ค้นหาจนทั่วเช่นกัน แต่ไม่เห็นเงาคนเลย

สุดท้ายเถิงเฟยที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ในตำหนักประชุมก็ตกอยู่ในความเงียบ ภายนอกไม่ได้แสดงอะไรให้คนเบื้องล่างเห็น แต่ในใจรู้สึกนึกเสียใจทีหลังแทบแย่ นึกเสียใจที่ไม่ควรลังเล ควรจะเคลื่อนทัพมาจับตาดูไว้ตั้งแต่แรก ถ้าปล่อยให้เฉิงไท่เจ๋อนำกำลังพลมากขนาดนั้นหนีไปจริงๆ เช่นนั้นในภายหลังเขาก็เลิกคิดที่จะอยู่อย่างอิสระได้เลย พออีกฝ่ายว่างๆ ก็จะออกมาปล้นเขาจะได้เป็นอ๋องสวรรค์คุมทัพตะวันออกอย่างอิสระเสรีก็แปลกแล้ว

เถิงจงที่อยู่นอกประตูรีบก้าวเข้ามาข้างใน รายงานว่า “ท่านอ๋อง เจอเบาะแสทิศทางของเฉิงไท่เจ๋อแล้ว แต่เหมือนจะนำกำลังพลหนีเข้าไปในอาณาเขตดาวนิรนาม!”

เถิงเฟยลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ สุดท้ายเรื่องที่กังวลก็เกิดขึ้นแล้ว ตามหลักแล้ว ถ้าเฉิงไท่เจ๋อต้องการจะหนีไปก็ไม่น่าจะนำกำลังพลไปมากขนาดนั้น ทำแบบนี้เกรงว่าจะมีเป้าหมายเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือเตรียมตัวจะหวนคืนสู่อำนาจอีกครั้ง เขาถามอย่างหน้าดำคร่ำเครียด “ติดต่อสายลับที่แทรกไว้ฝั่งนั้นได้หรือเปล่า?”

“ติดต่อไม่ได้ขอรับ คงจะควบคุมการใช้ระฆังดาราอย่างเข้มงวด” เถิงจงตอบ

“สำรวจต่อไป!” เถิงเฟยตะคอกด้วยใบหน้านิ่งตึง…

จวนอ๋องสวรรค์โค่ว โค่วหลิงซวีที่อยู่ในป่าไผ่ยืนอยู่ตรงหน้าแผนที่ดาว เงยหน้าถามอย่างงุนงงว่า “หนีไปแล้วเหรอ? นำกำลังพลหลายพันล้านหนีไปด้วย?”

ถังเฮ่อเหนียนพยักหน้า  “เหมือนจะเป็นอย่างนั้นขอรับ ข่าวที่ทางนั้นส่งมาบอกว่า เฉิงไท่เจ๋อรวมทั้งกำลังพลที่สามารถรบได้หายไปหมดแล้ว”

โค่วหลิงซวีขมวดคิ้ว “ทำไมเป็นอย่างนี้ได้?”

จวนอ๋องสวรรค์ก่วง ก่วงลิ่งกงที่เดินไปเดินมาอยู่ในตำหนักก็มีคำถามเดียวกัน

โกวเยว่ตอบว่า “ท่านอ๋อง หนีไปหมดแล้วจริงๆ”

ก่วงลิ่งกงโบกมือ  “เป็นไปไม่ได้ ถ้าจะหนีก็ไม่ควรนำคนไปเยอะขนาดนั้น อย่าบอกนะว่าคิดจะหวนคืนสู่อำนาจอีกครั้ง? ไม่ว่าจะเป็นทัพตะวันตกของข้า หรือจะเป็นทัพใต้ของหนิวโหย่วเต๋อ หรือทัพเหนือของโค่วหลิงซวี ล้วนทุ่มเทความพยายามไปมากเพื่อรวมทัพตะวันออก ทุกคนไม่อยากให้ทัพตะวันออกที่สงบแล้วเกิดความวุ่นวายอะไรอีก เขาไม่มีความเป็นไปได้ที่จะพลิกสถานการณ์ได้เลย นอกจากนี้ เขาพากำลังพลไปเยอะขนาดนั้น ขาดทรัพยากรบนอาณาเขตคอยเลี้ยงดู แล้วจะเลี้ยงยังไง? ช้าเร็วก็ต้องเกิดความวุ่นวายภายใน เฉิงไท่เจ๋อไม่มีทางที่จะไม่เข้าใจหลักการนี้ ถ้าจะหนีก็หนีไปคนเดียวสิ ไม่มีทางพากำลังพลไปด้วยเยอะขนาดนั้นแน่นอน!”

