ภาค 11 คุนหลุนกลาง กว่างเฉิงบูรพา บทที่ 1158 อยู่ร่วมกันไม่ได้

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

เยี่ยนจ้าวเกอใช้ท่าสังหารมังกระเขียวที่โหดเหี้ยมอำมหิต ประกายกระบี่ของกระบี่เปิดกำเนิดระเบิดขึ้น กลายเป็นประกายโลหิตน่าพรั่นพรึง ฟันใส่จักรพรรดิแพรอาภรณ์ดำ

จักรพรรดิแพรอาภรณ์ดำหนีเข้าไปในมิติโดยไม่หันหลังกลับมามอง

แต่พร้อมกับเสียงครางหนักๆ ยังคงเห็นในจักรวาลอันมืดมิดมีโลหิตสีแดงก่ำพุ่งกระฉูดออกมา

เลือดที่กระฉูดนั้นถึงกับเปล่งแสงสีทองจางๆ

หยดเลือดระเบิดออกกลางอากาศ กลายเป็นรูปไท่จี๋สีโลหิตหลายรูป คงอยู่เนิ่นนาน

จักรพรรดิเซียนจริงแท้ผู้ยิ่งใหญ่ถึงกับได้รับบาดเจ็บ!

แต่ว่าจักรพรรดิแพรอาภรณ์ดำไม่คิดป้องกัน และไม่คิดหยุดอยู่ เพียงเร่งความเร็วมากกว่าเดิม หายไปจากความว่างเปล่าอันดำขลับในพริบตา

เยี่ยนจ้าวเกอที่ทำให้เซียนโลหิตพุ่งกระฉูด สีหน้าสงบนิ่ง สายตามองไปอีกทาง

ที่แห่งนั้น ประมุขปฐวีหวังเจิ้งเฉิงพอเห็นว่าสุดท้ายแล้วกระบี่เปิดกำเนิดตกไปอยู่ในมือของเยี่ยนจ้าวเกอ ก็ถอนใจอย่างอับจนปัญญา

ปฏิกิริยาเหมือนกับจักรพรรดิแพรอาภรณ์ดำ หวังเจิ้งเฉิงไม่คิดพยายามใดๆ อีกแล้ว ม้วนภาพภูผาธาราโบ่วกี้ จากนั้นก็หนีไปยังโลกซ้อนโลกที่อยู่ห่างออกไป

เรื่องราวมาถึงขั้นนี้ เขาไม่มีวิธีการอื่นให้ไตร่ตรองได้อีก อยู่ต่อไปก็ไม่มีความหมายใด

หลังจากเยี่ยนจ้าวเกอใช้หนึ่งกระบี่กดดันจนจักรพรรดิแพรอาภรณ์ดำหนีไปแล้ว เขาก็ไม่ได้ไล่ตามไป เพียงไล่ล่าประมุขปฐวีหวังเจิ้งเฉิง!

สองคนหนึ่งหนีหนึ่งไล่ ทะลวงการผนึกจากพลังแห่งเขตแดน กลับโลกซ้อนโลกอย่างรวดเร็ว

อาณาเขตเขาใบชาหมอกของเขตสุราลัยบูรพาปรากฏขึ้นตรงหน้า

ทิวทัศน์ดุจเดิม น่าเสียดายที่จิตใจของผู้เกี่ยวข้องต่างไปจากเดิม

หวังเจิ้งเฉิงตอนนี้ไม่กล้าหยุด ข้ามพรมแดนระหว่างเขตมหานภากลางและเขตสุราลัยบูรพา มุ่งหน้าสู่เขาคุนหลุนด้วยความเร็วสูงสุด

การสืบทอดวรยุทธ์ของผากิเลน ขึ้นชื่อในความยิ่งใหญ่หนักแน่น แต่ไม่โดดเด่นด้านความเร็ว

แต่ตอนนี้หวังเจิ้งเฉิงใช้รูปภูผาธาราโบ่วกี้ คนเข้าไปอยู่ใต้ดิน ใช้วิชาดำดิน อาศัยพลังของการดำดิน ความเร็วกลับเพิ่มสูง เหนือกว่าจอมยุทธ์ทั่วไป

น่าเสียดายที่ถึงแม้เขาจะเร็ว เยี่ยนจ้าวเกอกลับเร็วยิ่งกว่า!

