บทที่ 1417 เจ้าเป็นลูกใครล่ะเนี่ย?

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,417 เจ้าเป็นลูกใครล่ะเนี่ย?

“ข้าไม่เป็นไร…”

ไต้จือฉุนตอบพร้อมกับคลานออกมาจากกองไฟ

เสื้อผ้าบนร่างกายขาดวิ่งจากแรงระเบิด ผมเผ้ายุ่งเหยิงราวกับรังนก แต่จากการดูดซับพลังปราณเทวะในดินแดนทวยเทพ ไต้จือฉุนจึงมีความแข็งแกร่งมากขึ้นทั้งภายนอกภายใน บัดนี้ เขาจึงไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย

ชายฉกรรจ์เพียงรู้สึกเวียนหัวเท่านั้น

“ที่นี่คือที่ไหน?”

ไต้จือฉุนเงยหน้ามองท้องฟ้ายามราตรี

รอบกายปกคลุมไปด้วยความมืดมิด อากาศผิดแผกแปลกประหลาด คลื่นพลังที่ไหลเวียนรอบตัวคือสิ่งที่พวกเขาไม่เคยสัมผัสได้ในแผ่นดินตงเต้ามาก่อน ไต้จือฉุนหันมองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยความลังเลเล็กน้อยและถามว่า “น้องชาย พวกเรากลับมาที่จักรวรรดิเป่ยไห่แล้วจริง ๆ หรือ?”

สีหน้าบอกได้ถึงความเคร่งเครียด

“อ่า นี่มัน…”

เมื่อหลินเป่ยเฉินสังเกตเห็นถึงความผิดปกติรอบตัวก็ตกตะลึงไปเช่นกัน

สภาพแวดล้อมไม่ถูกต้อง

อย่าบอกนะว่าแท็กซี่ตี๋น้อยพาพวกเขามาส่งผิดที่?

แม้ว่าขาไปดินแดนทวยเทพ แท็กซี่ตี๋น้อยจะโยนเขาลงไปในตรอกขี้หมู แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้เกิดการระเบิดเช่นนี้

หรือว่าแอปแท็กซี่ตี๋น้อยจะเล่นตุกติกกับพวกเขาเสียแล้ว?

“พวกเราน่าจะกลับมาถึงแผ่นดินตงเต้าแล้ว เพียงแต่ว่า…”

หลินเป่ยเฉินยกมือปาดเหงื่อและถอดหน้ากากสัตว์อสูรลายเปลวไฟลงจากใบหน้า ก่อนตบไหล่ปลอบใจไต้จือฉุน

ทันใดนั้น…

“พะ…พี่เป่ยเฉิน?”

เสียงที่บอกถึงความประหลาดใจสุดขีดดังขึ้นที่ด้านข้าง

หลังจากนั้น พุ่มไม้ข้างทางก็แหวกออก เงาดำที่มีกลิ่นเหม็นหึ่งคลานออกมาจากหลังดงไม้ ก่อนที่เงาดำนั้นจะกระโดดเข้ากอดรัดหลินเป่ยเฉินราวกับเป็นลิงน้อยตัวหนึ่ง

หืม?

หลินเป่ยเฉินกับไต้จือฉุนได้แต่หันมองหน้ากัน

“เหม็นชะมัด อสูรที่ไหนกันเนี่ย? อย่ามาเข้าใกล้ข้านะ…”

หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นผลักเงาดำนั้นออกไปโดยไม่รู้ตัว

วูบ!

เงาดำนั้นลอยกระเด็นออกไปกระแทกพื้นดินอย่างแรง มิหนำซ้ำ ยังไถลตัวครูดไปกับพื้นดินอีกหลายสิบวา สุดท้ายจึงไปหยุดเมื่อชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่ขนาดสิบคนโอบและต้นไม้ต้นนั้นก็เกิดรอยแตกร้าวขึ้นมาทันที

“เอ๋?”

ให้ตายเถอะ

หลินเป่ยเฉินยกมือกุมขมับของตนเอง

นี่เขาแข็งแกร่งขึ้นถึงขนาดนี้เชียวหรือ?

