บทที่ 2176 พวกเราติดกับดักแล้ว

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

ทำมาใช้นิดหน่อยยังพอเป็นไปได้ แต่ถ้าให้ทำหนึ่งแสนคัน เขาก็ทำใจเชื่อได้ยากจริงๆ แต่ในเมื่อเหมียวอี้พูดอย่างนี้แล้ว นึกได้ว่าอีกฝ่ายควบคุมแดนมรณะดึกดำบรรพ์มานานขนาดนี้ คงจะมีวิธีการอะไรที่บอกคนอื่นไม่ได้ แต่เขาก็ยังสงสัย “อาวุธจากวิญญาณชั่วร้ายไม่ใช่สิ่งที่คนปกติจะใช้งานได้ พลธนูหนึ่งแสนนี้ล้วนเป็นนักพรตที่ฝึกเคล็ดวิชาธาตุไฟเหรอ?”

เขาค่อนข้างสงสัยจุดนี้ เคล็ดวิชาห้าธาตุไม่ใช่ว่าทุกคนจะฝึกได้ เพราะเน้นคนมีพรสวรรค์ คนในตำหนักสวรรค์ที่ฝึกเคล็ดวิชาห้าธาตุล้วนถูกบันทึกไว้ในทะเบียน แล้วจะไปรวบรวมนักพรตที่ฝึกเคล็ดวิชาธาตุไฟมากขนาดนั้นมาจากไหน? อย่าไปมองว่าใต้หล้ามีนักพรตเยอะ เพราะคนที่ฝึกเคล็ดวิชาธาตุไฟมีน้อยจริงๆ น้อยถึงน้อยมาก แม้แต่ตอนตำหนักสวรรค์รวบรวมไปปราบวิญญาณชั่วร้าย ก็ยังต้องดึงตัวนักพรตส่วนน้อยที่ฝึกเคล็ดวิชาธาตุไฟมาจากแต่ละพื้นที่เพื่อติดตามทัพไปทำศึก แล้วเหมียวอี้จะหามาจากไหนมากขนาดนั้น? ถ้าเตรียมตัวไว้ล่วงหน้า ไม่กลัวว่าจะถูกเปิดโปงเชียวหรือ?

“ดึงตัววิญญาณชั่วร้ายที่มีวรยุทธ์บงกชทองขึ้นไปจำนวนหนึ่งแสนห้าหมื่นคนออกจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ชั่วคราว!” เหมียวอี้ตอบเสียงเรียบ

“…” หยางชิ่งพูดไม่ออกทันที รู้สึกตัวสั่นทั้งที่ไม่ได้หนาว ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าหมอนี่จะพาวิญญาณชั่วร้ายมากขนาดนั้นออกจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์!

ทำไมตำหนักสวรรค์ต้องกวาดล้างวิญญาณชั่วร้ายตามกำหนดเวลาล่ะ? เพราะสิ่งนี้เหมือนโรคระบาด ถ้าแพรออกไปในวงกว้างเมื่อไหร่ ถ้าปล่อยให้เติบโตยิ่งใหญ่เมื่อไหร่ ก็จะทำให้สิ่งมีชีวิตในใต้หล้ากลายเป็นเถ้าถ่านแน่นอน ไม่เพียงแค่มนุษย์เท่านั้นประสบหายนะ เกรงว่าทุกหนแห่งคงไม่เหลือแม้แต่ต้นไม้ใบหญ้า

หยางชิ่งกลืนน้ำลายจนลูกกระเดือกขยับ “ตำหนักสวรรค์ไปกวาดล้างมาหลายครั้งแล้ว ในแดนมรณะดึกดำบรรพ์ยังมีวิญญาณชั่วร้ายที่วรยุทธ์บงกชทองขึ้นไปเหลือเยอะนั้นเชียวเหรอ?”

