บทที่ 2179 กดดันเหมือนไฟเผาหัว

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

หลังจากจัดที่อยู่ให้คนพวกนี้เรียบร้อยแล้ว ก็นับว่าบรรเทาเรื่องในใจเขาได้ หนึ่งเรื่อง
จากนั้นก็หยิบระฆังดาราอันหนึ่งขึ้นมากล่าวกับสองหยางด้วยรอยยิ้มว่า “โค่วหลิงซวีส่งข่าวมาแล้ว”
สองหยางสบตากันแวบหนึ่ง ก่อนหน้านี้เพิ่งติดต่อกับก่วงลิ่งกงไป
พอเชื่อมสัญญาณติดแล้ว โค่วหลิงซวีก็ถามทันที่ว่า : ได้ยินว่าประมุขชิงส่งกำลังพลหนึ่งพันห้าร้อยล้านไปโจมตีเจ้าเหรอ ?
เหมียวอี้ : ไม่มีถึงหนึ่งพันห้าร้อยล้านหรอก นั่นล้วนี้เป็นข่าวลือตอนนี้นอกดาวอ๋องสวรรค์หนิวมีกองทัพองครักษ์ห้าร้อยล้านกำลังดันทุรังโจมตี กองทัพองครักษ์สามร้อยล้านของฮวาอี้เทียนกำลังตามมาช่วย ในอาณาเขตของข้ามีกองทัพองครักษ์สี่ร้อยล้านกำลังโจมตีก่อกวน
พูดชัดเจนขณะนี้ ก็เพราะอยากให้อีกฝ่ายรู้ว่า แม้แต่ยามอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่กองทัพองครักษ์รวมกำลังพลทหาร เขากับประมุขชิงก็ยังโจมตีกัน เจ้าจู่โจมข้า ข้าก็จู่โจมเจ้าเหมือนกัน เจ้าวางกับดักข้าก็วางกับดัก ต่างก็ทาทุกทางโดยไม่สนวิธีการภายนอกล้วนอาศัยข้ออ้างว่าปราบกบฏ แต่ความจริงแอบระดมพลอย่างลับ ๆ คน

ภายนอกไม่รู้สถานการณ์ชัดเจนเลย สำหรับคนอย่างโค่วหลิงซวีกับก่วงลิ่งกง ถ้าไม่รู้สถานการณ์กำลังทหารของคู่ต่อสู้ชัดเจน ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะวู่วามลงมือ
โค่วหลิงซวีลองคำนวณคร่าว ๆ ถ้ามีไม่ถึงหนึ่งพันห้าร้อยล้านแต่ก็มีหนึ่งพันสองร้อยล้าน ในจำนวนั้นนมีห้าร้อยล้านบุกโจมตีไปที่รังของหนิวโหย่วเต๋อแล้ว เห็นได้ชัดว่าประมุขชิงจู่โจมเข้าไป ไม่อย่างนั้นก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ได้ข่าวเลยว่ากำลังพลห้าร้อยล้านเข้าไปในรังของหนิวโหย่วเต๋อแล้ว แบบนี้เท่ากับต้องการจะเล่นงานหนิวโหย่วเต๋อให้ถึงตาย เขาอดไม่ได้ที่จะปาดเหงื่อแทนเหมียวอี้ ถามว่า : เจ้าจะต้านได้นานเท่าไร ?
เขาลองคิดถึงความเป็นไปได้ที่จะร่วมมือกันไปช่วยเหลือแต่ฝั่งนี้ก็มีกำลังพลห้าร้อยล้านของแดนสุขาวดีโผล่มา ทำให้เขาปวดหัวนิดหน่อย
เหมียวอี้ : ต้านเหรอ ? ถ้าคนไม่มาล่วงเกินข้า ข้าก็ไม่ล่วงเกินใครแต่ถ้ามาล่วงเกินข้า ข้าก็ต้องล้างแค้น ในเมือมาแล้ว มีหรือที่คาดจะปล่อยพวกเขากลับไปอย่างปลอดภัย กำลังพลห้าร้อยล้านของฉวี่ฉางเทียนถูกทัพใหญ่สองพันล้านของข้าล้อมไว้หมดแล้ว กำลังพลสามพันล้านของฮวาอี้เทียนก็ถูกทัพใหญ่หนึ่งพันห้าร้อยล้านของเฉิงไที่เจ๋อล้อมไว้แล้ว กองทัพองครักษ์แปดร้อยล้านี้น ข้ากำจัดหมดแน่นอน แล้วกำลังพลสี่ร้อยล้านที่เหลือจะทำอะไรข้าได้เหรอ ?

