กลางห้วงอากาศว่างเปล่ามีรุ้งเหินราวสายฝนไหววูบ มีดวงดาราใหญ่โตโคจรเจิดจรัส มีเมฆหมอกสีดำรูปร่างเหมือนไอขุ่นมัวระเหยขึ้น…

เส้นทางสายหนึ่งทะลวงผ่านอากาศ งดงามตระการตา ละอองแสงปลิวว่อนไปทุกหนแห่ง ยามเยื้องย่างอยู่ในนั้นราวกับสัญจรกลางสายธารแห่งเดือนปี

สวบ!

รุ้งเทพสีทองสายหนึ่งโฉบออกมาจากภายในเข็มทิศสัญลักษณ์ในมือหลินสวิน ยืดขยายออกไปในห้วงอากาศ จากนั้นก็เห็นได้ว่ามีพิกัดห้วงอากาศสว่างไสวจุดหนึ่งปรากฏขึ้น ณ สถานที่อันไกลลิบ

หลินสวินจิตใจจดจ่อ บินท่องเข้าไปในนั้น

แสงดาวสีเงินเจิดจรัสราวควันดุจมายาสายแล้วสายเล่าไหลเวียนวนบนร่างเขา ทำให้ยามเขาข้ามผ่านห้วงอากาศดูเหมือนมัจฉาแหวกว่ายกลางวารี เป็นอิสระดั่งใจนึก ทั้งไม่ได้พบกับอุปสรรคใด

นี่ก็คือพลังของอาภรณ์สวรรค์ปีกดารา

หากไม่มีสมบัติชิ้นนี้ ตอนทะลวงไปในห้วงอากาศไร้รูปร่างนี้ ก็จะถูกพลังกฎระเบียบห้วงอากาศอันน่ากลัวนั้นทำลายให้เป็นผุยผงในชั่วพริบตา!

‘เคลื่อนผ่านพิกัดห้วงอากาศอีกเจ็ดจุดเท่านั้นก็จะถึงที่หมายแล้ว…’

หลินสวินคาดคะเนอยู่เงียบๆ

เขาไม่กล้าเลินเล่อแม้แต่นิดเดียว

ตามที่มหาราชครูเผ่าทอเมฆาว่าไว้ ด้วยตอนนี้มหายุคมาเยือน กฎระเบียบฟ้าดินจึงแปรเปลี่ยนไปสิ้น โดยเฉพาะการเคลื่อนย้ายผ่านเขตแดนใหญ่กลางห้วงอากาศว่างเปล่า จะต้องระวังแล้วระวังอีก

เว้นแต่มีพลังระดับจักรพรรดิ หาไม่แล้วต่อให้เป็นอริยะ หากเกิดข้อผิดพลาดขึ้นระหว่างเคลื่อนย้ายกลางห้วงอากาศ ก็จะหลงทางไปชั่วนิรันดร์ หาทางกลับไม่ได้อีก!

ผ่านไปหนึ่งก้านธูป

หลินสวินใจเต้นระส่ำ เหลือเพียงพิกัดห้วงอากาศเดียวเท่านั้นก็จะกลับไปยังโลกชั้นล่างได้แล้ว

แต่ก็ในตอนนี้เอง หลินสวินพลันเห็นว่าในบริเวณว่างเปล่าไกลลิบมีสัตว์ประหลาดใหญ่โตหาใดเทียบตัวหนึ่ง เหนี่ยวนำดวงดารานับหมื่นพันแล้วเคลื่อนมาทางนี้ พาดผ่านห้วงอากาศไร้ที่สิ้นสุด

สัตว์ตัวนี้แค่เพียงเหล่าดวงตายังใหญ่โตเหมือนดวงอาทิตย์แรงกล้ากลางเวิ้งฟ้า แดงฉานน่าหวาดหวั่น แผ่กระจายรังสีน่าครั่นคร้ามอันเย็นชาไร้ปรานีออกมา!

เมื่อเทียบกับร่างกายมหึมาหาใดเทียบของมันนั้น ดวงดาวก็คล้ายลูกแก้วที่ไม่เตะตา…

หลินสวินสั่นสะท้านในใจ สัตว์ประหลาดตัวนี้อีกแล้ว!

เขานึกขึ้นได้ว่าตอนออกจากโลกชั้นล่างมายังดินแดนรกร้างโบราณก็เคยได้เจอสัตว์ตัวนี้ครั้งหนึ่ง ตอนนั้นอีกฝ่ายพุ่งเข้ามากระแทกตรงๆ

ทำให้หลินสวินที่กำลังข้ามห้วงอากาศอยู่ถูกจู่โจมอย่างน่ากลัวในทันใด!