เหมียวอี้ตอบว่า “วิญญาณชั่วร้ายในแดนมรณะดึกดำบรรพ์จะถูกกวาดล้างหมดได้ง่ายขนาดนั้นได้ยังไง สถานที่ใหญ่โตขนาดนั้น อีกทั้งยังเหาะเหินไม่ได้ พอเข้าไปกวาดล้างก็ต้องอาศัยสัตว์พาหนะบินได้ แม้แต่วิญญาณชั่วร้ายเองก็ยังไม่รู้ชัดว่าในแดนมรณะดึกดำบรรพ์มีวิญญาณชั่วร้ายอยู่เท่าไร ตามซอกมุมต่างๆ ไม่รู้ว่ามีซ่อนอยู่มากเท่าไร ถ้าไม่มีเฮยทั่นคอยช่วยเหลือ ข้าคงไม่รู้รายละเอียดของวิญญาณชั่วร้ายแดนมรณะดึกดำบรรพ์ชัดเจนเหมือนกัน ครั้งนี้ข้าเอาวิญญาณชั่วร้ายระดับบงกชทองขึ้นไปออกมาจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์เกลี้ยงเลย! เรื่องนี้เป็นผลงานของเฮยทั่น อยู่ที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์หลายปีนับว่าไม่สูญเปล่า”

“ฮ่าๆ เรื่องเล็กน้อย ง่ายจนแทบไม่ต้องออกแรง” เฮยทั่นหัวเราะร่าพลางเอามือตบพุงกลมๆ ยักคิ้วหลิ่วตาด้วยความลำพองใจ พอได้ยินเหมียวอี้ชมว่าเป็นผลงานของเขา ปากก็พูดถ่อมตัว แต่คำถ่อมตัวนี้ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ดูเหมือนลำพองใจ

ส่วนเหมียวอี้ที่เมื่อครู่นี้เพิ่งเปี่ยมพลังน่าเกรงขาม ตอนนี้กลับถอนหายใจอย่างกังวลนิดหน่อย “เจาชิง ให้หวังเฟยบอกพี่น้องในกองทัพองครักษ์ให้เตรียมตัวหนีให้ดี” บอกไม่ถูกว่ารู้สึกขื่นขมขนาดไหน เขานึกถึงศึกครึ่งธงพยัคฆ์ในปีนั้น แม้จะไม่ใช่ศึกใหญ่อลังการเหมือนที่เขาเผชิญในภายหลัง แต่ศึกนั้นโหดร้ายเกินไป จะไม่มีใครร่างกายปกติแขนขาสมบูรณ์สักคน คนมากมายขนาดนั้นร้องไห้พลางขอร้องให้เขาหนีไป ภาพเหตุการณ์ที่สู้ตายและปกป้องกันและกันยังติดตาเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นใหม่ ทว่าลูกน้องเก่าสิบกว่าคนที่ดักซุ่มอยู่ในแดนมรณะดึกดำบรรพ์กลับถูกเขาฆ่าตายหมดแล้ว

เขารู้อยู่แจ่มแจ้งว่าถ้าให้ชิงเยว่ไปลงมือ สิบกว่าคนนั้นก็แทบไม่มีโอกาสรอดชีวิตเลย แต่เขาก็ยังต้องใจดำทำอย่างนั้น เพราะเขาต้องการธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ชุดนั้น และต้องกำจัดกำลังพลดักซุ่มสิบล้านนั่นด้วย มิหนำซ้ำก็ยังติดต่อลูกน้องเก่าพวกนั้นไม่ได้ ต่อให้ติดต่อได้แล้ว แต่ก็คงยากที่จะหลุดออกจากการควบคุมของซีเหมินอู๋เหย่ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจสละชีวิตคนพวกนั้นโดยไม่กะพริบตา

ตอนนี้ศึกใหญ่กำลังจะมาถึง เขารู้อย่างชัดเจน ว่าเมื่อเขามีคำสั่งออกไป ก็ไม่รู้ว่าจะมีคนมากมายเท่าไหร่หัวหลุดเลือดสาด ไม่รู้ว่ามีคนมากมายเท่าไหร่ต้องบ้านแตกสาแหรกขาด

และท่ามกลางกำลังพลกองทัพองครักษ์ที่บุกโจมตีครั้งนี้ ก็ยังมีลูกน้องเก่าของเขาอยู่ในนั้นด้วย แต่เขาติดต่อไม่ได้ และคงไม่มีทางปลีกตัวออกมาจากทัพใหญ่ที่บุกโจมตีได้เช่นกัน ยามสองทัพเข่นฆ่ากัน เขาเองก็ไม่อาจสั่งให้ลูกน้องแยกแยะโดยละเอียดว่าคนไหนคือคนของตัวเองและหลีกเลี่ยงไม่ลงมือ ศึกใหญ่ขนาดนี้ใครจะไปแยกแยะได้ชัดเจน