แต่เสียงที่ได้ยินเมื่อสักครู่นี้ฟังดูคุ้นหูชอบกล

เหมือนเขาเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน

“ฮื่อ ฮื่อ ฮื่อ…”

เงาดำที่นั่งพิงต้นไม้ร้องไห้ออกมา

เป็นเสียงของเด็กสาว

เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความเสียใจ

หลินเป่ยเฉินมองไปด้วยความพิศวงและคิดว่า ‘อสูรตัวนี้จะร้องไห้ทำไมกันนะ?’

แต่ยิ่งได้ยินเสียงนั้นมากเท่าไหร่ หลินเป่ยเฉินก็ยิ่งรู้สึกคุ้นเคยมากเท่านั้น

“หรือว่าเจ้าคือ… หูเหม่ยเอ๋อร์?”

หลินเป่ยเฉินรีบเดินเข้าไปหา จดจำได้แล้วว่าอสูรที่กำลังร่ำไห้อยู่นี้แท้จริงแล้วก็คือหูเหม่ยเอ๋อร์ ศิษย์สาวคนเล็กของสำนักคฤหาสน์กำยาน เพียงแต่ว่าปกติแล้วนางเป็นคนรักสวยรักงามและรักความสะอาดเป็นที่สุด เหตุไฉนจึงได้มีกลิ่นตัวเหม็นหึ่งเช่นนี้เล่า…

และเนื้อตัวที่มอมแมมนี่มันอะไรกัน?

“เป็นข้าเอง พี่เป่ยเฉิน เป็นข้าเอง… ฮื่ออ”

“หา? เป็นเจ้าหญิงจริง ๆ หรือ? ไม่ต้องร้องไห้นะ รีบลุกขึ้นมาได้แล้ว”

“ฮื่อ ท่านคนใจร้าย ท่านรังแกข้าในความฝัน…”

“เด็กน้อย ตั้งสติหน่อยสิ… ข้าว่าเจ้าเล่นใหญ่เกินไปแล้วนะ”

“ฮื่อ ท่านทำกระดูกข้าแตกหักแล้ว เจ็บเหลือเกิน ข้าขยับตัวไม่ได้”

“อ้อ งั้นเจ้าก็รีบพูดสิ… เดี๋ยวข้าจะช่วยรักษาเจ้าเอง”

หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นและปลดปล่อยพลังวารีบำบัดออกไป

ละอองน้ำสาดกระจายเต็มตัวหูเหม่ยเอ๋อร์

เด็กสาวมีม่านพลังสีเขียวบาง ๆ ครอบคลุมร่างกายโดยทันที

นางยืดแขนยืดขา ความเจ็บปวด ความเหนื่อยล้า ความหมดหวังสลายหายไป พลังลมปราณในร่างกายฟื้นฟูกลับมา และหูเหม่ยเอ๋อร์ก็สามารถลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง

หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความตะลึงลาน

นี่เขา…

เขากลับมาใช้พลังวารีบำบัดได้แล้วใช่ไหม?

เมื่อสักครู่นี้ หลินเป่ยเฉินเพียงใช้ออกไปตามความเคยชิน ไม่ได้นึกเลยว่าจะสามารถทำได้สำเร็จ

หูเหม่ยเอ๋อร์วิ่งกลับเข้ามาสวมกอดเขาอีกครั้ง

และด้วยความที่รูปลักษณ์กับกลิ่นกายของเด็กสาวมีความน่าขยะแขยงเกินไป หลินเป่ยเฉินจึงเกือบจะผลักเด็กสาวกระเด็นออกไปเป็นครั้งที่สอง…

แต่เขาก็ต้องทนถูกกอดอยู่เช่นนั้น “เจ้าลิงน้อยตัวเหม็น รีบปล่อยข้าได้แล้ว”

ทว่า หูเหม่ยเอ๋อร์กลับกอดเขาแน่นไม่ยอมปล่อยไม่ต่างจากห่วงเหล็กที่ไม่มีวันคลี่คลาย “เมื่อก่อนตอนที่ท่านจะลวนลามข้า ท่านเคยเรียกข้าว่านางพญาหงษ์ฟ้าน้อย แต่มาบัดนี้ ข้ากลายเป็นลิงน้อยตัวเหม็นไปเสียแล้วหรือ… ฮึ”

หลินเป่ยเฉินหันไปมองหน้าไต้จือฉุนด้วยความอึดอัดใจ

ไต้จือฉุนไม่ได้มีสีหน้าประหลาดใจสักเท่าไหร่

หลินเป่ยเฉินรีบเปลี่ยนเรื่องพูดทันที “เกิดอะไรขึ้น? ที่นี่คือแผ่นดินตงเต้าใช่หรือไม่?”

