ตอนที่ 2,911 : คนโกหก
ที่อยู่อาศัยของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ เป็นรูปแบบเกาะลอย ทั้งแต่ละเกาะยังวิจิตรงดงามให้บรรยากาศราวกับเกาะศักดิ์สิทธิ์สูงส่งไร้ตัวตน
และเหนือขึ้นไปบนฟ้าสูงของที่อยู่อาศัยนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ ปรากฏเกาะลอยอิสระ 3 เกาะ แต่ละเกาะนั้นไม่ใหญ่โตอะไรมากมาย มีเพียงบ้านลานหนึ่งหลัง อีกทั้งตัวบ้านยังแลดูเรียบง่ายผิดกับอาคารในเกาะเบื้องล่างลิบลับ หากทว่าบุปผาทั้งพืชพรรณที่ปลูกบนเกาะลอยทั้ง 3 นั้น เพียงแลดูก็รู้ว่าไม่ธรรมดา เพราะไม่เพียงแต่จะงดงงามอย่างหาดูชมได้ยาก พวกมันยังแผ่กลิ่นอายไม่ธรรมดาออกมาอีก
“เถี่ยไท่เหอ ผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายอมตะไท่อี พร้อมด้วย ปรมาจารย์โอสถต้วน หัวหน้าปรมาจารย์โอสถของนิกายอมตะไท่อี มาเยี่ยมเยียนนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ!”
และหลังเถี่ยไท่เหอประกาศคำจนเสียงกึกก้องกังวาลไปทั่วนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ ร่างคน 3 คนในบ้านลานแต่ละหลังของเกาะลอยทั้ง 3 ที่ได้ยินเสียงเถี่ยไท่เหอ ก็อดไม่ได้ที่จะชะงักไปครู่หนึ่ง
หนึ่งในนั้นที่กำลังนั่งจิบชาอย่างสบายอารมณ์บนโต๊ะหินอ่อนในลานด้านหน้า พอได้ฟังมือที่ยกถ้วยชาของมันก็หยุดค้างไปชั่วครู่
“เถี่ยไท่เหอ?“
“นามนี้ มิใช่ผู้พิทักษ์ของนิกายอมตะไท่อีจากพื้นที่รกร้าง ที่พึ่งทะลวงถึงขุนนางอมตะ 7 ดาราเมื่อไม่กี่ปีก่อนหรือไร?”
ผู้ที่นั่งจิบชาอย่างสบายอารมณ์เป็นชายยชราในชุดคลุมขาว รูปร่างผ่ายผอม บรรยากาศทั่วเรือนกายให้ความรู้สึกราวเทพเซียน
แม้ชายชราจะกล่าวพึมพำด้วยสงสัย หากแต่สีหน้าแววตากลับสงบเฉยเมย คล้ายไม่ยึดถือเถี่ยไท่เหอเป็นตัวอะไร
ในลานของเกาะลอยอีกเกาะหนึ่งที่ลอยอยู่ไม่ห่างนัก ชายวัยกลางคนที่นอนเอนหลังอยู่ในสนามหญ้าหน้าลานคล้ายกำลังพักผ่อนตามอัธยยาศัย ก็ค่อยๆลืมตาขึ้นมาหลังได้ยินเสียงเถี่ยไท่เหอ จากนั้นก็ค่อยลุกขึ้นมานั่งพลางกล่าวพึมพำ
“เหอะๆ อาศัยขุนนางอมตะ 7 ดาราคนหนึ่แต่เหิมเกริมถึงขั้นกล้าบุกเข้ามาในนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับของข้า…ชีวิตของมันน่าเบื่อถึงขั้นรนหาที่ตายเชียวหรือ!?”
หลังกล่าวพึมพำจบคำ ลูกตาของชายวัยกลางคนก็ทอประกายเยียบเย็น หากใครมาเห็นแววตานี้ของมันไม่พ้นต้องรู้สึกเสมือนเหมันต์ฤดูมาเยือน ชุดคลุมสีน้ำเงินยังเริ่มโบกสะบัดไปไม่หยุด
ราวต้องลมหนาวกรรโชกแรง!
