“นี่เป็นแผนร้ายของตระกูลจั่วและฉิน!”
เมื่อได้ยินคำว่าขายชาติสองคำนี้ หลินเสวี่ยเฟิงโกรธจนสั่นเทิ้มไปทั่วร่าง ตาแทบถลน “พวกเขาหมายจะทำลายตระกูลหลินอย่างสิ้นเชิง ยึดภูเขาชำระจิตไปเป็นของตน!”
กล่าวพลางเขาก็เล่าเรื่องราวออกมาเป็นลำดับ
สิบปีก่อนฟ้าดินแปรผันฉับพลัน เกิดการปะทุอย่างสิ้นเชิง ทำเอาสถานการณ์ของจักรวรรดิก็พลอยพลิกผันไปด้วย
ตั้งแต่ตอนนั้น จักรพรรดิองค์ปัจจุบันและจักรพรรดินีก็ไม่เคยปรากฏตัวอีก ให้องค์ชายสามจ้าวจิ่งเหวินปกครองจักรวรรดิ รวมอำนาจจักรวรรดิจัดการงานราชสำนัก
ต่อมาภายในจักรวรรดิเกิดภัยจากสัตว์อสูรมารที่เข้ายึดครองเมืองในจักรวรรดิ เผาฆ่าปล้นสะดม ก่อกรรมทำชั่ว กลายเป็นภัยร้ายภายในใหญ่หลวงอย่างหนึ่งในอาณาเขตของจักรวรรดิ
หลังจากนั้นเผ่าพ่อมดเถื่อนเก้าสายยังถือโอกาสเคลื่อนไหว บุกล้อมโจมตีพื้นที่ชายแดนใหญ่ของจักรวรรดิ กลายเป็นศึกในศึกนอกที่ร้ายแรงอย่างหนึ่งของจักรวรรดิ
ตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา สถานการณ์จักรวรรดิก็ตกสู่ความสั่นคลอน ลมฝนซัดกระหน่ำ
และตั้งแต่ตอนนั้นเช่นกันที่สองตระกูลจั่วและฉินรับบัญชา รวบรวมผู้แข็งแกร่งจากขุมอำนาจใหญ่แต่ละแห่งของนครต้องห้ามในจักรวรรดิ มุ่งหน้าไปสยบภัยอสูรมาร ต่อต้านศัตรูภายนอกอย่างพ่อมดเถื่อน
ตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิต ในฐานะตระกูลทรงอิทธิพลชั้นกลางแห่งหนึ่งของนครต้องห้าม ย่อมต้องถูกเรียกตัวโดยไม่ยกเว้น
เดิมทีอุทิศชีวิตฆ่าศัตรูก็ไม่ถือเป็นอะไร
แต่ภายใต้การกำกับของสองตระกูลจั่วและฉิน เมื่อลูกหลานตระกูลหลินร่วมต่อสู้ แทบจะถูกส่งไปฆ่าศัตรูในพื้นที่สุ่มเสี่ยงและเหี้ยมโหดที่สุด
ช่วงไม่กี่ปีสั้นๆ พลังตระกูลหลินก็ยับเยินไปกว่าครึ่ง พลังตั้งต้นเสียหายอย่างหนัก!
ฟังถึงตรงนี้นัยน์ตาหลินสวินมีประกายเย็นวาบวูบผ่าน
ใช้ประโยชน์จากอำนาจในมือ ใช้ข้ออ้างว่าอุทิศชีวิตฆ่าศัตรูเพื่อจักรวรรดิ มาสูบพลังของตระกูลหลิน นี่หากเป็นกลอุบายอย่างหนึ่ง เจตนาก็ชั่วร้ายเกินไปแล้ว!
“แต่ว่า พวกเขาอยากจะโค่นล้มพวกเราตระกูลหลินเช่นนี้ก็เป็นไปไม่ได้”
หลินเสวี่ยเฟิงกล่าวต่อไปว่า “การต่อสู้และความลำบากหลายปีมานี้ ถึงแม้พวกเราตระกูลหลินจะสูญเสียลูกหลานไปไม่น้อย แต่ก็มีคนมากมายผงาดขึ้นมาในการต่อสู้ ถอดคราบกลายเป็นผู้แข็งแกร่งท่ามกลางการนองเลือด”
“อีกทั้งมีท่านพญาแร้งเป็นผู้ควบคุมสถานการณ์โดยรวม พลังแกนหลักของพวกเราตระกูลหลินจึงไม่ได้ถูกทำลายนัก”
“แต่ไม่นานมานี้ราชันอินทรีแดงมุ่งหน้าไปสนามรบโจมตีสังหารสัตว์อสูรมาร กลับถูกสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันคนหนึ่งของตระกูลจั่วมองเป็นพวกทรยศต่อบ้านเมือง ดำเนินการไล่ล่าสังหาร จนป่านนี้ไม่รู้เป็นหรือตาย!”