“หรือว่าประมุขชิงจะก่อกวนอยู่เบื้องหลัง?” โกวเยว่สงสัย

ก่วงลิ่งกงหรี่ตา แล้วพยักหน้าเบาๆ “มีความเป็นไปได้นี้จริงๆ มีแค่เหตุผลนี้ที่อธิบายได้ พอเป็นแบบนี้ ในเมื่อเขาสามารถรักษาสัญญาได้ พอทัพกบฏถูกปราบแล้ว เขาก็สามารถสนับสนุนให้เฉิงไท่เจ๋อออกมาสู้กับเถิงเฟยได้ทุกเมื่อ ช่างเป็นโจรเฒ่าจอมเจ้าเล่ห์…”

ดาราจักรกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา แวววาวลึกลับ

บนดาวเคราะห์ที่รกร้างดวงหนึ่ง พวกจินม่าน พวกอวิ๋นอ้าวเทียน บุคคลระดับสูงของหกลัทธินับร้อยปรากฏตัว กำลังหันมองรอบๆ

มีคนหยิบแผนที่ดาวขึ้นมาเทียบตำแหน่งที่อยู่ จากนั้นก็มองหน้ากันไปมองหน้ากันมา ต่างก็พบว่าตรงจุดที่อยู่ไม่ได้ทำสัญลักษณ์ไว้ในแผนที่ดาว หรือพูดได้อีกอย่างว่าตอนนี้มาอยู่ในอาณาเขตดาวนิรนามแล้ว

สายตาทุกคนทยอยมองไปทางเหยียนซิวที่ยืนเงียบอยู่ไม่ไกล

พอเก็บแผนที่ดาวแล้ว จินม่านร่ายอิทธิฤทธิ์ถามว่า “เหยียนซิว ที่นี่ที่ไหน?”

“ถึงเวลาก็ย่อมรู้เอง” เหยียนซิวตอบด้วยใบหน้านิ่งเฉยเหมือนคนตาย

มู่ฝานจวินกล่าวเสียงต่ำว่า “กำลังพลแดนอเวจีเทรังออกมา บอกว่าจะทำศึกใหญ่ไม่ใช่หรอ? ทำไมพาพวกเรามาที่อาณาเขตดาวนิรนาม?”

“ถึงเวลาก็ย่อมรู้เอง” เหยียนซิวตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“จะให้พวกเราทำยังไงกันแน่ ต้องบอกกันบ้างสิ?” อวิ๋นอ้าวเทียนถาม

เหยียนซิวยังตอบเหมือนเดิมว่า “ถึงเวลาก็ย่อมรู้เอง”

ทุกคนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก พูดไม่ออกแล้ว ไม่ว่าจะพูดจากมุมไหน ก็มีคนไม่น้อยที่รู้สึกตื่นเต้นเร้าใจ ไม่ว่าที่นี่จะเป็นที่ไหน แต่อย่างน้อยก็ออกจากแดนอเวจีที่ถูกขังมาหลายปีแล้ว ออกมาแล้ว ในที่สุดก็ออกมาแล้ว…

ในอาณาเขตทัพใต้ บนดาวเคราะห์ที่รกร้างดวงหนึ่ง กลุ่มแม่ทัพกำลังมองไปรอบๆ แต่ละคนทำสีหน้าระแวงสงสัย เหมือนคิดไม่ตก ว่าท่านอ๋องพาพวกเขาเข้ามาในทัพใต้ทำไม?

เฉิงไท่เจ๋อเอามือไขว้หลังเงยหน้ามองท้องฟ้า ก่อนหน้านี้ตอนแอบมาก็ยังวิตกกังวลว่าจะมีอุบาย ตอนนี้พอเข้าใจแล้วในใจก็เต็มไปด้วยความกังวล ตระหนักได้อย่างแท้จริงว่าตั้งแต่เริ่มก้าวเข้ามาที่นี่ ตำแหน่งอ๋องสวรรค์คุมทัพตะวันออกก็จากเขาไปไกลแล้ว!

