ตอนที่ 2032 เพ้อเจ้อ

Alchemy Emperor of the Divine Dao

ตอนที่ 2032 เพ้อเจ้อ

 

สตรีผู้นั้นงั้นรึ?

 

โอ้ หมายถึงสตรีที่ถูกชายร่างใหญ่หลายคนไล่ล่าก่อนหน้านี้สินะ

 

รุ่นเยาว์ตรงหน้านี้หลงรักนางมากเป็นพิเศษขนาดนั้นเลยรี ถึงได้ยึดติดกับนางขนาดนั้น?

 

หลิงฮันส่ายหัวและกล่าว “ข้าไม่รู้ว่าเจ้าพูดถึงเรื่องอะไร”

 

“สหาย เจ้าคิดจะปฏิเสธว่าเจ้าไม่ได้เป็นคนลงมือกับคนของเจ้าก่อนหน้านี้งั้นรึ?” เยว่เค้นเสียงและเผยสีหน้าไม่พอใจ

 

หลิงฮันยิ้มเล็กน้อย “นั่นไม่นับว่าเป็นการลงมือ หากข้าลงมือจริงๆล่ะก็ ใครบ้างในกลุ่มคนเหล่านั้นจะยังรอดชีวิตอยู่?”

 

ที่เขากล่าวนั้นเป็นความจริง แค่จอมยุทธระดับโลกียนิพพานไม่กี่คน หลิงฮันที่เป็นตัวตนระดับแบ่งแยกวิญญาณ สามารถสังหารพวกเขาได้เพียงหนึ่งความคิด

 

“ข้าไม่พูดไร้สาระกับเจ้าแล้ว จงส่งมอบตัวสตรีผู้นั้นมา ไม่เช่นนั้นภัยอันตรายจะตกอยู่ที่ตัวเจ้าเอง!” ฟู่เยว่กล่าวด้วยน้ําเสียงหนักแน่นอย่างมาก

 

หลิงฮันหัวเราะ “ต้องขอโทษด้วย แต่ข้าไม่รู้จักสตรีหรือบุรุษคนใดแม้แต่น้อย ข้าว่าเจ้าไปถามคนอื่นดีกว่า”

 

“เลิกเล่นลิ้นเสียที!” ฟู่เยว่เกรี้ยวกราดและเอื้อมมือขวาไปคว้าร่างหลิงฮัน

 

“พรึบ” ตราประทับปรากฏขึ้นบนมือของเขาที่ละอัน พร้อมกับส่องประกายแสงสีทองออกมา

 

หลิงฮันประหลาดใจเล็กน้อย เขาดูถูกนายน้อยผู้นี้เกินไปจริงๆ แท้จริงแล้วอีกฝ่ายกลับมีพลังต่อสู้แข็งแกร่งถึงระดับตัดวิญญาณปฐพี! ยิ่งกว่านั้นอีกฝ่ายก็ยังมีพลังบ่มเพาะเพียงระดับตัดวิญญาณหยินเท่านั้น การที่สําแดงพลังต่อสู้ระดับตัดวิญญาณปฐพี นั่นหมายถึงอีกฝ่ายมีศักยภาพเป็นถึงราชาในหมู่ราชา

 

เขายกมือข้างหนึ่งขึ้นและคว้าจับข้อมือของอีกฝ่าย

 

“โอหัง!” ฟู่เยว่เค้นเสียงอย่างเย็นชา นี่เจ้าโง่รึเปล่า?

 

เขากับอีกฝ่ายเป็นจอมยุทธระดับแบ่งแยกวิญญาณเหมือนกัน เพราะจอมยุทธในระดับเดียว กันสามารถมองเห็นขั้นพลังใหญ่ของกันและกันได้ แต่สําหรับขั้นพลังย่อยนั้น มีเพียงคนที่มีปฏิกิริ ยาไวต่อพลังพลังปราณเท่านั้น ถึงจะมองกลิ่นอายของผู้อื่นออกมาแข็งแกร่งหรืออ่อนแอกว่า

 

เพียงแต่เมื่อเริ่มลงมือแล้ว ต่อให้ไม่มีปฏิกิริยาไวต่อพลังปราณ ก็สามารถรับรู้ระดับพลังได้ เพียงแค่ชําเลืองมอง

 

ฝ่ายหนึ่งมีพลังอยู่ในระดับตัดวิญญาณหยิน ส่วนอีกคนมีพลังอยู่ในระดับตัดวิญญาณหยาง ซึ่งต่างกันถึงหนึ่งขั้นย่อย

 

ที่สําคัญคือฟู่เยว่นั้นเป็นราชาในหมู่ราชา ที่ต่อสู้ข้ามระดับได้อย่างไร้เทียมทานในระดับตัดวิญญาณปฐพี เพราะงั้นหลิงฮันจะสามารถต่อกรได้อย่างไร?