ได้แต่พยายามช่วยเหลือด้วยการให้ลูกน้องเก่าพวกนั้นถอนตัวออกไป ถ้าถอนตัวออกไปไม่ได้ เหมียวอี้ก็ทำได้เพียงขอโทษพวกเขาแล้ว

ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำนี้ ถ้าเขาบอกว่าทำไปเพื่อปกป้องตัวเอง บอกว่าถ้าเขาไม่ลงมือ ประมุขชิงก็จะลงมือกับเขา บอกว่าทำเพื่ออนาคตของพี่น้องที่ติดตามมาหลายปี คนในใต้หล้าจะเชื่อเหรอ? เกรงว่าปากคงไม่กล้าพูดออกมาชัดเจน แต่ในใจจะต้องด่าเขาแน่นอนว่าเป็นหมาป่าชั่วร้ายที่มีใจทะเยอทะยาน

เขานึกถึงตัวเองในปีนั้นตอนที่ยังเป็นมือใหม่ไร้ประสบการณ์ เขากำลังคิดว่า ถ้าตัวเขาในตอนนั้นกำลังมองตัวเองในตอนนี้ ก็คงจะด่าว่าโจรสุนัขเหมือนกัน…

จวนท่านอ๋องมีทหารลาดตระเวนไปมา เตรียมป้องกันอย่างเข้มงวด

ทว่าข่าวที่ทัพใหญ่ของประมุขชิงโจมตียังแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว กระจายอยู่ในจวนท่านอ๋อง บอกว่าประมุขชิงระดมกองทัพองครักษ์หนึ่งพันห้าร้อยล้านโจมตี ทุกคนในจวนท่านอ๋องอกสั่นขวัญแขวน

ซูอวิ้นถามว่าอวิ๋นจือชิวอยู่ที่ไหน แล้วก็รีบเดินมาในสวนดอกไม้ เห็นเพียงอวิ๋นจือชิวกำลังนั่งดื่มน้ำชาอย่างสง่างามอยู่ในศาลา

หลังจากรีบเข้ามาทำความเคารพ ซูอวิ้นก็ถามว่า “เหนียงเหนียง ได้ยินว่าประมุขชิงระดมทัพใหญ่หนึ่งพันห้าร้อยล้านมาโจมตีท่านอ๋อง เป็นเรื่องจริงหรือเปล่า?”

“จริงแล้วยังไง ไม่จริงแล้วยังไง?” อวิ๋นจือชิวตอบอย่างไม่หยี่ระ

เดิมทีซูอวิ้นอยากจะถามว่าเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร อย่างไรเสียเหมียวอี้ก็ปิดบังเรื่องนี้กับคนส่วนใหญ่ แม้แต่หยางชิ่งก็ไม่กล้าโผล่หน้ามาบอกเขานาง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นางถามมาก หยางชิ่งถึงขั้นไม่ปรากฏตัวให้นางเห็นในจวนท่านอ๋องด้วย ข่าวที่นางรู้มีจำกัด เดินทีคิดจะเอ่ยปากทาง แต่พอเห็นปฏิกิริยาของอวิ๋นจือชิวแล้ว นางก็แววตาวูบไหว แล้วกล่าวด้วยสีหน้าอมยิ้มเล็กน้อย “สงสัยท่านอ๋องจะเตรียมการไว้ตั้งแต่แรกแล้ว”

อวิ๋นจือชิวเงยหน้า ถามอย่างสนใจว่า “เหตุใดจึงคิดเช่นนั้น?”

ซูอวิ้นยิ้มพร้อมบอกว่า “นี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่เหนียงเหนียงเยือกเย็นได้ขนาดนี้ แสดงว่าท่านอ๋องย่อมมีวิธีการรับมือแล้ว”

อวิ๋นจือชิวยิ้มโดยไม่ตอบอะไร ส่วนจะรับมืออย่างไรนั้น ก็ไม่เอ่ยถึงแล้ว

ในขณะนี้เอง ทหารสวมเกราะรบกลุ่มหนึ่งก็คุมตัวคนสิบกว่าคนก็เข้ามา เป็นอนุภรรยาสองคนรวมทั้งสาวใช้ ทั้งยังมีบ่าวไพร่ในจวนท่านอ๋องอีกหลายคน บางคนก็สีหน้าแย่มาก บางคนก็ทำตัวนิ่งๆ