โค่วหลิงซวีตะลึงพรึงเพริด ทัพใหญ่สองพันล้าน ? เห็นได้ชัดว่าวางแผนไว้ล่วงหน้าแล้ว! ทัพใหญ่หนึ่งพันห้าร้อยล้าน ? เฉิงไที่เจ๋อถ่อไปประสมโรงได้อย่างไร ? รีบถามว่า : เจ้ารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าประมุขชิงต้องการลอบโจมตีเจ้า ?
เหมียวอี้ : มีองค์รักษ์เงาลอบสังหารก่อนหน้านี้ แล้วตอนหลังก็มีกำลังพลดักซุ่มที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ มีหรือที่ข้าจะไม่ป้องกัน ? ประมุขชิงก็แค่ไม่ลงมือเท่านั้น ถ้ากล้าลงมือข้าก็กล้ากำจัดเขา!
โค่วหลิงซวีเหมือนโมโหนิดหน่อย : ทำไมเจ้าไม่บอกพวกเราตั้งแต่เนิ่น ๆ ทำไมต้องบุ่มบ่ามทาคนเดียว ?
เหมียวอี้ : จำเป็นต้องบอกข้าวด้วยเหรอ ? ตอนนี้จำนวนกำลังพลกองทัพองครักษ์ในอาณาเขตของเจ้ากับก่วงลิ่งกงก็แค่ห้าร้อยล้านเอง ถ้าทัพใหญ่หกพันล้านขอพงวกเจ้าเอาชนะกองทัพองครักษ์ห้าร้อยล้านไม่ไหว เช่นั้นนตามความเห็นของข้า พวกเจ้าสองคนก็นับว่าสิ้นสุดการเป็นท่านอ๋องแล้วเหมือนกัน
โค่วหลิงซวี : เจ้าอย่าลืมสิ ในมือประมุขชิงยังมีกองทัพองครักษ์แปดร้อยล้าน นั่นไม่ได้มีไว้ประดับเฉย ๆ นะ!
เหมียวอี้ : ข้าบ้านเดียวยังกดกำลังพลหนึ่งพันสองร้อยล้านของประมุขชิงได้เลย ทัพใหญ่ของประมุขชิงไม่ได้คิดอย่างอื่นแน่นอน จะต้องรวมกำลังบุกมาที่ข้าแน่ พวกเจ้าต้องช่วงชิงเวลาให้ข้า กดกองทัพองครักษ์ในอาณาเขตของพวกเจ้าเอาไว้ให้ดี อย่าสร้างความยุ่งยากให้ข้าเพิ่ม รอให้ข้ากำจัดกองทัพองครักษ์หนึ่งพันสองร้อย