ที่บอกว่ายิ่งแพ้ยิ่งกล้าหาญนั้นพูดง่าย ในโลกนี้จะมีสักกี่คนที่ยิ่งแพ้ยิ่งกล้าหาญได้จริงๆ ความหวังหลายปีดับสูญในชั่วพริบตาเดียว มีเพียงคนที่สัมผัสเองเท่านั้นที่รู้ดีที่สุด

“เหยียนเสี้ยว?” จู่ๆ ก็มีแม่ทัพคนหนึ่งอุทานอย่างตกใจ

ทุกคนได้ยินแล้วหันมองตามสายตาเขา เป็นอดีตผู้ตรวจการซ้ายทัพอารักขาของฮ่าวเต๋อฟางจริงๆด้วย ตอนนี้เป็นจอมพลสายเถาะของทัพใต้ เขานำกำลังพลมาด้วยหลายสิบคน

บรรดาแม่ทัพกำลังจะเตรียมจัดกระบวนทัพป้องกัน เฉิงไท่เจ๋อยกมือบอกใบ้ ว่าไม่ต้องกังวลเกินไป คนที่นำกำลังพลมาปิดล้อมตรงชายแดนระหว่างทัพใต้กับทัพตะวันออกก็คือเหยียนเสี้ยว ครั้งนี้เหยียนเสี้ยวก็ทำหน้าที่มารับพวกเขาเช่นกัน

เหยียนเสี้ยวนำคนเหยียบลงพื้น แล้วกุมหมัดคารวะต่อเฉิงไท่เจ๋อ “คารวะท่านอ๋องเฉิง” จากนั้นก็กุมหมัดคารวะบรรดาแม่ทัพเล็กน้อย บรรดาแม่ทัพคารวะกลับ

เฉิงไท่เจ๋อถามพร้อมรอยยิ้มว่า “ไม่ทราบว่าจอมพลเหยียนมาด้วยตัวเองเพราะมีอะไรจะกำชับ?”

เหยียนเสี้ยวกล่าวด้วยสีหน้าท่าทางจริงจัง “มิบังอาจ ท่านอ๋องให้ข้ามาเป็นเพื่อนจอมพลเฉิงไปยังดาวอ๋องสวรรค์หนิว!”

“ท่านอ๋อง…” ข้างกายเฉิงไท่เจ๋อมีคนเตือน กำลังบอกใบ้ว่าไปที่นั่นไม่ได้ เพราะนั่นคือรังของหนิวโหย่วเต๋อ

เหยียนเสี้ยวรู้ว่าพวกเขาระแวงอะไร “ทัพใหญ่สามารถติดตามไปด้วยกันได้ อย่าบอกนะว่าท่านอ๋องเฉิงยังกลัวอะไรอีก?”

พอพูดอย่างนี้ ทุกคนก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว เฉิงไท่เจ๋อพยักหน้าบอกว่า “ได้!”

วังสวรรค์ ตำหนักดาราจักร

ประมุขชิงที่นั่งอยู่หลังโต๊ะยาวยืนขึ้นถาม “เฉิงไท่เจ๋อนำทัพใหญ่หนีไปแล้วเหรอ?”

ซือหม่าเวิ่นเทียนพยักหน้า “ใช่ขอรับ ยืนยันแล้วว่าหนีไปที่อาณาเขตดาวนิรนาม เถิงเฟยได้ครอบครองอาณาเขตของเฉิงไท่เจ๋อโดยไม่เปลืองแรงสักนิด ตอนนี้เถิงเฟยกำลังสั่งให้ทัพใหญ่ค้นหาตามเส้นทางที่เฉิงไท่เจ๋อหนีไป” พูดจบก็สังเกตปฏิกิริยาของประมุขชิงเงียบๆ

เรื่องบางเรื่องเขาก็รู้เช่นกัน ว่าจุดประสงค์การทำศึกบางอย่างของกองทัพองครักษ์ต้องขอความร่วมมือจากสายลับหน่วยตรวจการซ้าย ดังนั้นเขาก็ศึกษาเจตนาของประมุขชิงเช่นกัน คาดว่าการที่เฉิงไท่เจ๋อหนีไปครั้งนี้คงทำให้แผนการของประมุขชิงผิดพลาดไป

อู๋ฉวี่ขมวดคิ้ว ซ่างกวนชิงเงียบงัน เกาก้วนไม่อยู่ ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อใจเกาก้วน แต่แผนการสำคัญขนาดนี้ ยิ่งให้คนรู้น้อยก็ยิ่งดี

“นำกำลังพลหนีไปแล้ว จะเป็นไปได้ยังไง?” ประมุขชิงพึมพำขณะเดินไปเดินมา จู่ๆ ก็หยุดเดินแล้วถามว่า “แน่ใจนะว่าไปอาณาเขตดาวนิรนาม ไม่ได้ไปอาณาเขตอื่น?”