พอวางถ้วยน้ำชาลง อวิ๋นจือชิวก็จ้องสาวงามสองคนตรงหน้า แล้วถามเสียงเรียบว่า “ปล่อยข่าวลือบางอย่างในจวนท่านอ๋อง อยากจะทำให้ขวัญกำลังใจของทหารสั่นคลอนใช่ไหม? ข้าควรจะบอกว่าพวกเจ้าดูถูกท่านอ๋องเกินไป หรือควรจะบอกว่าพวกเราโง่เกินไปดีล่ะ? คิดว่าข้าเป็นคนหูหนวกตาบอดเหรอ? คิดว่าจะสืบหาไม่เจอเหรอ? คิดว่าข้ามองไม่ออกเชียวเหรอ ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังพวกเจ้ามองพวกเจ้าเป็นตัวหมากที่ใช้แล้วทิ้ง?”

สาวงามกล่าวอย่างใจเย็นว่า “ผู้น้อยไม่รู้ว่าสิ่งที่เหนียงเหนียงพูดหมายความว่าอะไร”

อวิ๋นจือชิวพ่นเสียงทางจมูก “ก่อนหน้านี้ข้าก็บอกไปแล้ว ว่าถ้าในจวนท่านอ๋องมีใครเป็นหนอนบ่อนไส้ ก็ให้ยืนขึ้นยอมรับด้วยตัวเอง ข้าจะไม่เอาผิดเรื่องที่ผ่านมา แต่กลับไม่มีใครออกมาสักคน ข้าให้โอกาสพวกเจ้าแล้ว ในเมื่อพวกเจ้าไม่เอาก็ช่างเถอะ แต่ยังกล้าก่อกวนอีกเหรอ? เช่นนั้นก็อย่าโทษว่าข้าโหดร้ายใจดำก็แล้วกัน…ลากออกไป ควรจะทำยังไง ก่อนหน้านี้ข้าก็บอกไว้แล้ว!”

ทหารคนหนึ่งกุมหมัดเอย่รับคำสั่ง พอโบกมือ ทหารสวมเกราะรบก็ลากคนออกไปโดยตรง เพราะคนพวกนี้นึกขึ้นได้ถึงคำว่า ‘แล่เนื้อเป็นพันดาบหมื่นดาบ’ ก็อดไม่ได้ที่จะตกใจจนเสียขวัญ

“เหนียงเหนียงโปรดไว้ชีวิต!”

“เหนียงเหนียง ท่านทำอย่างนี้ไม่ได้นะ ข้าต้องการพบท่านอ๋อง ข้าต้องการพบท่านอ๋อง…”

อวิ๋นจือชิวมองตาขวาง “หุบปาก!”

มีเสียงดังเพี้ยะๆ แต่ละคนถูกตบปาก ตบจนเลือดเนื้อเละเทะปนกัน ไม่พูดอะไรอีกแล้ว

ซูอวิ้นแอบทอดถอนใจ ท่านอ๋องเพิ่งจะฆ่าอนุภรรยาไปคนหนึ่ง ตอนนี้ก็มีอีก สองคนแล้ว เกรงว่าสองคนนี้คงจะตายอย่างอนาถ…

ทางออกประตูดวงดาว ใกล้กับจุดที่กระจายกำลังทหาร ปี่จัวนำกำลังพลเร่งนำกำลังพลมาถึงก่อน ทัพใหญ่ห้าสิบล้านเผยตัว แค่โจมตียกเดียวก็ทำให้กำลังพลหลายล้านที่เฝ้าตรงทางเข้าแตกทลายแล้ว แต่ก็ไม่ไล่ตามกวาดล้าง พอปี่จัวออกคำสั่ง กำลังพลก็กระจายกันปิดล้อมทางออก เตรียมป้องกันไม่ให้ทัพฝ่ายศัตรูที่พลาดท่าเสียทีบนสนามรบหลักหนีไป

และในดาวอ๋องสวรรค์หนิวที่มองเห็นอยู่ไกลๆ ในดาราจักร กำลังพลสองร้อยล้านกำลังจัดกระบวนทัพ ชิงเยว่วางมือบนกระบี่ที่ห้อยตรงเอว ลอยอยู่หน้ากระบวนทัพ บนใบหน้างามที่องอาจห้าวหาญเผยความเยียบเย็นดุร้าย

กำลังพลหนึ่งพันที่นำโดยฉวี่ฉางเทียนปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า กำลังเร่งมาทางนี้อย่างรวดเร็ว