ส่วนเกาะลอยเกาะสุดท้าย ชายวัยกลางคนในชุดเขียวแต่เดิมที่กำลังรดน้ำต้นไม้อยู่ ก็ชะงักไปเล็กน้อยหลังได้ยินเสียงเถี่ยไท่เหอ ก่อนที่จะส่ายบัวรดน้ำในมือเพื่อรดน้ำต้นไม้ต่ออย่างไร้เรื่องราว
อีกทั้งสีหน้าของมัน แต่ต้นจนจบก็ไม่แปรเปลี่ยนไปแม้แต่น้อย ประหนึ่งให้ไท่ซานถล่มลงตรงหน้าคนก็ไม่นำพา
และหากมีใครมองเค้าโครงใบหน้าและรูปร่างของมันให้ดี ย่อมรู้สึกว่าช่างเหมือนกันกับชายวัยกลางคนในชุดสีน้ำเงินที่อยู่อีกเกาะลอยข้างๆไม่ผิดเพี้ยน เรียกว่านอกจากบรรยากาศที่แผ่ออกทั่วเรือนกายอย่างเป็นธรรมชาติแล้ว พวกมันไม่มีสิ่งใดที่ไม่เหมือนกันเลย
…
ณ ถิ่นที่อยู่ของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับชั้นนอก
หลังเถี่ยไท่เหอประกาศเสียงดังออกไปไม่ทันไร บัดนี้มันและต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อก็ถูกเหล่าศิษย์นิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับที่ทำหน้าที่ลาดตระเวนตรวจตราความเรียบร้อยห้อมล้อม ทีท่าแววตาของแต่ละคนแลดูระวังอย่างถึงที่สุด จับจ้องมองไปที่เถี่ยไท่เหอเขม็ง
ถึงแม้ว่าพลังฝึกปรือของเถี่ยไท่เหอจะไม่คู่ควรให้กล่าวถึงสำหรับระดับสูงๆของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ
แต่อย่างไรเสียมันก็คือขุนนางอมตะ 7 ดาราคนหนึ่ง สำหรับเหล่าศิษย์ของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับแล้ว แรงกดดันที่เกิดจากเถี่ยไท่เหอ ย่อมสามารถสะกดข่มพวกมันได้ชะงัก และหากอีกฝ่ายคิดลงมือเข่นฆ่า ก็คงจบชีวิตพวกมันได้ง่ายดาย
หากไม่ใช่เพราะที่นี่ยังมีผู้อาวุโสที่เป็นหัวหน้าหน่วยลาดตระเวนคุมเชิงอยู่อีกคน พวกมันย่อมไม่กล้ามาที่นี่ก่อนชนชั้นอาวุโสเด็ดขาด ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะมาปิดล้อมเถี่ยไท่เหออยู่แบบนี้
เพราะการปิดล้อมเถี่ยไท่เหอย่อมมีอันตรายอย่างสูง! เกิดอีกฝ่ายนึกเฮี้ยนเปิดฉากเข่นฆ่าสังหารขึ้นมา พวกมันไม่ย่ำแย่แล้วหรือ!!
‘เถี่ยไท่เหอ อาวุโสสูงสุดของนิกาอมตะไท่อีจากพื้นที่รกร้างผู้นี้ ฟังจากน้ำเสียงที่มันประกาศเมื่อครู่ เกรงว่าไม่ได้มาดีเป็นแน่…หวังว่ามันจะกริ่งเกรงพลังของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับเรา และไม่ลงมือกับพวกเราอย่างผลีผลาม’
เหล่าศิษย์นิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับที่มาปิดล้อมเถี่ยไท่เหออยู่ พากันครุ่นคิดในใจไปทำนองเดียวกัน
และพอคิดถึงเรื่องดังกล่าวขึ้นมา พวกมันก็ยิ่งเป็นกังวลมากขึ้น
ฟิ่ว! ฟิ่ว! ฟิ่ว! ฟิ่ว! ฟิ่ว!