ซือหม่าเวิ่นเทียนตอบว่า “น่าจะไม่ผิดพลาด สายลับหน่วยตรวจการซ้ายทางฝั่งเถิงเฟยล้วนได้ข่าวมาเหมือนกัน ถ้าเขาไม่ไปอาณาเขตดาวนิรนาม ก็ไม่มีที่อื่นให้ไปแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่คนอื่นจะรับเขาไว้ ทางเข้าออกรอบด้านล้วนปิดไว้สนิท”

“ยืนยันให้ละเอียดอีกครั้ง!” ประมุขชิงโบกมือ

“ขอรับ!” ซือหม่าเวิ่นเทียนเลยรับคำสั่งแล้วออกไป

พอเดินลงบันได ประมุขชิงก็เดินไปเดินมาอยู่ในตำหนักไม่หยุด รู้สึกว้าวุ่นใจนิดหน่อย จู่ๆ เฉิงไท่เจ๋อก็ทำอย่างนี้ ทำเอาเขารับมือไม่ทัน พ่อเป็นแบบนี้แผนการที่เขาจะกดทัพตะวันออกเอาไว้ก็ล้มเหลวแล้ว กำลังพลกลุ่มนั้นของเถิงเฟยเท่ากับว่างงานแล้ว ถ้าเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น ทัพใหญ่หลายพันล้านของเถิงเฟยจะต้องเข้าร่วมแน่นอน

“กำลังพลไปถึงตำแหน่งไหนแล้ว?” ประมุขชิงหยุดเดินแล้วหันกลับมาถาม

อู๋ฉวี่ตอบว่า “นอกจากกำลังพลหนึ่งล้านที่ปักหลักอยู่ในพื้นที่ชั่วคราวเพื่อทำให้คนอื่นสับสน ทัพใหญ่ก็ไปรออยู่นอกอาณาเขตทัพใต้อย่างเงียบๆแล้ว เรื่องรายละเอียดความคืบหน้า ก็ต้องดูความเร็วในการนำผ่านด่านของสายลับหน่วยตรวจการซ้าย”

“ผ่านด่านไม่น่าจะเป็นปัญหา ซือหม่ารับประกันแล้ว สายลับบางคนที่แทรกไว้ที่นั่นหลายปี เกรงว่าครั้งนี้คงต้องทิ้งไปไม่น้อย” ประมุขชิงถอนหายใจเบาๆ แล้วก็ส่ายหน้ากล่าวอย่างลังเลอีกว่า “เฉิงไท่เจ๋อนี่ก็ไม่รู้ว่าคิดยังไง อย่าบอกนะว่าตัดใจไม่ลง? ตอนนี้กำลังพลหลายพันล้านของเถิงเฟยอาจจะลงมือได้ทุกเมื่อ…แบบนี้ พอเกิดเรื่องขึ้น หลังจากไม่จำเป็นต้องปิดบังอีก ก็สามารถดึงกำลังพลสี่ร้อยล้านในวังสวรรค์เข้าอาณาเขตทัพตะวันออกได้โดยตรง ไปควบคุมเถิงเฟยเอาไว้ ช่วงชิงเวลาโจมตีให้ทัพใหญ่ หลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเหตุไม่คาดฝันอะไร”

“ฝ่าบาท กำลังทหารที่คุ้มครองวังสวรรค์เหลือแค่สี่ร้อยล้าน ถ้าเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น เกรงว่าแรงต้านของวังสวรรค์ก็คงมีไม่พอ!” อู๋ฉวี่กล่าว

ประมุขชิงบอกว่า “ประเด็นสำคัญก็อยู่ที่หนิวโหย่วเต๋อ ขอเพียงแก้ปัญหาฟฝั่งหนิวโหย่วเต๋อได้ คนอื่นก็ไม่กล้าทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า นอกจากนี้ จำนวนกำลังพลที่ย้ายไปทัพตะวันออกก็ป่าวประกาศได้เลย แล้วก็ปิดเป็นความลับไว้ด้วย ทำให้อีกฝ่ายไม่รู้ชัดว่ามีคนเท่าไหร่กันแน่ ถ้าหากจำเป็น ข้าจะนำทัพใหญ่ทำศึกด้วยตัวเองแล้วจะเป็นไรไป?”