และเพราะการโจมตีนี้ทำให้หลินสวินที่เดิมต้องการไปแดนชัยบูรพาในดินแดนรกร้างโบราณ กลับถูกเคลื่อนย้ายไปในแดนฐิติประจิม

และตอนนี้สัตว์ตัวนี้ก็ปรากฏตัวขึ้นอีกแล้ว

หลินสวินกล้าสาบานว่าเขาจำไม่ผิดแน่

สัญลักษณ์ลึกลับสีเงินคู่หนึ่งผุดขึ้นในส่วนลึกของดวงตาสัตว์ตัวนี้ คลุมเครือและเย็นเยียบ คล้ายสามารถกลืนกินดวงวิญญาณมนุษย์ได้

เหมือนกับที่หลินสวินเห็นตอนนั้นไม่มีผิด!

‘นี่มันตัวบ้าอะไรกัน ถึงพาดผ่านโลกแห่งห้วงอากาศว่างเปล่าไร้สิ้นสุดได้’

นัยน์ตาหลินสวินหดรัดลง สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดหาใดเทียบทันที

ยิ่งใกล้เข้ามาแล้ว

เขาถึงกับรู้สึกได้ว่ากลิ่นอายที่แผ่กระจายออกมาจากร่างสัตว์ประหลาดตัวนั้นน่ากลัวกว่าอริยะเสียอีก!

หลินสวินไม่กล้าลังเล ทุ่มพลังทั้งหมดเคลื่อนไปหาพิกัดห้วงอากาศสุดท้าย

เพียงแต่ที่เหนือความคาดหมายก็คือ คราวนี้สัตว์ประหลาดตัวนี้ไม่ได้บุกโจมตี มันคล้ายจำหลินสวินได้ สัญลักษณ์สีเงินไหลวนพลิกม้วนในดวงตาสีแดงฉานเย็นชาทั้งสอง มองดูความเคลื่อนไหวของหลินสวินอยู่เงียบๆ สายตาเจือไปด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก

คล้ายเหลือคาด ทั้งคล้ายประหลาดใจ และคล้ายไม่กล้าเชื่อ…

หลินสวินไม่ได้สังเกตเห็นสิ่งเหล่านี้ เมื่อพุ่งมาถึงพิกัดห้วงอากาศจุดสุดท้าย เขาไม่ลังเลแต่อย่างใด กระโดดเข้าไปทันใด

สวบ!

เงาร่างของเขาหายลับไปโดยสมบูรณ์

สัตว์ประหลาดตัวนั้นมองดูภาพที่เกิดขึ้นนี้ ยังไม่เคลื่อนไหวดังเดิม ร่างกายลอยอยู่ตรงนั้นเหมือนกับผืนพิภพมหึมาที่ลอยละล่องท่ามกลางความว่างเปล่าแห่งหนึ่ง

“หุบเหวกลืนกิน… ในที่สุดก็ได้พบเจ้าอีกแล้ว…”

เสียงเย็นเยียบเสียงหนึ่งดังขึ้นในโลกอันว่างเปล่าแห่งนี้ ในดวงตาสีแดงฉานของสัตว์ประหลาดตัวนั้นเจือไปด้วยแววพึงพอใจ

“ขอเพียงเจ้ามีชีวิตอยู่… ไม่ช้าก็เร็วพวกเราก็จะยังได้พบกันอีก…”

ขณะที่พึมพำ สัตว์ประหลาดตัวนั้นก็หันกาย บดขยี้ห้วงอากาศดังโครมครามแล้วหายไปในความเวิ้งว้างว่างเปล่า

……

โลกชั้นล่าง ปราการชายแดนเหนือสุดของจักรวรรดิจื่อเย่า

อาทิตย์อัสดงฉายแสง

เหนือสนามรบกลิ่นคาวเลือดควันไฟคละคลุ้ง บนพื้นมีศพนับหมื่น เลือดไหลเป็นสายธารมานานแล้ว

“ฆ่า!”

“ฆ่า!”

“ฆ่า!”

กองทัพสองกองยังคงประหัตประหารกันเต็มกำลังในสนามรบ ประหนึ่งกระแสน้ำเชี่ยวสองสายพุ่งปะทะ ประกายดาบเงากระบี่ ไอสังหารพลุ่งพล่านเต็มฟ้า

ฝั่งหนึ่งเป็นของกองทัพชายแดนจักรวรรดิจื่อเย่า มีประมาณสามพันคน โดยสารอยู่บนเรือรบสลักวิญญาณขนาดกลางของจักรวรรดิสามสิบหกลำ

ตู้มๆๆ!