ล้านทิ้งก่อน แล้วจะรวบรวมกำลังทหารไปรับศึกกับกำลังพลแปดร้อยล้านชุดสุดท้ายในมือประมุขชิง! ในเมือเขาจะเล่นงานให้ข้าถึงตาย ข้าก็ไม่คิดอะไรเอ่ย่างอื่นแล้วเหมือนกัน ยอมเป็นหยกแหลกลาญ ไม่ขอเปืนกระเบื้องสมบูรณ์ จะต้องสู้ตายกับกำลังหลักสุดท้ายของเขาแน่นอน ไม่ถอยเด็ดขาด ไม่มีทางให้ถอยแล้วด้วย!
โค่วหลิงซวี : ทัพใหญ่ห้าร้อยล้านของแดนสุขาวดีปรากฏตัวในอาณาเขตของข้าแล้ว
เหมียวอี้ : เถิงเฟยมัวไปทำอะไรกินอยู่ ? ให้เขาถ่วงเวลาไว้เดียวนี้ ให้เขาเคลื่อนกำลังพลออกมาช่วย! ขอเพียงอำนาจของประมุขชิงล้ม หากพวกเจ้ารวมกำลังกันแล้ว กำลังพลหนึ่งพันห้าร้อยล้านของประมุขพุทธะจะสู้พวกเจ้าได้กเหรอ ? คาดว่าคงไม่ต้องให้ข้าพูดหลักการมาก ถ้าตอนนี้พวกเจ้าไม่สนใจ พอข้าโดนประมุขชิงโค่นล้มแล้ว ต่อประมุขชิงจะต้องสู้กับพวกเจ้าแน่ ทุกคนอย่าได้หวังว่าจะอยู่เป็นสุข ข้าพูดเพียงเท่านี้ ส่วนพวกเจ้าจะเคลื่อนทัพหรือจะนิ่งดูดาย ก็เชิญตามสะดวก ข้าไม่บังคับ!
โค่วหลิงซวี : หนิวโหย่วเต๋อเอ๊ยหนิวโหย่วเต๋อครั้งนี้พวกเราถูกเจ้าลากลงน้าไปด้วยแล้ว
การที่พูดคำนี้ออกมาได้ ก็แสดงว่าในใจเขารู้แล้ว ว่าไม่สามารถทำตัวให้อยู่นอกเหตุการณ์นี้ได้แล้ว
เหมียวอี้ : จะบอกว่าโดนข้าลากลงน้าได้ยังไง จะว่าไปแล้ว พวกเจ้ายังต้องขอบคุณข้ามากก็วานี่เป็นเพราะข้ายังต้านไหวนะ

ไม่อย่างนั้นผลที่ตามมาของพวกเจ้าจะเป็นยังไง ก็สามารถจินตนาการได้เลย เป็นข้าที่ช่วยพวกเจ้าต่างหาก ขอบคุณก็ไม่มีสักคา ทำไมต้องมาบ่น ?
หลังจากทั้งสองฝ่ายติดต่อกันเสร็จแล้ว หยางเจาชิงที่อยู่ข้าง ๆ ก็รายงานว่า “ท่านอ๋อง เฉิงไที่เจ๋อพาคนในครอบครัวมาแล้วขอรับ”
“เชิญเข้ามา! ถือโอกาสให้หวังเฟยออกมารับแขกด้วย” เหมียวอี้กล่าว
เขาออกจากตาหนักใหญ่ด้วยตัวเอง ยืนต้อนรับอยู่บนบันไดนอกตาหนัก
ผ่านไปครูเดียว ก็เห็นเฉิงไที่เจ๋อปรากฏตัวพร้อมทั้งชายหญิงกลุ่มหนึ่ง รวมเป็นอนุภรรยาและลูกของเขา ทั้งยังมีแม่ทัพหลายคนติดตามอยู่ทางซ้ายและขว่าด้วย
พอเหมียวอี้เดินลงบันไดเฉิงไที่เจ๋อก็รีบเร่งฝีเท้าเดินออกจากคนข้างหลังทันที่ชิงก้าวมาข้างหน้า แล้วทั้งสองก็กุมหมัดคารวะทักทายด้วยรอยยิ้มตั้งแต่ไกล ๆ “ท่านอ๋อง!”
พอเจอหน้าก็พูดคุยกันอย่างเป็นมิตร เฉิงไที่เจ๋อทาท่าเหมือนขออภัยมาก “มัวแต่จับตาดูเรื่องทาศึกฝั่งฮวาอี้เทียน เลยมาช้า ท่านอ๋องโปรดอภัย”
เหมียวอี้กล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ท่านอ๋องเฉิงมาที่นี่อย่างสงบใจได้ ก็แสดงว่าการทำศึกในแนวหน้าราบรื่น ข้าก็ควรจะดีใจสิ”