หูเหม่ยเอ๋อร์ยังคงกอดหลินเป่ยเฉินไม่ยอมปล่อย ตอบเสียงอู้อี้ว่า “ที่นี่ย่อมต้องเป็นแผ่นดินตงเต้า… ข้าจะไม่ปล่อยท่านหรอก แต่เรื่องของเรื่องก็คือบัดนี้พวกเรากำลังเดือดร้อนแสนสาหัส เหล่าท่านผู้อาวุโสและศิษย์พี่เสียชีวิตกันหมดแล้ว ข้าไม่อยากตื่นไปพบกับฝันร้ายอีกแล้ว ข้าจะไม่ยอมให้ท่านทิ้งข้าไปอีก…”

เด็กสาวคิดว่านี่คือความฝัน

เพราะนางเคยฝันเช่นนี้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน

หลินเป่ยเฉินรู้สึกได้ถึงหน้าอกนุ่มนิ่มที่บดเบียดเข้ามาอย่างแนบชิด

ทันใดนั้น…

“โฮก!”

เสียงคำรามของพยัคฆ์ตัวหนึ่งก็ทำให้ภูเขาและแผ่นดินสั่นสะเทือน

มวลอากาศเกิดความปั่นป่วนโกลาหล ก้อนหินเม็ดทรายฟุ้งตลบในอากาศ ต้นไม้ขนาดสี่คนโอบโค่นล้มลงอย่างถอนรากถอนโคน…

โลกทั้งใบพลิกกลับตาลปัตร

“ไม่ได้การแล้ว พยัคฆ์แดงโลหิตกำลังมา”

หูเหม่ยเอ๋อร์พูดออกมาด้วยความตื่นเต้น “มันรู้ตัวแล้ว พวกเรารีบไปกันเถอะ…”

แต่ทันใดนั้น ดวงตะวันขนาดใหญ่สองดวงก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้ายามราตรี พวกมันมีสีแดงฉานราวกับเป็นบ่อโลหิต ปลดปล่อยพลังคุกคามผู้คนอย่างหนักหน่วง

แล้วศีรษะขนาดใหญ่ยักษ์ของพยัคฆ์ตัวหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในสายตา

ลมหายใจที่พ่นผ่านจมูกของมันนั้นทำให้เกิดเป็นกระแสลมพายุหมุนสองสาย

“หืม? นี่มันไม่ใช่ความฝันแล้ว… หรือว่านี่จะเป็นความจริง?”

หูเหม่ยเอ๋อร์ตกตะลึง ตระหนักชัดแล้วว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ล้วนเป็นความจริงไม่ใช่ความฝัน ดังนั้นเด็กสาวจึงอุทานออกมา “ให้ตายเถอะ ดูเหมือนว่า… นี่จะไม่ใช่ความฝันแล้วกระมัง?”

หลินเป่ยเฉินเองก็สังเกตเห็นการปรากฏตัวของพยัคฆ์กลายพันธุ์เช่นกัน

“นี่มันอะไรกันเนี่ย? เสือยักษ์เหรอ? ทำไมตัวใหญ่ขนาดนี้ ทำอะไรได้บ้างวะเนี่ย?”