บนเรือรบ ปืนใหญ่สลักวิญญาณอานุภาพยิ่งยงยิงเต็มกำลัง พ่นเปลวเพลิงยาวนับพันจั้งประหนึ่งแส้เทพอสนี เริงระบำหวดฟาด ตีการรุกรานของศัตรูครั้งแล้วครั้งเล่า พลังสังหารน่าตกตะลึง

ส่วนศัตรูมาจากสายคนเถื่อนวารีของเผ่าพ่อมดเถื่อน มีจำนวนประมาณพันคน พลังต่อสู้ต่างน่าตระหนก กล้าหาญไม่กลัวตาย มือถือเครื่องมือคนเถื่อนและสมบัติพ่อมดนานาชนิด

แม้จำนวนคนน้อยกว่า แต่กองทัพคนเถื่อนวารีกลับได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัด พุ่งไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่งดุจดั่งเมฆดำกดทับนคร บีบให้กองทัพจักรวรรดิถอยหลังอย่างต่อเนื่อง

ตูม!

ทันใดนั้นในกองทัพคนเถื่อนวารี เงาร่างที่มีหมอกวารีอบอวลร่างหนึ่งพุ่งทะลุเมฆ ยกค้อนยักษ์กระดูกขาวซัดลงมาอย่างรุนแรง เรือรบขนาดกลางของจักรวรรดิลำหนึ่งก็ได้รับความเสียหายหนักหน่วง ส่วนกลางของเรือถูกกระแทกเสียงดังเปรี๊ยะ เกิดเป็นหลุมใหญ่หลุมหนึ่ง

จากนั้นตัวเรือรบก็เสียสมดุลตกลงไปบนพื้นดิน

“หนีเร็ว!”

“ไป!”

บนเรือรบเสียงร้องแตกตื่นดังขึ้นทั่วไปหมด เหล่าแม่ทัพและพลทหารแห่งจักรวรรดิกระโจนออกมา แต่ระหว่างทางก็ถูกผู้แข็งแกร่งคนเถื่อนวารีกลุ่มหนึ่งล้อมไว้เหมือนกระแสน้ำ

ฝนเลือดและซากศพกระเซ็นกระสายเหมือนน้ำพุโดยพลัน

“ใต้เท้า! ใกล้จะยันไม่ไหวแล้ว กองทัพเราเหลือเรือรบที่ใช้ได้เพียงสามสิบห้าลำ”

แนวหน้าสนามรบในค่ายทัพจักรวรรดิ สายสืบรีบรุดมารายงาน ควันไฟและรอยไหม้เต็มหน้าไปหมด

สงครามเลือดครั้งนี้ฟาดฟันกันมาหนึ่งเดือนกว่าแล้ว พลรบชั้นเลิศฝั่งจักรวรรดิเสียไปแล้วเกือบหนึ่งแสนนาย

ส่วนฝั่งกองทัพคนเถื่อนวารี แม้จะได้รับความเสียหายหนักหน่วงเช่นกันแต่กลับมีกำลังเสริมไม่ขาดสาย ทั้งยามต่อสู้ยังกล้าหาญไม่กลัวตาย บ้าระห่ำถึงที่สุด

ตอนนี้พวกเขาบีบเข้ามาใกล้เส้นชายแดนเหนือสุดของจักรวรรดิแล้ว!

“ออกไปเถอะ ข้ารู้แล้ว”

เสียงแก่ชราเสียงหนึ่งดังขึ้นในค่ายทหาร คนผู้นี้เป็นชายชราแต่งกายด้วยชุดทหารของจักรวรรดิ แผ่นหลังตรงแน่ว หนวดเคราเผ้าผมเหมือนแร่เงินผู้หนึ่ง

ใบหน้าเขาซูบตอบ ดวงตาแหลมคมดั่งเหยี่ยว ประกายสายฟ้าแผ่พุ่งออกมาระหว่างที่มองไปโดยรอบ

ชายชรามีนามว่าจ่างซุนสยง เป็นผู้ควบคุมค่ายทัพเหนือสุดของจักรวรรดิแห่งนี้ เป็นผู้แข็งแกร่งระดับราชันที่มีผลงานการรบมากมายผู้หนึ่ง