เยี่ยนจ้าวเกอที่ผ่านการต่อสู้ตัดสินระดับสูงสุด และเพิ่งกระตุ้นสายฟ้าชั่วพริบตาไป ตอนนี้มีความรู้สึกเริ่มหมดแรงแล้ว

ทว่าเมื่อมีกระบี่เปิดกำเนิดช่วยเหลือ ร่างของเขายังคงว่องไว เคลื่อนไหวได้ถึงหลายล้านลี้ในชั่วอึดใจ ไล่ตามหวังเจิ้งเฉิงสำเร็จ!

เยี่ยนจ้าวเกอมองประมุขปฐวีที่อยู่ตรงหน้า พลันตวาดคำหนึ่ง

ประกายกระบี่ที่ยิ่งใหญ่ฟันลง ถูกใส่ฟ้าดิน ฟันแผ่นดินออกเป็นหุบเหวลึก พาดขวางอยู่ระหว่างเส้นขอบฟ้าสองแห่ง ไม่เห็นจุดสิ้นสุด

ประกายกระบี่เหมือนม่านกั้น พุ่งลงด้านหน้าหวังเจิ้งเฉิงที่ใช้วิชาดำดิน ขัดขวางเส้นทางของเขา

เยี่ยนจ้าวเกอยกฝ่ามือขึ้นแล้วตบลง ทำลายฟ้าดิน ขุนเขาผืนดินล้วนแหลกสลาย

หวังเจิ้งเฉิงหมดหนทาง ได้แต่หยุดยั้งฝีเท้า พุ่งออกจากดิน กลับสู่บนพื้นผิวใหม่

ขณะมองเทือกเขาคุนหลุนกว้างใหญ่ที่ปรากฏในคลองจักษุ แต่กลับไกลเหมือนฟ้าและเหว หวังเจิ้งเฉินเงียบงันไม่เอ่ยวาจา

“ประมุขปฐวี ท่านผู้อาวุโสหวัง หวังเจิ้งเฉิง” เยี่ยนจ้าวเกอมือหนึ่งกระชับกระบี่ มือหนึ่งไพล่ไว้ด้านหลัง ยืนอยู่ตรงหน้าหวังเจิ้งเฉิง “แค่มือไม่ได้เปื้อนเลือด ท่านก็นึกว่าเรื่องฆ่าคนไม่เกี่ยวข้องกับท่านแล้ว?”

“นักพรตเทียนอี้แม้ถูกฆ่า เรื่องราวไม่นับว่าจบลง สำหรับครอบครัวข้าสามคนเป็นเช่นนี้ สำหรับท่านก็เป็นเช่นเดียวกัน”

เยี่ยนจ้าวเกอมองหวังเจิ้งเฉิงอย่างเย็นชา “ถ้าตอนนี้ท่านแม่โชคดีหลบรอดภัยพิบัตินี้ได้ ทว่าท่านยังรอดชีวิตอยู่ เกรงว่าท่านจะยังคงไม่ยอมเลิกรากระมัง”

“ไม่ผิด” หวังเจิ้งเฉิงเงียบงันอยู่เนิ่นนาน สุดท้ายก็กล่าวอย่างตรงไปตรงมา “เรื่องราวไม่ได้เกี่ยวพันกับข้าเพียงคนเดียว จำเป็นต้องจัดการจริงๆ”

“ข้าเลื่อมใสความจริงใจและความแน่วแน่ของท่าน แต่เพราะเป็นเช่นนี้ พวกเราสองคนจึงอยู่ร่วมกันไม่ได้”

เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวอย่างเฉื่อยชา “นอกเสียจากว่ากษัตริย์เร้นลับออกฌานหรือกษัตริย์ดินกลับมา ไม่อย่างนั้นวันนี้ท่านก็ต้องตาย”