หลินเป่ยเฉินเงยหน้ามองด้วยความสงสัย จับจ้องไปที่พยัคฆ์แดงโลหิตอย่างใช้ความคิด

เขาฆ่าสัตว์อสูรมามากมายในหุบผาอเวจี แต่นี่คือครั้งแรกที่หลินเป่ยเฉินได้พบเจอกับเสือยักษ์ผู้มีหนามแหลมขึ้นตามร่างกายเช่นนี้

ดูจากรูปลักษณ์ของมันแล้ว น่าจะเป็นพวกเสือใหญ่ขี้โมโหแน่ ๆ

แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด หลินเป่ยเฉินถึงไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวเลย

มิหนำซ้ำ เขายังมองว่ามันดูดีมีเสน่ห์อีกด้วย

“เร็วเข้า พวกเรารีบหนีกันเถอะ…”

หูเหม่ยเอ๋อร์ได้สติขึ้นเป็นคนแรก ร่างกายสั่นเทา ใบหน้าที่พอกด้วยอึกลายเป็นสีขาวซีด ปฏิกิริยาแรกคือฉุดแขนหลินเป่ยเฉินและวิ่งหนี

อาณาเขตหากินของพยัคฆ์แดงโลหิตคือพื้นที่ต้องห้าม แม้แต่ผู้มีพลังขั้นเซียนก็ยังถูกเสือยักษ์ตัวนี้จับกินมาแล้ว

แล้วพวกนางจะไปเหลืออะไร

“จะหนีทำไมล่ะ?”

หลินเป่ยเฉินถามด้วยความพิศวง

“เพราะว่า… เพราะว่า…”

หูเหม่ยเอ๋อร์เพียงอยากบอกว่าเพราะอสูรร้ายกลายพันธุ์ตัวนี้น่ากลัวมากเกินไป

แต่ทันใดนั้น นางก็ต้องตกตะลึง

สิ่งที่ไม่น่าเชื่อได้บังเกิดขึ้นแล้ว

พยัคฆ์แดงโลหิตผู้ดุร้ายก้าวร้าวและมักจะจัดการสังหารเหยื่อได้ในเวลาไม่กี่ลมหายใจ ทันใดนั้น มันกลับคุกเข่าลงเบื้องหน้าหูเหม่ยเอ๋อร์ด้วยความเคารพและหวาดกลัว คล้ายกับว่าตัวมันกำลังพบเจออยู่กับสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวที่สุดในโลก

บัดนี้ พยัคฆ์แดงโลหิตไม่ต่างไปจากแมวน้อยผู้พบเจ้านายของตนเอง มันยื่นขาหน้าทั้งสองแนบพื้นดิน ก่อนจะก้มหัวลงทำความเคารพต่อหลินเป่ยเฉินอีกทั้งยังสะบัดหางดุ๊กดิ๊กอีกด้วย

หูเหม่ยเอ๋อร์ปากอ้าตาค้าง

นี่มันอะไรกันเนี่ย?

นางกำลังฝันไปใช่หรือไม่?

หลินเป่ยเฉินค่อย ๆ ยื่นมือออกไปลูบหัวพยัคฆ์แดงโลหิตแผ่วเบา ก่อนพูดอย่างยิ้มแย้มว่า “น่ารักจริง ๆ เลยเชียว แต่หัวเจ้าใหญ่ไปหน่อยนะ… ข้าลูบได้ไม่ถนัด”

เสียงพูดยังไม่ทันขาดหาย

ร่างของพยัคฆ์แดงโลหิตก็มีม่านพลังสีแดงครอบคลุม

แล้วร่างขนาดใหญ่ยักษ์ของมันก็เริ่มหดเล็กลง

เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น มันก็กลายร่างเป็นสัตว์อสูรที่มีขนาดเท่ากับเสือปกติ หางตวัดแกว่งอย่างสบายใจและเอียงหน้ารับการลูบหัวจากหลินเป่ยเฉินไม่ต่างไปจากแมวน้อยผู้น่ารัก

“โอ๊ะ ขยายร่างกับย่อร่างได้ด้วยสินะ”

หลินเป่ยเฉินเลิกคิ้วสูงด้วยความประหลาดใจ “มีความสามารถมากกว่าพวกราชาสัตว์อสูรที่ข้าฆ่าตายในหุบผาอเวจีซะอีก… ว่าแต่เจ้าเป็นอสูรสายพันธุ์อะไรและเป็นลูกใครล่ะเนี่ย?”