“เปิดศึกทุกด้านหรือ พ่อมดเถื่อนเก้าสายพวกนี้จะฉวยโอกาสโจมตีตอนอ่อนแอสินะ…”

จ่างซุนสยงมุ่นคิ้วแน่น ในใจเขาก็หนักอึ้งอย่างเลี่ยงไม่ได้

หลายปีมานี้ฟ้าดินแปรผันอยู่ตลอด ไม่เพียงแต่ภายในอาณาเขตของจักรวรรดิเท่านั้น แม้แต่พื้นที่ชายแดนก็เกิดความเปลี่ยนแปลงน่าตระหนกหลายครั้ง

ก่อนหน้านี้พื้นที่เหนือสุดแห่งนี้เป็นที่ราบหิมะรกร้าง หนาวเหน็บหาใดเทียบแห่งหนึ่ง

ทั้งยังมีสันเขาสูงตระหง่านตามธรรมชาติพาดตัดระหว่างจักรวรรดิกับอาณาเขตของคนเถื่อนวารี ราวกับปราการธรรมชาติสายหนึ่งยับยั้งไว้ไม่ให้คนเถื่อนวารีรุกรานได้

แต่ตอนนี้เมื่อฟ้าดินแปรผันอย่างน่าตกตะลึง ที่ราบน้ำแข็งผืนนี้เปลี่ยนแปลงไปโดยสมบูรณ์นานแล้ว หิมะน้ำแข็งละลาย สันเขาที่พาดกั้นขวางยุบตัวลง แปรสภาพเป็นทุ่งหญ้ากว้างที่ไอวิญญาณเข้มข้น ต้นไม้สายน้ำงดงามสมบูรณ์แห่งหนึ่ง!

เมื่อไม่มีปราการธรรมชาติแล้วก็ไม่มีสิ่งใดขวางกั้นอีก คนเถื่อนวารีชักม้าเรียกพล หมายมั่นจะลงมือเต็มที ในที่สุดเมื่อเดือนก่อนก็จู่โจมพื้นที่ชายแดนเหนือสุดของจักรวรรดิทุกด้าน

ตามที่จ่างซุนสยงรู้ ตอนนี้ในบริเวณอื่นของจักรวรรดิ เช่นปราการชายแดนตะวันตกเฉียงใต้และชายแดนภาคตะวันออก ก็กำลังมีการต่อสู้ใหญ่อย่างไม่เคยมีมาก่อนปะทุอยู่

กองทัพของพ่อมดเถื่อนเก้าสายโอบล้อมหนาแน่น เริ่มรุกล้ำเข้ามาในเขตแดนของจักรวรรดิ สถานการณ์ไม่สู้ดีนัก

ที่ทำให้จ่างซุนสยงจิตใจร้อนรุ่มที่สุดก็คือภายในจักรวรรดิตอนนี้ก็ระส่ำระสาย สถานการณ์วุ่นวายไม่แน่นอน

ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะฟ้าดินแปรผันฉับพลัน!

ในช่วงหลายปีมานี้มีภูเขาวิญญาณและแดนมงคลจำนวนมากปรากฏขึ้นในจักรวรรดิ แม้แต่ไอวิญญาณกลางฟ้าดินยังแปรเปลี่ยนเป็นเข้มข้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน

สิ่งนี้เดิมทีก็เป็นเรื่องน่ายินดีเทียมฟ้าเรื่องหนึ่ง

ไอวิญญาณยิ่งเข้มข้นก็ยิ่งมีผลดีต่อการฝึกปราณ นี่เป็นเรื่องที่เหล่าผู้ฝึกปราณในจักรวรรดิในอดีตล้วนไม่กล้าคิดถึง

แต่เช่นเดียวกัน พร้อมๆ กับที่ฟ้าดินแปรเปลี่ยนฉับพลัน นกอสูรมาร สัตว์ปีศาจ ตัวประหลาด ภูตผีจำนวนมากก็ปรากฏตัวขึ้นในอาณาเขตของจักรวรรดิ…

อสูรมารปีศาจเหล่านี้ปรากฏตัวเป็นกลุ่มก้อน เข้ายึดเขาวิญญาณ ครอบครองแดนมงคล รุกโจมตีเมืองต่างๆ ในจักรวรรดิอย่างกำเริบเสิบสาน เผาฆ่าปล้นชิง ทำความชั่วทุกประการ

ในตอนนี้ต่อให้ระดมกำลังทหารทุกฝ่ายออกโจมตี ก็ยังไม่อาจยับยั้งความเหิมเกริมของมารปีศาจเหล่านี้ได้

กลับกัน การห้ำหั่นกับมารปีศาจเหล่านี้ทำให้จักรวรรดิเสียกำลังพลชั้นเลิศไปมาก บางเมืองก็ถูกมารปีศาจเหล่านั้นยึดครอง!

