ตอนที่ 2905

War sovereign Soaring The Heavens

WSSTH ตอนที่ 2,905 : หลี่ผิงลงมือ!

 

 

“เจ้าหลี่ผิง เพียงยืนชมดูเรื่องราวเงียบๆเถอะ…”

 

“หากเจ้าสอดมือเข้ามายุ่ง ข้าต้วนหลิงเทียนก็ไม่รังเกียจที่จะฆ่าเพิ่มอีกคน!”

 

ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวประโยคนี้จบ ระดับสูงของนิกายอมตะสราญรมย์ที่ได้ยินชัดถนัดหู พลันรู้สึกเสมือนมีลมหนาวโชยลิ้วไปทั่วกาย

 

เรียกว่าพวกมันบังเกิดความตื่นตระหนกทั้งหวาดกลัวไม่น้อย!

 

เพราะในสถานการณ์แบบนี้ แต่ต้วนหลิงเทียนยังกล้าพูดออกมาแบบนั้น เผยให้รู้ว่าอีกฝ่ายมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม!

 

ถึงแม้ว่าอาจเป็นได้ที่ต้วนหลิงเทียนกำลังเสแสร้งแสดงอยู่ แต่ถ้าพวกมันไม่อาจยืนยันได้ชัดเต็มสิบส่วนว่าต้วนหลิงเทียนกำลังเสแสร้งจริงๆ ใจพวกมันก็ยากจะสงบลงได้!

 

“เจ้า…ต้วนหลิงเทียนไม่รังเกียจจะฆ่าเพิ่มอีกคน?”

 

ได้ยินวาจาดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน หลี่ผิงก็ฉีกยิ้มเย็นชา “ต้วนหลิงเทียน เหตุผลเดียวที่ข้าอุตส่าห์ยอมลงให้เจ้าหลายครั้งหลายครา นั่นเพราะข้ากริ่งเกรงขุมกำลังที่อยู่เบื้องหลังเจ้า…หากแต่อาศัยเจ้า ข้าหลี่ผิงไม่เคยกลัว!”

 

ประโยคท้าย น้ำเสียงหลี่ผิงไม่ขาดความดูแคลนรังเกียจแม้แต่น้อย

 

“งั้นเหรอ?”

 

ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองไปที่หลี่ผิงด้วยสายตาเย็นชา

 

“อย่างไรข้าก็มิอาจทนดูเจ้าฆ่าพวกมันต่อหน้าต่อตาได้…หากเจ้าคิดฆ่าพวกมันจริง เช่นนั้นก็ผ่านข้าไปก่อนเถอะ!”

 

หลี่ผิงเอ่ยออกเสียงหนัก

 

และพอกล่าวจบคำ ทั่วร่างหลี่ผิงก็ปรากฏรัศมีพลังสุดไพศาลแผ่ซ่านออกมาอย่างน่าเกรงขาม และเมื่อระดับสูงของนิกายอมตะสราญรมย์สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังดังกล่าว พวกมันก็ตกใจกลัวไม่น้อย!

 

เพียงเพราะกลิ่นอายพลังดังกล่าว ได้กดดันจนพวกมันรู้สึกเสมือนความตายจดจ่ออยู่ที่คอหอย!

 

ประมุขนิกายอมตะสราญรมย์อย่างหลิวเสวียนคงนั้น สภาพยังดีกว่าผู้อื่นอยู่บ้าง หากแต่สีหน้าก็เคร่งขรึมจริงจัง ทำราวกับกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ!

 

ครืน! ครืน! ครืน! ครืน! ครืน!

 

 

เมื่อหลี่ผิงปลดปล่อยพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดขอบเขตราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิดออกมาอย่างไม่คิดระงับกลิ่นอายพลังอันน่าสะพรึงกลัวไม่เพียงทำให้ระดับสูงที่ลอยร่างไม่ห่างหวาดผวา กระทั่งคนของนิกายอมตะสราญรมย์ที่อยู่เบื้องล่างก็อดไม่ได้ที่จะแตกตื่นไป เพราะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังน่ากลัวดังกล่าวเช่นกัน

 

“นี่มันแรงกดดันพลังอันใด ช่างทรงพลังน่ากลัวนัก!”