“มา ทุกคนมาคานับท่านอ๋องหนิวกับห่วงเฟย” เฉิงไที่เจ๋อหันตัวไปกวักมือเรียกกลุ่มคนในครอบครัวให้มาคานับ
ทั้งชายทั้งหญิงทยอยกันโค้งตัวคานับ “คานับท่านอ๋องค่านับห่วงเฟยเหนียงเหนียง”
เหมียวอี้ผายมือขึ้น แล้วเอียงหน้าบอกใบ้อวิ๋นจือชิว
อวิ๋นจือชิวเข้าใจ ก้าวขึ้นมาข้างหน้าด้วยรอยยิ้มที่เป็นกันเองทั้นที่คุยกับบรรดาอนุภรรยาของเฉิงไที่เจ๋อเรียกขานกันว่าพี่น้องอย่างมีอัธยาศัยไมตรีมาก จากนั้นก็เชิญคนในครอบครัวให้ออกไปจากตรงนั้น เชิญไปดื่มน้ำชาที่สวนดอกไม้
ขณะมองคล้อยหลังคนในครอบครัวเดินตามอวิ๋นจือชิวไป ในใจเฉิงไที่เจ๋อก็รู้สึกปลงมาก ทัพใหญ่ของเขาส่วนใหญ่ถูกย้ายออกจากข้างกายเขาไปแล้ว ที่จริงแล้วตัวเองกับคนในครอบครัวกลายเป็นตัวประกันในมือเหมียวอี้แล้ว และครั้งนี้เขาก็พาครอบครัวมาส่งให้ถึงประตูด้วยตัวเองแสดงความจริงใจมากพอแล้ว
กลุ่มคนเดินออกไปอย่างครึกครื้น เหลือเพียงคนที่ทำงานเอาไว้ เหมียวอี้บอกว่า “ศึกใหญ่ด้านนอกกำลังดุเดือด ไม่ทราบว่าท่านอ๋องเฉิงยินดีจะติดตามข้าไปดูสนามรบเพื่อช่วยเสริมความน่าเกรงขามหรือไม่ ?”
” กำลังคิดอย่างนี้พอดี่” เฉิงไที่เจ๋อตอบด้วยสีหน้าจริงจัง

ดังนั้นผู้ชายกลุ่มหนึ่งจึงเดินก้าวยาวออกไป้พอออกจากจวนท่านอ๋องแล้วก็พุ่งขึ้นไปบนดาราจักรอย่างรวดเร็ว…
วังสวรรค์ ในวังหลังเกิดสถานการณ์วุ่นวายนาหวาดกลัวทั่วทุกที่กองทัพองครักษ์กลุ่มใหญ่กำลังให้บรรดาสนมทุกคนในวังหลังไปรวมตัวกัน
พระตาหันกอุทยาน บนท้องฟ้า หงส์และมังกรบินร่อนี้เป็นฝูง ทับใหญ่ที่รวมตัวกันด้านนอกกกหนาแน่นมาก
ในตาหนักใหญ่ ประมุขชิงที่ถือระฆังดาราหน้าดาคร่าเครียดินดหน่อย ก่วงลิ่งกงกับโค่วหลิงซวีติดต่อมาหาเขาโดยตรง
แค่ติดต่อมาหาเขาโดยตรงก็เป็นเรื่องที่พบยากแล้ว ติดต่อมาพร้อมกันก็ยิ่งพบยากยิ่งกว่า
โค่วหลิงซวีกับก่วงลิ่งกงจะมีอะไรดี ๆ พูดเสียที่ไหนักน กองทัพองครักษ์โจมตีอาณาเขตของพวกเขาแล้ว จะให้พูดดีด้วยก็แปลกแล้ว พวกเขามาเอาเรื่องและขอคำชี้แจง
ประมุขชิงแปลกใจมาก ย่อมยืนกรานปฏิเสธ พอเก็บระฆังดาราแล้วก็ตาหนิอู๋ฉวี่ที่ยืนอยู่เบื้องล่าง “กองทัพองครักษ์ในเขตทัพตะวันตกกับทัพเหนือกำลังโจมตีทัพตะวันตกกับทัพเหนือโดยพลการหมายความว่ายังไง ? ใครเป็นคนออกคำสั่ง ?”
ไม่โมโหก็แปลกแล้ว ฝั่งนี้กำลังโดนหนิวโหย่วเต๋อบีบจุดอ่อน แค่นี้ก็ทำให้เขากดดันเหมือนมีไฟเผาหัวแล้ว เขาจินตนาการได้เลย ว่า