อีกทั้งเมื่อเวลาผ่านไป ฟ้าดินก็เปลี่ยนแปลงไม่ว่างเว้น ส่งผลให้อสูรมารปีศาจในจักรวรรดิก็ยิ่งมากขึ้นไป สถานการณ์ไม่สู้ดีอย่างยิ่ง

‘มีทั้งศึกในศึกนอกเลย…’

จ่างซุนสยงรำพึงในใจ

มหายุคก็คือกลียุค!

นี่เป็นถ้อยคำที่จักรพรรดิเคยกล่าวไว้เมื่อสิบกว่าปีก่อน ตอนนี้ดูท่าจะเป็นจริง

“ใต้เท้า กองทัพเรามีเรือรบเสียหายอีกสี่ลำ!”

เสียงร้อนรุ่มใจของสายสืบดังขึ้นนอกค่ายทหารอีกครั้ง

จ่างซุนสยงสะท้านในใจ รังสีเย็นเยียบไหวเคลื่อนในดวงตา รับรู้ได้ว่ารอไม่ได้อีกแล้ว

ตูม!

ครู่ต่อมาเงาร่างของเขาก็กระโจนขึ้นไปบนฟ้า

จ่างซุนสยงมองสนามรบที่อยู่ไกลออกไป ก็เห็นว่ากองทัพฝั่งจักรวรรดิกำลังกระเจิดกระเจิงไปเรื่อยๆ แม้ต้านทานการจู่โจมเต็มกำลัง แต่ก็ยังไม่อาจคลี่คลายสถานการณ์ได้

ฝั่งกองทัพคนเถื่อนนั้นก็กล้าหาญไม่กลัวตายทั้งสิ้น ได้เปรียบด้านกำลังโดยรวมอย่างเห็นได้ชัด

“ทหารจักรวรรดิของเราจงฟังคำสั่ง! ไม่ว่าอย่างไรวันนี้ก็ไม่อาจให้สวะพ่อมดเถื่อนเหยียบเข้ามาในอาณาเขตของจักรวรรดิเราได้แม้แต่ครึ่งก้าว!”

จ่างซุนสยงผมเผ้าเคราหนวดปลิวสยาย เสียงราวอสนีบาตสะเทือนกลางฟ้าดิน แผ่ขยายในสนามรบนองเลือดหาใดเทียบแห่งนั้น

ตูม!

พร้อมกับเสียงนี้ เงาร่างของจ่างซุนสยงก็พุ่งออกมา เหยียบย่างเข้ามาในสนามรบ ยกมือขึ้นโบกสะบัดพลังหมัดสายหนึ่ง บดขยี้เข้ากลางทัพศัตรูอย่างจังจนเป็นทางโลหิต ประหนึ่งรุ้งเทพทลายฟ้า!

ท่วงท่าทรงอำนาจหาใดเทียบนั้นทำให้พลทหารที่กำลังสู้ตายอยู่ต่างจิตใจฮึกเหิม เลือดในกายสูบฉีด

“หึ จ่างซุนสยง ในที่สุดเต่าหดหัวอยู่ในกระดองอย่างเจ้าก็ออกมาจนได้ คราวนี้เจ้าต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย!”

ทันใดนั้นที่ฝั่งทัพคนเถื่อนวารีก็มีเงาร่างสามร่างเคลื่อนออกมาดังสวบๆๆ ในรูปตัวอักษรผิ่น (品) ปิดล้อมจ่างซุนสยงไว้ตรงกลาง

เงาร่างทั้งสามล้วนแผ่กลิ่นอายระดับราชันน่าหวาดหวั่นออกมา ต่างเป็นผู้มีปราณระดับราชันเถื่อน

พริบตานั้นพลทหารจักรวรรดิหน้าเปลี่ยนสี ต่างคิดไม่ถึงว่าจะมีราชันถึงสามคนซ่อนตัวอยู่ในกองทัพคนเถื่อนวารี

เรื่องนี้ไม่เคยถูกพูดถึงในรายงานข่าวก่อนหน้านี้!

ต่อให้เป็นจ่างซุนสยงก็นัยน์ตาหดรัดลงทันที ในใจหนักอึ้ง รู้สึกได้ว่าศัตรูวางแผนเพื่อสังหารตนมานานแล้ว

——