 

“กลิ่นอายพลังนี่มัน…หรือจะมาจากบรรพบุรุษหลี่ผิง?!”

 

“นี่น่ะเหรอ…กลิ่นอายพลังของตัวตนขอบเขตราชาอมตะ?”

 

 

วาจาทำนองดังกล่าวดังขึ้นทุกแห่งหนในนิกายอมตะสราญรมย์ เหล่าศิษย์มากมายที่ไม่รับทราบเรื่องราวก่อนหน้าก็เริ่มพากันเหินร่างออกมาชมดูเรื่องราว

 

แต่แน่นอน พวกมันรู้ดีว่าพลังฝึกปรือของตัวเองอ่อนด้อย พวกมันจึงไม่กล้าเข้ามาใกล้นัก เพียงชมดูเรื่องราวอยู่ห่างๆเท่านั้น

 

“นี่มัน…”

 

“เกิดอะไรขึ้น ไฉนคนตายเกลื่อนเลยเล่า!?”

 

“ช้าก่อน ร่างบนหลังคานั่นมัน…มิใช่ศิษย์พี่หวงถังที่พึ่งทะลววงถึงขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสุดยอดหรือไร! ไฉนตกตายอยู่ตรงนั้นได้เล่า!?”

 

 

เมื่อเหล่าศิษย์ของนิกายอมตะสราญรมย์ออกมาชมดูเรื่องราว พวกมันก็เริ่มพบศพที่ตายกันเกลื่อนเรียกว่ามองไปทางไหนก็เจอ และทั้งหมดเป็นศิษย์นิกายยอมตะสราญรมย์ ที่เหินขึ้นมาชมดูเรื่องราวก่อนหน้าพวกมันทั้งสิ้น…

 

“นี่มันอะไรกัน…หากไม่นับบาดแผลตกจากที่สูงแล้ว ทุกคนไร้บาดแผลอื่นใด! แต่ทว่าหากสังเกตให้ดี…ทุกคนล้วนแล้วแต่มีเลือดออกจากทวารทั้ง 7 เหมือนกันหมด!!”

 

“ไร้บาดแผลภายนอกอื่นใด ยังมีเลือดไหลออกจากทวารทั้ง 7…นี่มิคล้ายการโจมตีด้วยพลังวิญญาณ แต่สมควรเป็นการโจมตีด้วยคลื่นเสียง!”

 

“จ้าวสวรรค์ช่วย! คลื่นเสียงอันใดกันถึงได้คร่าชีวิตศิษย์พี่เหล่านี้ได้…แล้วผู้ลงมือที่แท้เป็นตัวตนขอบเขตใดกัน!?”

 

“ข้าก็ไม่รู้…แต่ที่รู้คือสมควรไม่อ่อนด้อยไปกว่าท่านประมุขแน่!”

 

 

เหล่าศิษย์ที่พึ่งเหินร่างออกมาจากที่พัก ก็อดไม่ได้ที่จะสนทนากันอย่างแตกตื่นหลังพบศพนอนตายเกลื่อนกลาด

 

อย่าไรก็ตาม พวกมันสนใจศพอยู่พักหนึ่ง ก็เริ่มละสายตาไปชมดูกลุ่มคนบนฟ้าสูง

 

“เป็นท่านประมุข!”

 

“เหล่าผู้อาวุโสระดับสูงก็อยู่ด้วย!”

 

“แล้วนั่น…ท่านบรรพบุรุษหลี่ผิงหรือ!?”

 

“น่าจะใช่…แต่ไฉนท่าทีของท่านบรรพบุรุษหลี่ผิงแลดูตึงเครียดนักเล่า คล้ายจะกริ่งเกรงเจ้าหนุ่มชุดม่วงที่เผชิญหน้ากันอยู่ไม่น้อย”

 

“ช้าก่อน…คนที่อยู่ข้างๆชายหนุ่มชุดม่วงนั่น ไม่ใช่ตถาคตหรือ?”

 

“หากข้าได้ยินไม่ผิด รู้สึกก่อนหน้านี้ตถาคตได้ประกาศถอนตัวออกจากนิกายอมตะสราญรมย์เราใช่หรือไม่? หรือที่ประกาศถอนตัวอะไรแบบนั้นออกมา จะเกี่ยวข้องกับชายหนุ่มชุดม่วงนั่น!?”