กำลังพลกองทัพองครักษ์หนึ่งพันสองร้อยล้านของตัวเองโดนหนิวโหย่วเต๋อกดไว้แล้ว เมื่อเห็นว่ากำลังพลในมือถูกลดไปเยอะมาก ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะปลุกให้อำนาจหลายฝ่ายเกิดความทะเยอทะยานใจ การไปยั่วโมโหอำนาจเหล่านั้นไม่ใช้กับการรนหาที่ตายหรอก หรือ ? เท่ากับมอบข้ออ้างในการลงมือให้อีกฝ่ายโดยตรงแล้ว!
พวกซ่างกวนชิงตกใจไม่เบา นี่คือการราดน้ำมีนลงบนไฟจริง!
อู๋ฉวี่ก็ตกใจเช่นกัน “เป็นไปไม่ได้ ไม่มีทางที่จะถ่ายทอดคำสั่งอย่างนี้แน่นอน! หรือว่าสองฝ่ายนั้นจงใจหาข้ออ้างเพื่อเคลื่อนทัพ ?”
ประมุขชิงชี้หน้าด่า “แล้วทำไมเจ้ายังไม่รีบไปตรวจสอบอีก!”
อู๋ฉวี่รีบถ่ายทอดคำสั่งตรวจสอบความจริง ที่จริงก็ไม่ต้องให้เขาสืบหรอก เป็นไปไม่ได้ที่ทัพตะวันตกกับทัพเหนือจะนั่งรอให้โจมตีโดยไม่สวนกลับ กำลังระดมพลไปล้อมปราบกองทัพองครักษ์ที่ก่อเรื่องแล้ว เกิดความเคลื่อนไหวใหญ่โตขนาดนี้ จะไม่ให้สะเทือนถึง บุคคลระดับสูงของกองทัพองครักษ์ที่ก่อเรื่องก็คงยาก ย่อมต้องสืบให้ชัดว่าเรื่องเป็นอย่างไรกันแน่
ผลก็คือพบว่าในอาณาเขตทัพตะวันตกกับทัพเหนือมีกำลังพลสิบกว่ากลุ่มกำลังก่อเรื่องจริง ๆ เบื้องบนถามว่าเรื่องเป็นอย่างไร กำลังพลสิบกว่ากลุ่มที่ก่อเรื่องก็ล้วนให้ผู้ช่วยตอบคำถาม ต่างก็บอกว่าหัวหน้าภาคบอกว่าได้รับคำสั่งโจมตีจากเบื้องบน

เบื้องบนย่อมโมโหมาก จะมีคำสั่งแบบนี้ได้อย่างไรกัน ไปหาตัวแม่ทัพคนสำคัญที่ออกคำสั่งทันที่ผลปรากฏว่าแม่ทัพคนสำคัญติดต่อไม่ได้เลยสักคน หายตัวไปแล้ว ไม่รู้ว่าหายไปไหน
ในมุมหนึ่งของตาหนักใหญ่ จ้านหรูอี้กำลังยืน เงียบอยู่ในมุม โดยมีหยินซวงไป๋เสวี่ยอยู่เป็นเพื่อน
ทั้งสามถูกเรียกออกจากตาหนักเย็นแล้ว ไม่ค่อยได้พบเห็นประมุขชิงเวลาโกรธก็ฟัดกะเฟียดแบบนี้ หยินซวงกับไป๋เสวี่ยแอบตกใจ ตอนนี้หนิวโหย่วเต๋อมาถึงขั้นนี้แล้วเหรอ ? สามารถกดดันราชันสวรรค์ให้เป็นถึงขั้นนี้ได้แล้วเหรอ ?
สถานการณ์การรบโดยละเอียด ทั้งสามนั้นไม่รู้ แต่หลังจากถูกเรียกมา สิ่งที่ฝั่งนี้บอก็กคือหนิวโหย่วเต๋ออ๋องสวรรค์คุมทัพใต้ก่อกบฏแล้ว!
บอกไม่ถูกว่าในดวงตาจ้านหรูอี้แสดงความรู้สึกอย่างไร ตัวละครที่ในปีนั้นแตกต่างกับนางไม่เท่าไหร่ เขาเติบโตขึ้นมาทีละก้าวจนถึงทุกวันนี้ มีคุณสมบัติที่จะใช้กำลังทหารู้สกับราชันสวรรค์แล้ว แค่โบกมือก็สามารถบัญชาการให้กำลังพลนับร้อยล้านทาศึก ดูดกลืนใต้หล้า แต่นางล่ะ ตั้งแต่ถอดเกราะรบเขามาปรนนิบัติในวัง ก็เป็นตัวละครที่ต้องคอยเปลื้องผ้ามาตลอด…
เมื่อเข้าใจสถานการณ์ชัดเจนแล้ว อู๋ฉวี่ก็รายงานว่า “ฝ่าบาท มเรื่องนี้เกิดขึ้นจริง กำลังพลสิบกว่ากลุ่มสูญเสียการควบคุม…” เขารายงานสถานการณ์ให้ฟังอย่างละเอียด