ดาวอ๋องสวรรค์หนิว ในหุบเขาที่ลับตาคนแห่งหนึ่ง พวกเฉิงไท่เจ๋อที่ปลอมตัวแล้วเหาะลงมาจากฟ้า เหมียวอี้มารออยู่นานแล้ว

เมื่อทั้งสองพบกันก็กุมหมัดคารวะทักทายตามมารยาท เหมียวอี้บอกแล้วว่าเพื่อที่จะปิดบังเรื่องนี้ ก็มีแต่ต้องให้พวกเฉิงไท่เจ๋อลำบากอยู่ที่นี่สักหน่อย และเฉิงไท่เจ๋อก็บอกว่าสามารถเข้าใจได้

ในหุบเขามีลำธารไหลจ๊อกๆ ทั้งสองส่งสัญญาณกันนิดหน่อย แล้วกำลังพลของทั้งสองฝ่ายก็ถอยไปไกล ทั้งสองเริ่มพูดคุยกันอยู่ริมลำธาร โดยที่กำลังพลของแต่ละฝ่ายคอยระแวดระวังอยู่ตลอด โดยเฉพาะเฉิงไท่เจ๋อที่กลัวว่าจะมีกับดักอะไร

หลังจากคุยกับเพเหระกันพักหนึ่ง เฉิงไท่เจ๋อก็พาเข้าประเด็นหลัก “น้องชาย ไม่ต้องคุยเรื่องไร้สาระกันแล้ว ข้ามาถึงแล้ว เจ้าน่าจะเปิดเผยความจริงได้แล้วมั้ง?”

พอเหมียวอี้เอ่ยปากก็ทำให้คนตกใจทัน “ประมุขชิงวางกำลังดักซุ่มเอาไว้สิบล้านที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ ต้องการจะลอบสังหารข้า!”

เฉิงไท่เจ๋อตกใจไม่เบา ในบรรดาอำนาจแต่ละฝ่าย เกรงว่าเขาเป็นคนที่ไม่รู้อะไรเลยมากที่สุด แต่ก็แปลกใจอีกว่าอีกฝ่ายจะบอกเรื่องนี้ทำไม ภายนอกยังเสแสร้งถามอย่างโมโห “มีเรื่องนี้อยู่ด้วยเหรอ?”

“แต่ข้าส่งกำลังพลไปกำจัดทหารดักซุ่มพวกนั้นหมดแล้ว!” เหมียวอี้ก่ล่าว

“เอ่อ…” เฉิงไท่เจ๋อสงสัย “น้องชาย นี่เจ้าอยากจะพูดอะไรกันแน่?”

เหมียวอี้จ้องเขาพลางกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ที่จริงการที่ท่านอ๋องมาที่นี่ได้ ก็เพราะข้าวางแผนบีบให้มา สถานการณ์วุ่นวายที่ทัพตะวันออกครั้ง ข้าเป็นคนปลุกปั่นขึ้นมาเอง…” เขาเล่าว่าตัวเองหลอกใช้ประโยชน์ความทะเยอทะยานของเถิงเฟยอย่างไร ยืมมือเถิงเฟยเสี้ยมให้เกิดความขัดแย้งระหว่างเซี่ยโห้วเฉิงอวี่กับจ้านหรูอี้อย่างไร บอกว่าใช้ประโยชน์เรื่องกำลังพลดักซุ่มแดนมรณะดึกดำบรรพ์เพื่อกระตุ้นให้อำนาจแต่ละฝ่ายบีบให้ประมุขชิงเลิกสนับสนุนเฉิงไท่เจ๋อด้วย

เฉิงไท่เจ๋อหน้าดำเหมือนก้นหม้อทันที สงสัยเจ้าเวรที่ยืนอยู่ตรงหน้าตนนี้ต่างหาก ที่เป็นตัวการสำคัญที่บีบให้ตนกลายเป็นหมาข้างถนน

……………