 

“ไม่ใช่เรื่องง่ายแม้แต่น้อย ที่จะทำให้ท่านบรรพบุรุษที่พึ่งทะลวงถึงขอบเขตราชาอมตะบังเกิดความหวั่นเกรง…ท่าทางชายหนุ่มชุดม่วงผู้นี้จะไม่ธรรมดาสามัญแล้ว!”

 

“ข้าว่าสิบในสิบเหล่าศิษย์พี่ไม่พ้นถูกมันใช้คลื่นเสียงสังหาร!”

 

 

เหล่าศิษย์ที่สังเกตเห็นต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะบังเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ในใจยังแตกตื่นเสียขวัญนัก!

 

เพราะสุดท้ายแล้ว ทุกศพที่ตกตายอนาถ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นศิษย์พี่ที่ทรงพลังเหนือกว่าพวกมันทั้งสิ้น!

 

แต่ตอนนี้ทุกคนตกตายหมดไม่มีเหลือ!

 

จังหวะนี้ศิษย์นิกายอมตะสราญรมญ์หลายคนเลือกจะเหินร่างถอยลงมาโดยไม่รู้ตัว ด้วยกลัวว่าชายหนุ่มชุดม่วงนั่นจะใช้การโจมตีด้วยคลื่นเสียงอีกรอบ แล้วจะกลายเป็นปลาในบ่อที่พลอยซวยไปด้วย

(ปลาในบ่อ มาจาก ไฟไหม้ประตูเมือง เดือดร้อนถึงปลาในบ่อน้ำ…)

 

“ท่านประมุขดูเหมือนจะมาถึงก่อนท่านบรรพบุรุษมิใช่หรือไร…แต่ไฉนยังปล่อยให้พวกศิษย์พี่ตายตกเล่า?”

 

“ข้าดูทรงแล้วท่านประมุขไม่น่าจะนิ่งดูดายปล่อยให้ศิษย์พี่ตายตกหรอก…แต่สมควรเป็นเพราะพลังฝีมือของชายหนุ่มชุดม่วงนั่นกล้าแข็งเกินไป จนท่านประมุขมิอาจลงมือทำอะไรได้ง่ายๆ!”

 

“ชายหนุ่มชุดม่วงผู้นั้นเป็นใครกันแน่ หรือมันจะเป็นยอดฝีมือขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศ?”

 

“ไม่น่าใช่ ข้าได้อ่านบันทึกทั้งติดตามข่าวสารใน 6 พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงใต้เราตลอด ไม่มีขุนนางอมตะ 10 ทิศลักษณะนี้ดำรงอยู่แน่…อย่างน้อยๆ ก็ไม่มีรุ่นเยาว์ที่บรรลุถึงขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศได้!”

 

“มันจะเป็นใครมาจากไหนข้าไม่ทราบ…แต่ลองท่านบรรพบุรุษลงมือ ต่อให้มันไม่ตายก็ต้องมีหนังลอกกันบ้าง!”

 

“นั่นมันแน่อยู่แล้ว…เพราะตอนนี้ท่านบรรพบุรุษหาได้เป็นเช่นเดิมไม่! แต่ท่านเป็นถึงตัวตนขอบเขตราชาอมตะอันทรงพลัง!”

 

 

ฟังจากเสียงกระซิบกระซาบ เหล่าศิษย์นิกายอมตะสราญรมย์ล้วนตระหนักได้ว่าชายหนุ่มชุดม่วงนั้นไม่ธรรมดา หาไม่แล้ว อีกฝ่ายคงไม่อาจฆ่าศิษย์จำนวนมากได้แบบนี้!

 

อย่างไรก็ตามแม้พวกมันจะคิดว่าพลังฝีมือชายหนุ่มชุดม่วงไม่ใช่ชั่ว กระทั่งอาจจะสูงกว่าหลิวเสวียนคงผู้เป็นประมุข แต่พวกมันยังคงเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นในตัวบรรพบุรุษอย่างหลี่ผิงนัก

 

เพราะตอนนี้บรรพบุรุษของนิกายอมตะสราญรมย์ หลี่ผิง หาได้เป็นอย่างที่เคยป็นไม่ แต่กลับกลายเป็นราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิดไปแล้ว!