 

ทั้งๆที่รู้แบบนั้นแล้ว แต่หลิงฮันก็ยังไม่หลบ แต่เลือกที่จะเอื้อมมือมาต่อต้าน

 

“แกร่ก” เสียงเสียดสีของกระดูกดังขึ้น พร้อมกับข้อมือของเยว่ถูกมือของหลิงฮันคว้าเอาไว้ได้

 

อะไรกัน!

 

ดวงตาของฟู่เยว่เปิดกว้างในทันที พร้อมกับสีหน้าแสดงออกถึงความรู้สึกเหลือเชื่อ

 

แม้แต่ชายชราด้านหลังเองก็รีบลืมตาขึ้นมา ภายในดวงตาของเขามีดวงดาราส่องประกายจรัสแสง และปลดปล่อยออร่าที่น่าสะพรึงกลัวออกมา ส่งผลให้แขกในร้านหายใจกระอักกระอ่วน หรือบางคนได้สําลักโลหิตออกมาในทันที

 

คนผู้นี้คือปรมาจารย์ระดับตําหนักอมตะ เพียงแค่ออร่าที่เล็ดลอดออกมา ก็สามารถสร้างความเสียหายให้กับจอมยุทธระดับโลกียนิพพานได้

 

โชคที่ดีทางด้านของพวกหลิงฮัน เสี่ยวได้สะบัดคุ้มกันจักรพรรดินีและคนอื่นๆเอาไว้

 

ทั้งๆที่สามารถสลายอํานาจของตัวตนระดับอมตะได้อย่างง่ายดาย แต่ใบหน้าของมันก็ยังเอื่อยชาและไร้เดียงสา

 

นี่มันบ้าอะไรกัน!

 

ดวงตาของชายชราเบิกกว้างอีกครั้ง ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าเสียวกู่เป็นเพียงตัวโง่งมเท่านั้น แต่ตัวโง่งมที่ว่ากลับมีพลังอยู่ในระดับตําหนักอย่างนั้นรี?

 

ไม่สิ อยู่ในระดับตําหนักอมตะเป็นอย่างน้อย!

 

ชายชรายอมรับว่าตนเองมองระดับพลังบ่มเพาะของเสียวกูไม่ออกเลยแม้ตาน้อย

 

พลังของอีกฝ่ายทั้งลึกซึ้งและยากจะหยั่งถึง

 

ฟู่เยว่แทบจะเป็นลม

 

จอมยุทธระดับตัดวิญญาณหยางตรงหน้าสามารถคว้าข้อมือของเขาเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย โดยที่ไม่ว่าเขาจะพยายามดึงแขนกลับมาอย่างไรก็ไม่สามารถทําได้ ส่วนคนที่ดูโง่งมอีกคนที่ชอบเลียนแบบคําพูดคนอื่น ก็กลายเป็นว่าสามารถรับมือกับผู้คุ้มกันของเขาได้

 

เหตุใดถึงได้มีการรวมกลุ่มที่ทรงพลังเช่นนี้ขึ้นมาได้?

 

หรือว่าแท้จริงแล้วเรื่องราวทั้งหมดจะเป็นแผนการใหญ่ที่วางขึ้นมา เพื่อล่อให้เขาเผยตัวและจับไปเรียกค่าไถ่กับตระกูลฟู่?

 

“เจ้าต้องการอะไร?” ยิ่งตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤต ฟู่เยว่ก็ยิ่งมีท่าที่สงบนิ่งยิ่งขึ้น

 

หลิงฮันกล่าวด้วยความรู้สึกประหลาดใจ “เจ้าเป็นคนลงมือกับข้าก่อน แต่กลับถามว่าข้าต้องการอะไรอย่างนั้นรึ?”

 

“ฮีม เลิกพล่ามไร้สาระได้แล้ว เจ้าคิดจะจับตัวข้าไปเรียกค่าไถ่งั้นสินะ?” ฟู่เยว่กล่าวออกไปตรุ่งๆ

 

“เรื่องนั้น”

 

“หนึ่งร้อนล้านศิลาดวงดาวพอไม่?” ฟู่เยว่เสนอจํานวนออกไปโดยไม่รอให้หลิงฮันตอบ

 

“เรื่องนั้น”

 

“ได้แค่จํานวนนี้เท่านั้น ไม่เช่นนี้การต่อรองถือว่าเป็นโมฆะ!” ฟู่เยว่กล่าวด้วยน้ําเสียงเด็ดขาด

 

หลิงฮันกลายเป็นไร้คําพูด ความคิดที่จะลักพาตัวนั้นไม่ได้อยู่ในหัวของเขาเลย แถมที่เขาคว้าจับข้อมือของอีกฝ่ายเอาไว้ ก็เป็นการป้องกันตัวเองเท่านั้น เหตุใดจู่ๆเรื่องราวถึงได้กลายเป็นการลักพาตัวเรียกค่าไถไปเสียได้?