น้ำเสียงของชายหนุ่มสงบนิ่ง ไม่อำพรางจิตสังหารอันเด็ดขาดแม้แต่น้อย

หวังเจิ้งเฉิงมีสีหน้าซึมเซา “การทำร้ายพวกเจ้าสองพ่อลูกไม่ใช่ความต้องการของข้า แต่เป็นฟ้ากลั่นแกล้งคน ชะตาชีวิตเป็นเช่นนี้ ทั้งๆ ที่รู้ว่าต้องลำบาก ข้าก็ถอยไม่ได้”

เขามองเยี่ยนจ้าวเกอ จากนั้นก็พิจารณาตั้งแต่หัวจรดเท้า ทอดถอนใจกล่าว “อายุน้อยแท้ๆ!”

“อายุน้อยเช่นนี้ ความสามารถท่วมท้นเช่นนี้ ขอแค่ไม่เสียชีวิตก่อนวัยอันควร จะต้องกลายเป็นอัจฉริยะบุรุษผู้ค้ำยันสำนักเต๋าของเราแน่ พวกเจ้าสองพ่อลูกปรากฏตัวขึ้น เป็นโชคดีของสำนักเต๋าเราจริงๆ แต่กลับต้องถูกอิ่นประกายกาฬกับหูเจิดจรัสทำร้าย น่าเสียดายนัก น่าทอดถอนใจนัก!”

หวังเจิ้งเฉินสั่นศีรษะอย่างแช่มช้า “เจ้าถึงแม้ว่าอานาคตจะพังเพราะเทวกษัตริย์ไร้ประมาณ แต่ใช่ว่าจะไม่มีหนทางรอด บิดาเจ้าได้แสดงให้เห็นถึงความล้ำเลิศเกินคน ถ้าหากให้เวลาพวกเจ้า อนาคตจะยาวไกลยิ่ง”

“รบกวนประมุขปฐวีท่านเป็นห่วงแล้ว” เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวอย่างเรียบเฉย “หลายปีมานี้ที่โลกซ้อนโลกมีสภาพเช่นนี้ได้ ย่อมต้องเกี่ยวข้องกับการทำงานของเหล่าประมุข ประมุขปฐวีท่านคอยดูแลโลกซ้อนโลกมาตลอด ทั้งยังพยายามเต็มที่”

“เพียงแต่สำหรับโถงเซียน เรื่องอื่นๆ ยังพอทำเนา แต่ว่าเรื่องของท่านแม่ ในฐานะผู้เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นข้าหรือท่านพ่อต่างไม่อาจประนีประนอมปล่อยผ่านได้”

หวังเจิ้งเฉิงสายตาล่องลอย “ประณีประนอมปล่อยผ่าน…ในโลกใบนี้มีเรื่องบางเรื่องที่เราจะต้องยึดมั่น แต่มีเรื่องบางเรื่องที่เราได้แต่ต้องอดกลั้น”

“ที่โลกซ้อนโลกมีสภาพเช่นทุกวันนี้ได้ ข้าไม่กล้าบอกว่าตัวเองมีความดีความชอบแม้แต่น้อย นั่นเป็นพวกอาจารย์ใช้ความพยายามไร้สิ้นสุด ผู้อาวุโสมากมายล้วนแลกเปลี่ยนด้วยความเสียสละนับไม่ถ้วนเพื่อให้ได้สถานการณ์ที่มั่นคงอย่างในปัจจุบันมา”

“ในนี้ยังรวมถึงปู่ของเจ้า ราชันพระศุกร์”

หวังเจิ้งเฉิงมองเยี่ยนจ้าวเกอ สุดท้ายอารมณ์ก็พลุ่งพล่าน รู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวเล็กน้อย “เพราะการเสียสละของผู้อาวุโสจำนวนนับไม่ถ้วนรวมถึงปู่ของเจ้า จึงมีโลกซ้อนโลกอย่างทุกวันนี้ จึงมีสภาพสำนักเต๋ารุ่งเรืองเช่นทุกวันนี้ จึงมีอนาคตและความหวังของคนรุ่นเรา!”

“แต่ตอนนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเปล่าประโยชน์เพราะอิ่นประกายกาฬและหูเจิดจรัส!”