 

ภายใน 6 พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงพื้นที่ชายแดนทั้งมวล ราชาอมตะ ก็คือคำนิยามของตัวตนคงกระพันไร้พ่าย!

 

“ดูเหมือนว่าเจ้าหลี่ผิง สุดท้ายก็ยังคิดจะขวางทางข้าสินะ…”

 

ต้วนหลิงเทียนที่มองหลี่ผิงปะทุพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดออกมาอย่างเกรี้ยวกราด จนคนคล้ายกลับกลายเป็นเทพสงครามไปในบัดดล ก็ไม่ได้เผยท่าทีหวั่นเกรงอะไรแม้แต่น้อย กระทั่งแววตายังเผยประกายเยียบเย็นเรืองขึ้นวาบหนึ่ง!

 

เห็นประกายตาเย็นชาที่กระพริบวาบนั่นของต้วนหลิงเทียน หลี่ผิงก็รู้สึกใจคอไม่ดีทันที

 

‘มัน…หรือมันจะไม่ใช่แค่ขุนนางอมตะ 10 ทิศหรือกึ่งราชาอมตะ?’

 

ในขณะที่รู้สึกใจคอไม่ดี ความคิดดังกล่าวก็ผุดขึ้นมาในใจของหลี่ผิงโดยไม่รู้ตัว

 

และพอคิดไปทำนองนั้นแล้ว ก็ไม่อาจลบเลือนไปจากหัวได้เลย

 

“ในเมื่อเจ้าเลือกจะขวางข้า เช่นนั้นเจ้าก็ไปพร้อมพวกมันเลยเถอะ!”

 

ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนกล่าววาจาประโยคนี้จบคำ พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดอันน่าพรั่นพรึงก็เริ่มแผ่ซ่านออกมาทั่วร่างเขา จากนั้นกลิ่นอายพลังอันสยดสยองงก็เริ่มกำจายไปในบรรยากาศ พาลให้หลี่ผิงหน้าเปลี่ยนสีไปทันที!

 

กระทั่งระดับสูงของนิกายอมตะสราญรมย์ไม่เว้นหลิวเสวียนคงผู้เป็นประมุข สีหน้าก็เปลี่ยนไปเป็นดูไม่ได้ ลูกตาที่ใช้มองต้วนหลิงเทียน ฉายชัดถึงความหวาดผวาทันทีเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังดังกล่าว!

 

กระทั่งลึกลงไปในแววตา นอกจากความหวาดผวาแล้ว ยังเริ่มฉายให้เห็นถึงความสิ้นหวังประการหนึ่ง

 

เพราะบัดนี้ พวกมันสัมผัสได้ชัดเจน ถึงความแตกต่างกลิ่นอายพลังของต้วนหลิงเทียนกับหลี่ผิง กระทั่งความต่างที่ว่ายังไม่ใช่แค่เล็กน้อย…

 

เป็นความแตกต่างประหนึ่งเมฆกับโคลน!

 

ซัวว!!

 

เวิง เวิง!

 

 

และไม่ทันที่คนของนิกายอมตะสราญรมย์จะได้ตอบสนองสิ่งใด กระแสพลังสีม่วงก็เริ่มกำจายอกมาจากต้วนหลิงเทียนฉับไว พริบตาก็แผ่ซ่านปกคลุมไปถึงหลี่ผิง!

 

ซู่มมม!!

 

เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนลงมือเคลื่อนไหว หลี่ผิงก็ไม่กล้ารอช้า เร่งปะทุพลังชั่วชีวิตใช้ออกด้วยทักษะที่ตัวเองมีสุดกำลัง พริบตาคลื่นพลังที่ระเบิดออกจากร่างก็ฉายแสงสีทองสว่างจ้า ก่อลักษณ์เป็นพุทธองค์ทองร่างเขื่อง!

 

นอกจากพุทธองค์ร่างทองขนาดมหึมาแล้วหากมองให้ดีจะพบว่าภายในเงาร่างสีทองตระหง่าน ยังปรากฏระฆังโปร่งแสงครอบคลุมร่างมันไว้ก่อน!

 

“ราชันไม่เคลื่อนไหว!”

 

“ระฆังพิทักษ์ลี้ลับ!”