ขบวนรบที่อยู่ข้างหลังชิงเยว่เว้นช่องว่างหนึ่งทาง ชิงเยว่ลอยถอยหลังไป นำทัพกลางถอยเข้าไปอยู่ในการคุ้มกันกลางขบวนรบ หากไม่จำเป็น ก็เป็นไปไม่ได้ที่ผู้บัญชาการสูงสุดอย่างนางจะพุ่งไปดิ้นรนสู้ตายอยู่ข้างหน้าสุด แบบนั้นเป็นพฤติกรรมที่สนใจแต่ความสะใจของตัวเอง แต่กลับไม่รับผิดชอบใดๆ

ชิงเยว่ชักกระบี่ขึ้นมาออกคำสั่ง ข้างหน้าขบวนทัพใหญ่สร้างแนวกำแพงโล่ขึ้นแล้ว มือธนูที่อยู่ข้างหลังง้างสายรอ

ฉวี่ฉางเทียนที่เข้ามาอย่างรวดเร็วทอดสายตามองประเมิน เขานับจำนวนกำลังพลได้คร่าวๆ แล้ว ในใจอดไม่ได้ที่จะแสยะหัวเราะ ดูท่าแล้ว การที่ตัวเองเผยกำลังพลห้าสิบล้านก่อนหน้านี้จะได้ผลแล้วจริงๆ ทำให้อีกฝ่ายยอมแลกทุกอย่างเพื่อศึกนี้จริงๆ ด้วย

สำหรับเขา เขาไม่กลัวที่จะรบกับหนิวโหย่วเต๋อ กลัวก็แต่ว่าอีกฝ่ายจะไม่รบแล้วหนีไป ด้วยสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้า เห็นได้ชัดว่าหนิวโหย่วเต๋อระดมกำลังพลที่ตัวเองมีออกมาหมดแล้ว ดีมาก ทำให้เขาไม่ต้องเปลืองแรงมาก!

ถ้าพูดจากบางระดับ จัดกำลังทหารของหนิวโหย่วเต๋อหรือกำจัดหนิวโหย่วเต๋อคุ้มค่ากว่า? ย่อมเป็นอย่างแรกอยู่แล้ว

“กำลังพลห้าสิบล้าน จัดกระบวนทัพ!” ฉวี่ฉางเทียนยกมือห้ามไม่ให้พุ่งไปข้างหน้าต่อ แล้วถ่ายทอดคำสั่งนี้

ทัพใหญ่ที่อยู่ทางซ้ายขวาหน้าหลังปรากฏตัว กำลังพลห้าสิบล้านปรากฏตัวแล้ว จัดกระบวนทัพเรียบร้อย เริ่มรุดหน้าไปรับกับกระบวนทัพของฝ่ายตรงข้าม เห็นได้ชัดว่าเตรียมจะใช้กำลังปะทะกันโดยตรง

สำหรับการตั้งขบวนเตรียมประจันหน้ากันระหว่างทัพใหญ่ เมื่อมาถึงขนาดและขั้นนี้แล้ว ที่จริงก็ไม่มีกลยุทธ์อะไรมากแล้ว สิ่งที่ใช้สู้กันก็คือศักยภาพและพลังรบของทัพใหญ่ ที่เหลือก็คือความสามารถในการบัญชาการของผู้บัญชาการสูงสุดยามใกล้ถึงเวลารบ

ในใจของนักรบที่อยู่ทางซ้ายและขวาต่างก็รู้ดีว่าฝั่งนี้ไม่ได้นำกำลังพลออกมาทั้งหมด

“รอจนข้าปะทะกับอีกฝ่ายซึ่งๆ หน้า ก็ปล่อยทัพใหญ่ออกมาให้หมดทันที หันเจ๋อจวิ เจ้านำกำลังพลหนึ่งร้อยล้านตีโอบไปฝั่งซ้าย ฉวนอู่ผิง เจ้านำกำลังพลร้อยล้านตีโอบไปฝั่งขวา ล้อมโจมตีจากสามทางไปพร้อมกับข้า เซียวเหยียนเลี่ย เจ้านำกำลังพลห้าสิบล้านอ้อมไป มุ่งตรงสู่รังโจร ต้องจัดการหนิวโหย่วเต๋อให้ได้ ถ้าจับเป็นได้ก็พยายามจับเป็น สรุปก็คืออย่าให้หนิวโหย่วเต๋อหนีไป ถ้าตัวคนไม่อยู่แล้ว กำลังพลของเจ้าก็กระจายกันค้นหาทันที!” ทัพใหญ่บุกไปข้างหน้า ฉวี่ฉางเทียนออกคำสั่งอย่างชัดเจนและเป็นระบบ

“ขอรับ!” แม่ทัพสามคนเอ่ยรับ

ไม่นานกระบวนทัพของของสองฝ่ายอยู่ตรงข้ามกันแล้ว ทั้งสองฝ่ายตกอยู่ในขอบเขตการยิงโจมตีที่มีอานุภาพมหาศาลจากธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ของฝ่ายตรงข้ามแล้ว

“กระบวนทัพรูปลิ่มบุกโจมตี!”