…
ทว่าไม่นานนักในหูพวกมันก็แว่วเสียงแหวกฝ่าสายลมฉับไวดังขึ้นระงม จากนั้นก็ปรากฏเงาร่างมากมายวูบวาบมาถึงจากทุกทั่วสารทิศดั่งประกายแสง พาลให้เหล่าศิษย์และอาวุโสหน่วยลาดตระเวนพากันระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกทันที
หากก่อนหน้าพวกมันใช้สายตาท่าทีระวังทั้งกริ่งเกรงมองเถี่ยไท่เหอล่ะก็
บัดนี้สายตาท่าทีที่ใช้มองเถี่ยไท่เหอ กลับกลายเป็นมั่นมาดและถือดีทันที
“อาวุโสหงมาแล้ว! ท่านเป็นขุนนางอมตะ 8 ชะตา!!”
“ผู้อาวุโสฉีก็มาแล้วเช่นกัน! ท่านก็เป็นขุนนางอมตะ 8 ชะตาด้วย!”
“นอกจากนั้นทางด้านนั้นยังเป็นอาวุโสหวัง อาวุโสจู และอาวุโสเฉิน…ทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นขุนนางอมตะ 7 ดาราหมดสิ้น!”
“เหอะๆ คราวนี้นับว่าเถี่ยไท่เหออาวุโสสูสุดขอนิกายอมตะไท่อีถึงคราวเคราะห์แล้วจริงๆ…หาญกล้าบุกเข้ามานิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับเราอย่างโอหัง นับว่าเป็นการลูบคมนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับเราโดยแท้”
…
เมื่อเห็นเหล่าอาวุโสอันทรงพลังทยอยกันมาถึงมากมาย เหล่าศิษย์นิกายยอมตะสวรรค์ลี้ลับก็คล้ายรับประทานดีหมีหัวใจเสือ ทั้งฉีดเลือดไก่ซ้ำไปอีกขนาน แต่ละคนคึกคักอักโข แลดูทรงพลังขึ้นมาทันตาเห็น
ในบรรดาระดับสูงของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับนั้น มีร่างชราหนึ่งกับชายวัยกลางคนอีกหนึ่งที่ลอยร่างอยู่ด้านหนาสุด และเผชิญหน้ากับเถี่ยไท่เหอโดยตรง
ชายชรามาในชุดคลุมสีเขียวขี้ม้า ใบหน้าเย็นชาหาอารมณ์ใดๆไม่เจอ มันก็คือ ‘อาวุโสหง’ ที่เหล่าศิษย์ลาดตระเวนของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับเรียกขานก่อนหน้า
ส่วนชายวัยกลางคนนั้นมาในชุดคลุมสีเทาอ่อนใบหน้าเกลี้ยงเกาปานหยกเสลา เมื่อลุมาถึงน่านฟ้าจุดนี้ร่างมันก็หยุดลงด้านข้างอาวุโสหงอย่างพอดิบพอดี มองจ้องไปยังเถี่ยไท่เหอด้วยสายตาเย็นชา
และมันก็เป็นขุนนางอมตะ 8 ชะตา ที่เหล่าศิษย์ลาดตระเวนของนิกายอมตะสวรรค์เรียกขานว่า ‘อาวุโสฉี’ เมื่อครู่
“เถี่ยไท่เหอ เจ้าในฐานะอาวุโสสูงสุดของนิกายอมตะไท่อี ไฉนไม่รู้ผิดชอบชั่วดี หาญกล้าบุกเข้ามาในเขตนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับของพวกเราโดยไม่ได้รับอนุญาต วันนี้เกรงว่าเจ้าต้องหาคำอธิบายดีๆมาช้แจงให้พวกเราฟังหน่อยแล้ว”
อาวุโสหงมองเถี่ยไท่เหอด้วยสีหน้าแววตาเยียบเย็น กล่าวคำออกมาเสียงหนัก แลดูเอาเรื่องนัก!
“มิผิด”
อาวุโสฉีที่อยู่ข้างๆก็กล่าวเสริมออกมาอย่างประจวบเหมาะ สายตาที่มองจองเถี่ยไท่เหอยิ่งมายิ่งเย็นชา เอ่ยปากกล่าวคำออกมาเสียงขรึมว่า “เถี่ยไท่เหอเจ้าเป็นถึงอาวุโสสูงสุดของนิกายอมตะไท่อี เช่นนั้นเจ้าคงรู้กระมัง…ว่าเจ้าละเมิดกฏของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับเรา?”