 

แทบจะพร้อมกันกับที่หลี่ผิงลงมือ ระดับสูงของนิกายอมตะสราญรมย์ก็บอกได้ทันทีจากลักษณ์พลังทั้ง 2 ที่คุมกายหลี่ผิงอยู่ ว่าหลี่ผิงใช้ทักษะวิชาอันใด

 

ตอนนี้สิ่งที่หลี่ผิงกำลังใช้ออก หนึ่งเลยก็คือวรยุทธ์อมตะประจำนิกายอมตะสราญรมย์ ราชันไม่เคลื่อนไหว ที่พร้อมพรั่งไปทั้งรุกรับและท่าร่าง ส่วนอีกอย่างนั้นคือเวทย์พลังที่ผสานไว้ด้วยการป้องกันและหนุนเสริมท่าร่างของนิกายอมตะสราญรมย์ ระฆังพิทักษ์ลี้ลับ!

 

และไม่ว่าจะเป็นราชันไม่เคลื่อนไหวหรือระฆังพิทักษ์ลี้ลับ ส่วนที่เด่นที่สุดของทั้งคู่ก็คือการป้องกัน! เรียกว่ามันมีพลังป้องกันยอดเยี่ยมที่สุดในบรรดาวรยุทธ์อมตะและเวทย์พลังระดับขุนนาง!

 

ตอนนี้พอเห็นหลี่ผิงใช้ออกด้วย ราชันไม่เคลื่อนไหว พร้อมกับ ระฆังพิทักษ์ลี้ลับ เหล่าระดับสูงของนิกายอมตะสราญรมย์ก็เลยเชื่อไปตามจิตใต้สำนึก ว่าหลี่ผิงต้องป้องกันการลงมือของต้วนหลิงเทียนได้แน่นอน!

 

จังหวะนี้เรียกว่าเหมือนพวกมันจะหลงลืมความแตกต่างของพลังระหว่างต้วนหลิงเทียนกับหลี่ผิงงไปชั่วขณะ!

 

‘ระ…เร็วเกินไป!’

 

‘ไม่อาจบันทึกภาพความเคลื่อนไหวของปรมาจารย์โอสถต้วนได้เลย!!’

 

ตั้งแต่วินาทีที่ทั่วร่างหลี่ผิงปะทุพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดออกมา จี้ฟ่าน ที่ได้รับมอบหมายจากต้วนหลิงเทียนให้ทำหน้าที่บันทึกภาพเรื่องราวก่อนหน้า มันก็เร่งหยิบลูกแก้วเงาอยระดับราชาอมตะออกมาบันทึกเรื่องราวไว้แต่แรก แต่วินาทีนี้มันกลับพบว่า…ลูกแก้วเงาลอยระดับราชา ยังไม่อาจบันทึกภาพการลงมือต้วนหลิงเทียนได้ทัน!!

 

‘อย่างไรก็ตามโชคดีนักที่หลี่ผิงไม่คิดหลบหนีไปที่ใด…ด้วยวิธีนี้อย่างน้อยๆ ข้าก็ยังพอจะบันทึกฉากมันต้านทานการลงมือของปรมจารย์โอสถต้วนได้!’

 

‘ไม่ทราบ…การลงมือของปรมาจารย์โอสถต้วนจะทำลายการป้องกันของหลี่ผิงได้หรือไม่ ด้ววพลังป้องกันของหลี่ผิงในตอนนี้ ต่อให้เป็นราชาอมตะ 2 ยศ หากไร้วรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังสายโจมตีดีๆ ก็คงยากจะฝ่าการป้องกันของมันได้’

 

ในเมื่อเป็นคนใช้ลูกแก้วเงาลอยบันทึกเรื่องราวเบื้องหน้า จี้ฟ่านไม่เพียงแต่จะประหม่า แต่ยังเต็มไปด้วยความคาดหวังไม่น้อย!

 

เนื่องจากจี้ฟ่านอยู่ด้านหลังต้วนหลิงเทียน รวมทั้งต้วนหลิงเทียนแผ่พลังปกป้องมันไว้แต่แรก มันจึงไม่อาจสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังของหลี่ผิง ก็เลยไม่ทราบถึงความแตกต่างระหว่างพลังของต้วนหลิงเทียนกับหลี่ผิง…