 

เมื่อเห็นว่าหลิงฮันไม่ตอบอะไร ฟู่เยว่ก็คิดไปเองว่าอีกฝ่ายตกลงแล้ว เขาจึงกล่าวกับชายชรา “ลุงยวี่ ท่านกลับไปนําเงินจํานวนร้อยล้านศิลาดวงดาวมาที”

 

“นายน้อย แล้วท่าน…” ชายชราไม่เห็นด้วย หน้าที่ของเขาคือการคุ้มกันความปลอดภัยของฟู่เยว่ ตอนนี้เมื่อนายน้อยตกไปอยู่ในมือของคนอื่นแล้ว จะให้เขาไปที่อื่นได้อย่างไร?

 

หากในระหว่างนั้นอีกฝ่ายสังหารตัวประตัวเสียก่อนล่ะ?

 

“ไม่ต้องกังวล ข้าเชื่อว่าตนเหล่านี้ไม่ใช่คนโง่ มีเพียงแค่ต้องให้ข้ามีชีวิตเท่านั้น ตัวข้าถึงจะมีค่า” ฟู่เยว่กล่าวอย่างสงบนิ่งและหนักแน่น

 

“ตกลง!” ชายชราเลิกพูดพร่ําทําเพลง หลังจากตอบรับเขาก็รีบหันหลังจากไปทันที

 

“ขอสักครู่ เงินจํานวนหนึ่งร้อยล้านศิลาดวงดาวไม่ใช่ว่าจะรวบรวมได้ในระยะเวลาสั้นๆ” ฟู่เยว่กล่าวราวกับว่า ต่อให้ข้าตกอยู่ในเงื้อมมือของเขา แต่ข้าก็ยังคุมสถานการณได้

 

พวกหลิงฮันมองหน้ากัน และมองเห็นสีหน้าของแต่ละคนที่แสดงออกเป็นเสียงเดียวกันว่า “คนผู้นี้ไม่ปกติ!”

 

“เห้อ” หลิงฮันปล่อยมือและกล่าว “ข้าขอถามหน่อยว่าเจ้าสติของเจ้ายังดีอยู่หรือไม่?”

 

เยวลูบข้อมือของตัวเองและกล่าว “เจ้าเป็นฝ่ายถือไพ่เหนือกว่าแท้ๆ ทําไมยังต้องเยาะเย้ยข้าอยู่อีก?” เขาไม่คิดว่าหลิงฮันจะยอมปล่อยเขาไปง่ายๆ ที่อีกฝ่ายเลิกคว้าข้อมือของเขา ต้องเป็นเพราะมั่นใจอยู่แล้วว่าเขาไม่มีทางหลบหนีไปไหนพ้น

 

หลิงฮันตบไหล่ของฟู่เยว่และกล่าว “เจ้าเป็นคนเพ้อเจ้อที่สุดที่ข้าเคยพบเห็นมาในชีวิตนี้เลย”

 

แน่นอนว่าฟู่เยว่ย่อมคิดว่าหลิงฮันกําลังเยาะเย้ยเขาอยู่ เพราะงั้นเขาจึงเค้นเสียงเย็นชาและทําเป็นไม่สนใจ

 

หลิงฮันส่ายหัว “ถ้าข้าบอกว่าข้าไม่รู้จักสตรีผู้นั้นเจ้าจะเชื่อหรือไม่? หรือต่อให้เจ้าไม่เชื่อ แต่นั่นก็เป็นความจริง”

 

“เมื่อครู่เจ้าเป็นฝ่ายลงมือกับข้าก่อน ที่ข้าทําไปก็แค่ป้องกันตัวเองเท่านั้น แต่เจ้ากลับคิดเองเออเองไปว่าข้าคิดจะจับตัวเข้าไปเรียกค่าไถ่”

 

“ฮ่าๆๆๆ!”

 

ฟู่เยว่ยังไคงไม่เชื่อ เหอะๆ คิดว่าข้าโง่งั้นรึไง? เขาเค้นเสียงและกล่าว “ถ้างั้นต่อให้ข้าเดินจากไปเสียแต่ตอนนี้ เจ้าก็คงไม่ห้ามข้าสินะ?”

 

“แล้วแต่เจ้าเลย” หลิงฮันชี้ไปยังประตูร้าน

 

ฟเยว่ยังคงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เมื่อเขาลุกเดินไปแล้วและเห็นว่าพวกหลิงฮันยังคงไม่เอ่ยห้าม เขาก็หันหลังกลับมาและกล่าว “ข้าจะไปจริงๆนะ”

 

“เชิญ!”