“ถิ่นที่อยู่ของนิกายอมตะไท่อีของเจ้าเอง ก็สมควรห้ามมิให้คนนอกล่วงล้ำเข้าไปโดยไม่ได้รับอนุญาตเหมือนกันกระมัง?”
หลังกล่าวจบคำ อาวุโสฉีก็มองจ้องเถี่ยไท่เหอด้วยยสายตาแฝงความนัยประการหนึ่ง
“เถี่ยไท่เหอ! หากเจ้ามิอาจหาคำอธิบายดีๆเรื่องเจ้าบุกรุกเข้ามานิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับของพวกเรา เช่นนั้นวันนี้เจ้ามาได้ แต่อย่าหวังจะได้กลับไป!”
“ถูกต้อง! หากเจ้าไม่อาจหาเหตุผลอันสมควรมากล่าวต่อพวกเราได้ล่ะก็ ไม่ต้องถึงมืออาวุโสฉีกับอาวุโสหงแต่อย่างไร…แม้จะเป็นแค่พวกเรา แต่คิดจัดการเจ้ายังเหลือเฟือ!”
“เถี่ยไท่เหอ การกระทำอุกอาจของเจ้ามันมีราคาที่ต้องจ่าย…”
…
หลังอาวุโสหงกกับอาวุโสฉีที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาอาวุโสที่มาถึงตอนนี้กล่าวเปิด เหล่าอาวุโสด้านหลังก็เร่งกล่าวจามออกมาด้วยยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม
กระทั่งบางคนไม่เพียงแต่กล่าวออกเสียงเหี้ยมเท่านั้น จิตฆ่าฟันยังเริ่มแผ่ซ่านออกมาอย่างไม่คิดจะปกปิด!
เถี่ยไท่เหอที่อยู่ๆก็โดนอาวุโสของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับคาดโทษ มันก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอื้ออึงอยู่บ้าง
ฟังจากคำพูดของคนพวกนี้…หรืออีกฝ่ายคิดว่ามันนำทุกคนบุกเข้ามาถิ่นที่อยู่ของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ?
อย่างไรก็ตาม แม้เผชิญหน้ากับวาจาคาดคั้นเสียงเหี้ยมของเหล่าอาวุโสนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ เถี่ยไท่เหอก็ไม่ได้ตอบคำอะไร เพียงวูบร่างฉากหลบไปอยู่ด้านหลังต้วนหลิงเทียนทันที ทำราวกับทุกสิ่งอย่างวันนี้ ผู้ที่ตัดสินใจล้วนเป็นต้วนหลิงเทียน
การเคลื่อนไหวดังกล่าวของเถี่ยไท่เหอ ย่อมทำให้คนของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับงุนงงไปพักหนึ่ง
และตอนนี้เอง ไม่รอให้อาวุโสทั้งหลายกล่าวคำอะไรสืบต่อ ต้วนหลิงเทียนก็ก้าวออกมาเบื้องหน้า พลางกล่าวประกาศออกไปด้วยน้ำเสียงเฉยเมยไม่รีบไม่ร้อนว่า “วันนี้ไม่ใช่อาวุโสเถี่ยที่นำคนบุกเข้ามานิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับของพวกเจ้า แต่เป็นข้าเอง”
“ที่ข้ามาวันนี้มีจุดประสงค์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น…ข้าอยากจะได้ยินจากปาก ไป๋อวี่ซวน นายน้อยนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับของพวกเจ้า ว่าอาศัยมันสามารถรอดพ้นความตายจากน้ำมือของเหอซาน บรรพจารย์ไท่อีของนิกายอมตะไท่อี ที่คิดสังหารมันได้อย่างไร?”
พอดีกับที่ต้วนหลิงเทียยนกล่าวจบคำ สองตาเขาก็เผยประกายเยียบเย็นออกมาวาบหนึ่ง
และทันทีที่ได้ยินคำพูดดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน เหล่าอาวุโสของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับก็ ฉายรอยยิ้มเยาะ กล่าวเย้ยยออกมาเสียงดัง “อาศัยเจ้า? สามารถนำคนบุกเข้ามานิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับของพวกเราได้? เจ้ามีพลังสามารถถึงขั้นนั้นเชียวรึ?”