“ข้าได้ทำข้อผิดพลาดใหญ่ไปแล้ว ไม่คิดจะเสริมรั้วเพราะแพะตาย หรือชดเชยช่วยเหลืออีก รอถึงเวลาที่ไม่อาจหวนคืนอย่างแท้จริง สำนึกเสียใจต่อทุกสิ่งก็ไม่ทันกาลแล้ว” หวังเจิ้งเฉิงกล่าวเสียงทุ้ม

เยี่ยนจ้าวเกอสีหน้าเฉยเมย “ตอนแรกข้านึกว่าเป็นเพราะผ่านกาลเวลาที่ดำมืดลำบากลำบนในอดีตมา เหล่าพวกผู้อาวุโสจึงเข้าใจหลักการนึกถึงความลำบากในยามสงบ กลับเป็นพวกเราเหล่าผู้เยาว์ที่เกิดในยุคที่ค่อนข้างสงบ ทำข้อผิดพลาดลืมสงครามจำต้องตาย”

“ไม่ ที่พวกเจ้าทำข้อผิดพลาดได้ง่ายกว่า เป็นเพราะยังอายุน้อยคึกคะนอง ทะเยอะทะยาน ไม่ละเอียดรอบคอบ หน้ามืดตามัวมองโลกในแง่ดี” หวังเจิ้งเฉงถอนใจกล่าวว่า “แม้เจ้าจะเคยไปโถงเซียนมาก่อน แต่เกรงว่าเจ้ายังคงไม่ทราบว่า โถงเซียนมียอดฝีมือกี่คน มีขุมกำลังที่ลึกล้ำน่ากลัวมากน้อยขนาดไหน”

“เจ้าถึงกับไม่ทราบว่าเทวกษัตริย์ไร้ประมาณมีระดับพลังฝึกปรือเท่าไร เจ้าคิดว่าตัวตนที่สามารถสู้กับพระศรีอาริย์ได้สมควรเป็นอย่างไร”

หวังเจิ้งเฉิงมองเยี่ยนจ้าวเกอ กล่าวเสียงทุ้ม “สามพิสุทธิ์สายหลักของพวกเรา ไม่มีทางรับความอัปยศจากเต๋านอกรีต! ทว่าคิดจะหยุดความวุ่นวาย กลับไม่อาจใช้ความวู่วามชั่ววูบ พวกเราต้องการเวลา ต้องการการสั่งสม ต้องการโอกาส”

เยี่ยนจ้าวเกอมองหวังเจิ้งเฉิง พลันยิ้มขึ้น เพียงแต่รอยยิ้มเย็นชาไปบ้าง

“ประมุขปฐวีกล่าวได้ประเสริฐยิ่ง กล่าวจนข้าเกือบลืมไปว่าท่านสั่งให้นักพรตเทียนอี้ไปสร้างความลำบากให้แก่ท่านแม่” รอยยิ้มบนใบหน้าสลายไป “เป็นคนอื่นยังพอว่า แต่ถ้านักพรตเทียนอี้จับตัวได้ ท่านแม่ข้าต้องตายอย่างแน่นอน”

“ถ้าหากทำเพื่อสู้กับโถงเซียนจริงๆ คิดดับเพลิงโทสะของอีกฝ่าย เช่นนั้นประเด็นก็อยู่ที่เศษศิลาฟ้ากำเนิดในตำนานนั้น ไม่ใช่ชีวิตของท่านแม่ข้า”

เยี่ยนจ้าวเกอจับจ้องหวังเจิ้งเฉิงอย่างเย็นชา “เพียงแค่คิดจะเก็บชิ้นส่วนศิลาฟ้ากำเนิดไว้ กลับต้องมอบคำอธิบายให้แก่โถงเซียนมากเท่าไร เป็นผลให้ท่านแม่ข้าต้องชดใช้ด้วยชีวิต ไม่ สมควรบอกว่าจำเป็นต้องให้สายสืบทอดของจักรพรรดิประกายกาฬและจักรพรรดิเจิดจรัสขาดช่วงลงมากกว่า”

………………..