ผู้บัญชาการทัพของทั้งสองฝ่ายแทบจะโบกกระบี่ออกคำสั่งพร้อมกัน

“ฆ่า!”

ชั่วพริบตาเดียว ในขบวนรบของสองฝ่ายก็มีขบวนทัพยาวรูปลิ่มที่สร้างจากเกราะรบนับร้อยพุ่งออกมา พุ่งใส่ฝ่ายตรงข้ามอย่างบ้าคลั่ง เสียงตะโกนว่าฆ่าดังสะเทือนดาราจักร

“ยิงธนู!”

ขบวนรบของสองฝ่ายระเบิดลำแสงนับไม่ถ้วนออกมาพร้อมกัน โจมตีไปยังขบวนทัพรูปลิ่มของฝ่ายตรงข้ามที่พุ่งเข้ามา เกิดเสียงดังสะเทือนทันที เลือกเนื้อปลิวกระจาย

ชั่วพริบตาเดียวการเข่นฆ่าก็เข้าสู่จุดเดือด ทั้งสองฝ่ายไม่มีใครยอมถอยง่ายๆ ยามเผชิญการโจมตีที่ดุเดือดขนาดนี้ ไม่ว่าฝั่งไหนก็เลี้ยวกลับไม่ได้ง่ายๆ แล้ว

ฉวี่ฉางเทียนโบกกระบี่ไปทางซ้ายและขวา “บุกโจมตี!”

ชั่วขณะนั้น กำลังพลกองทัพองครักษ์สี่ร้อยห้าสิบล้านถูกปล่อยออกมาอย่างใหญ่โตมโหฬาร ด้านซ้ายมีกำลังพลหนึ่งร้อยล้านตีโอบเข้ามา ด้านขวามีกำลังพลร้อยล้านตีโอบเข้ามา แล้วก็มีกำลังพลอีกห้าสิบล้านวนอ้อมเตรียมจะมุ่งตรงสู่ดาวอ๋องสวรรค์หนิว

ชิงเยว่ที่อยู่ในสงครามแสยะยิ้ม ระฆังดาราในมือสั่นไหว

แม่ทัพใหญ่เซียวเหยียนเลี่ยที่นำทัพใหญ่ห้าสิบล้านมุ่งตรงสู่ดาวอ๋องสวรรค์หนิวพลันสีหน้าเปลี่ยน เห็นเพียงเงาคนที่หนาแน่นพุ่งมาจากดาวอ๋องสวรรค์หนิว

“ท่าไม่ดีแล้ว!” แม่ทัพที่รับหน้าที่สังเกตุการณ์จากที่สูงพลันชี้ไปรอบๆ แล้วถ่ายทอดเสียงตะโกนว่า “นายท่าน พวกเราตกหลุมพรางแล้ว!”

ฉวี่ฉางเทียนมองซ้ายแล้วสีหน้าเปลี่ยน มองขวาแล้วสีหน้าเปลี่ยนอีก เห็นเพียงในดาราจักรทางซ้ายขวาหน้าหลังมีกำลังพลจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งเข้ามาอย่างเนืองแน่น อย่างน้อยก็มีมากกว่าฝั่งนี้หลายเท่า เป็นการล้อมโจมตีโดยสมบูรณ์ เอากำลังพลมาจากไหนมากมายขนาดนี้? ข่าวกรองที่วังสวรรค์ส่งให้เขาไม่ได้รายงานเรื่องนี้เลย!

บนสนามรบ ข่าวกรองที่รายงานมักจะเป็นตัวกำหนดแพ้ชนะ

“รีบบอกปี่จัว ระวังจะมีกับดัก สั่งให้เขามาช่วยเดี๋ยวนี้!” ฉวี่ฉางเทียนที่ทำหน้าขรึมคำรามสั่งอย่างโมโห

………………