ประมุขชิงเดือดดาลที่สุด ชี้เขาพลางตาหนิ “พวกเจ้ามัวไปทำอะไรกิน ? เวลาเลือกคนมาควบคุมกองทัพ พวกเจ้าหลับตาเลือกกัน หรือไง ?”
อู๋ฉวี่กล่าวด้วยสีหน้าขมขื่น “ฝ่าบาท น่าจะเป็นแผนชั่วของหนิวโหย่วเต๋อเบื้องล่างสืบประวัติคนพวกนั้นแล้ว พบว่ามีจุดร่วมเดียวกันหนึ่งอย่างนั่นก็คือคนพวกนั้นล้วนี้เป็นลูกน้องเก่าของหนิวโหย่วเต๋อตอนอยู่กองทัพองครักษ์ ล้วนี้เป็นผรู้อดชีวิตที่ติดตามหนิวโหย่วเต๋อไปโจมตีทัพเกรียงไกรหนึ่งล้านที่น่านฟ้าระกาติง”
ประมุขชิงทั้งตกใจทั้งโมโหยิ่งกว่าเดิม “ข้าจาได้ว่าลูกน้องเก่าของหนิวโหย่วเต๋อไม่ได้มีแค่คนพวกนี้นี่ ? ถ่ายทอดคำสั่งไปแต่ละหน่วยเดียวนี้ ควบคุมผู้ที่เกี่ยวข้องให้หมด!”
“สั่งให้คนไปปฏิบัติตามแล้วขอรับ” อู๋ฉวี่พยักหน้า
กำลังพลแต่ละหน่วยด้านนอกกกยงร่วมตัวกัน ฝั่งนี้รออยู่ไม่นานเท่าไร หลังจากอู๋ฉวี่ได้รับข่าวจากระฆังดาราอีกครั้งสีหน้าก็เปลื่ยนไปอีก เขาไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยปากอย่างไรด้ สุดท้ายก็ต้องแข็งใจรายงานว่า “ฝ่าบาท จับได้เพียงไม่กี่พันคน คนในครอบครัวของพวกนั้นเพิ่งหายตัวไปไม่นานก่อนหน้านี้”
“หนี้ไปแล้ว ? หายไปแล้ว ?” ประมุขชิงโมโหสุดขีดจนหัวเราะประชด “ดีมาก! นี่ก็คือกองทัพองครักษ์ที่พวกเจ้าดูแลให้ข้ามาหลายปี ใช้ที่ที่ใครคิดจะมาก็มา คิดจะไปก็ไปใช้มั้ย ?”

ในขณะนี้เอง ซ่างกวนชิงสาวเท่าเดินเข้ามา พอมาถึงข้างกายประมุขชิงก็รายงานว่า “ฝ่าบาท พี่หญิงลวี่ไม่ยอมย้าย นางบอกว่านางจะไม่ไปไหนทั้งนั้น”
“นางคิดจะทำอะไร ?” ประมุขชิงถามด้วยน้ำเสียงโมโห
“นางมาแล้วขอรับ บอกว่าจะขอเข้าเฝ้าฝ่าบาท” ซ่างกวนชิงตอบ
ประมุขชิงโบกมืออย่างหงุดหงิด
ผ่านไปไม่นาน แม่เฒ่าลวี่ถือไม้เท้าปรากฏตัวอยู่นอกตาหนัก เดินเข้ามาอย่างไม่ช้าไม่เร็ว
ประมุขชิงที่ก่อนหน้านี้ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ ตอนนี้พอเห็นเงาร่างของนาง ความโกรธก็หายไปหมดทันที่ทั้งตัวราวกับสงบลงอย่างรวดเร็ว ทาหน้านิ่งขณะมองนางเดินเข้ามาใกล้ที่ละก้าว ในดวงตาเผยอารมณ์ที่ซับขึ้นอธิบายไม่ถูก