“นั่นสิ! ต่อให้เจ้าจักเป็นอัจฉริยะในเต๋าโอสถหมื่นปีไม่พบพาน…แต่พลังฝึกปรือเจ้าดูเหมือนจะพึ่งอยู่ในขอบเขตยอดเซียนยอมตะขั้นลี้ลับมิใช่หรือไร อย่างเจ้าน่ะหรือจะมีปัญญาฝ่าค่ายกลของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับเรามาได้?”
“เจ้าคิดว่าพวกเราเป็นตัวโง่งมหรือไร?”
…
ในขณะที่ระดับสูงของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับกล่าวคำถากถาง แววตาที่ใช้มองต้วนหลิงเทียนก็ทำราวกับแววตาที่ใช้มองคนปัญญาอ่อน
“เหอะๆ…ไม่ทราบว่าพวกท่านได้ยินเรื่องนี้มาหรือยัง แต่ข้าได้ยินจากคนของนิกายอมตะสราญรมย์มาว่า ภูมิหลังอันใดที่หัวหน้าปรมาจารย์โอสถของนิกายอมตะไท่อีกล่าวอ้างออกมา ล้วนแล้วแต่เป็นมันอุปโลกน์ขึ้นมาเองทั้งสิ้น”
“เรื่องนี้เองหรือ ข้าได้ยินมาสักพักแล้วเช่นกัน…เหอะ! คนที่สามารถปั้นแต่งได้กระทั่งภูมิหลังของตัวเองออกมาอย่างหน้าไม่อาย ยังจะหลงเหลือความน่าเชื่อถืออันใด?”
“มันอย่างดี ก็เป็นได้แค่คนโกหกเท่านั้น!”
…
เมื่อเหล่าอาวุโสของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับบางคนเปิดโปงเรื่องที่ภูมิหลังของต้วนหลิงเทียนในภาคกลางล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องปั้นแต่งออกมา ทั้งหมดก็พากันหัวเราะเยาะต้วนหลิงเทียนกันยกใหญ่ สายตาที่ใช้มองยังแฝงความดูถูกเพิ่มขึ้นหลายส่วน
“ข้าจะให้เวลาพวกเจ้า 3 ลมหายใจ…”
ทว่าต้วนหลิงเทียนไม่แยแสสาจาเยาะเย้ยถากถางของเหล่าระดับสูงนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับแต่อย่างไร เขาเพียงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเฉยเมย กลบเสียงถากถางของพวกมันว่า “และหากผ่านไปครบ 3 ลมหายใจแล้ว แต่ในบรรดาพวกเจ้ายังไม่มีใครออกไปตามตัวไป๋อวี่ซวนนายน้อยนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับของพวกเจ้ามาให้ข้า ข้าจะฆ่าพวกเจ้าคนหนึ่ง…”
“และหลังผ่านไปครบ 3 ลมหายใจอีกครั้ง และยังไม่มีใครไปตามตัวไป๋อวี่ซวนมาให้ข้าอีก…ข้าจะฆ่าเพิ่มอีกคน!”
“หลังจากนั้น ก็เหมือนกัน…”
ในขณะที่กล่าวจาดังกล่าวออกมา สีหน้าทั้งน้ำเสียงต้วนหลิงเทียนแลดูเฉยๆ คล้ายกำลังกล่าวถึงเรื่องไม่สลักสำคัญที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับตัวเอง
อย่างไรก็ตาม พอวาจาดังกล่าวของต้วนหลิงเทียนดังออกมา คนนของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับก็เงียบไปทันที
ครู่ต่อมา พอคนของนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับรู้สึกตัว ต่างก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมากันยกใหญ่
“ฮ่าๆๆๆ…โอย ข้าพเจ้าขำแทบตายแล้ว! พวกท่านได้ยินคำพูดมันชัดหรือไม่? มันบอกว่าหลังผ่านไป 3 ลมหายใจหากพวกเรายังไม่ไปพานายน้อยไป๋อวี่ซวนมา มันจะฆ่าพวกเราคนหนึ่ง!!”