หว่างคิ้วหลินเสวี่ยเฟิงฉายแววแค้นเคืองที่ไม่อาจบรรยายได้ “หลายปีมานี้ราชันอินทรีแดงจงรักภักดี อุทิศแรงกายเพื่อตระกูลหลินของเรา ฆ่าสัตว์อสูรมารไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ เป็นไปได้หรือที่จะทรยศหักหลัง”
หลินสวินนึกขึ้นมา ปีนั้นหลังออกจากส่วนลึกของทะเลกลืนวิญญาณกลับมาถึงจักรวรรดิ ระหว่างทางได้กำราบราชันอินทรีแดงที่กระโดดมาท้าทายตน
และหลังจากนั้นเป็นต้นมา ราชันอินทรีแดงก็ถูกหลินสวินมองเป็นเหมือนผู้คุมกฎของภูเขาชำระจิต อุทิศตนให้แก่ตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิตเรื่อยมา
ปีนั้นตอนที่หลินสวินมุ่งหน้าไปดินแดนรกร้างโบราณ ราชันอินทรีแดงยังเคยกล่าวคำสาบาน ว่าชั่วชีวิตนี้ไม่เสียใจที่ยกหลินสวินเป็นนาย ยินดีติดสอยห้อยตามหลินสวินตลอดชีวิตที่เหลือเพื่อพิสูจน์มรรค
อสูรมารบำเพ็ญที่จงรักภักดีเช่นนี้ จะกลายเป็นพวกขายชาติไปได้อย่างไร
“และก็เพราะเรื่องนี้จึงถูกตระกูลจั่วใช้ประโยชน์ บอกว่าตระกูลหลินของเรามีข้อสงสัยว่าขายชาติ ยามนี้สองตระกูลจั่วและฉินกำลังเร่งรัดทำเวลา ประกอบคดีกุโทษ หมายจะยัดข้อหา ‘ขายชาติ’ สองคำนี้ใส่พวกเราตระกูลหลินให้ได้ ใช้จุดนี้บรรลุเป้าหมายทำลายตระกูลหลินของพวกเรา!”
กล่าวถึงตรงนี้หลินเสวี่ยเฟิงก็แค้นจนกัดฟันกรอด ดวงตาแดงก่ำ
“ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง…”
หลินสวินสีหน้าราบเรียบ มีเพียงแววตาที่เยียบเย็นมากขึ้นเรื่อยๆ
เริ่มจากอ้างเรื่องอุทิศชีวิตฆ่าศัตรูเพื่อจักรวรรดิมาสูบพลังของตระกูลหลิน ทำให้กำลังตั้งต้นของตระกูลหลินเสียหาย
จากนั้นก็ใช้ราชันอินทรีแดงเป็นตัวนำ ยัดข้อหา ‘ขายชาติ’ ให้ตระกูลหลิน วิธีการระดับนี้ ไม่ใช่แค่คำว่าชั่วช้าไร้ยางอายสองคำนี้จะสามารถบรรยายได้!
เหตุใดตระกูลจั่วและฉินถึงกล้าทำเช่นนี้
ง่ายนัก!
ไม่มีอะไรนอกจากจะคิดว่า ชั่วชีวิตนี้เป็นไปไม่ได้แล้วที่เขาหลินสวินจะหวนกลับสู่โลกชั้นล่างอีกครั้ง
กอปรกับราชันกระหายเลือดจ้าวไท่ไหลไม่อยู่ องค์ชายสามจ้าวจิ่งเหวินก็ปฏิเสธจะให้ความคุ้มครองแก่ตระกูลหลิน ถึงทำให้สองตระกูลจั่วและฉินกล้ามั่นใจไร้กังวลปานนี้!
คิดถึงตรงนี้แผ่นหลังหลินสวินก็เย็นวาบขึ้นมาระลอกหนึ่ง
ครั้งนี้สามารถหวนกลับมาจากดินแดนรกร้างโบราณได้ ไม่ง่ายเลยจริงๆ เพราะสาเหตุที่มหายุคมาเยือน อุโมงค์อากาศที่เชื่อมสู่โลกชั้นล่างล้วนพังสลาย
หากไม่ใช่เพราะตนไปขอความช่วยเหลือที่เผ่าทอเมฆา เกรงว่าคงไม่สามารถย้อนกลับมาได้เลย
สามารถจินตนาการได้ว่า หากครั้งนี้ตนไม่อาจกลับมาทันเวลา เกรงว่าตระกูลหลินคงต้องประสบกับหายนะดับสิ้นอย่างแท้จริงแล้ว!
หลินเสวี่ยเฟิงกล่าวว่า “เมื่อครู่ข้าก็ตั้งใจจะไปวังหลวง ไปขอเข้าเฝ้าองค์ชายสามจ้าวจิ่งเหวินอีกสักครั้ง หวังว่าราชวงศ์จะยื่นมือเข้าแทรกแซง ไม่ถึงขั้นให้พวกเราตระกูลหลิแบกรับโทษฐานขายชาติ แต่ตอนนี้ผู้นำตระกูลท่านกลับมาแล้ว ทุกอย่างย่อมต้องให้ท่านตัดสินใจ”
“เข้าเฝ้าองค์ชายสาม? ไม่จำเป็นแล้ว”
หลินสวินกล่าวเด็ดขาด
เมื่อครู่บนท้องถนน ขนาดคนสัญจรไปมาบางส่วนยังรู้ว่าจ้าวจิ่งเหวินกับตระกูลจั่วและฉินมีสัมพันธ์อันดีต่อกัน ในเวลาแบบนี้มีหรือเขาจะลุกขึ้นมาออกหน้าช่วยเหลือตระกูลหลิน
นี่ก็ไม่มีอะไร จากที่หลินเสวี่ยเฟิงว่ามา ก่อนราชันกระหายเลือดจ้าวไท่ไหลจะจากไปก็เคยกำชับเป็นพิเศษว่า หากตระกูลหลินมีเรื่องลำบากให้ไปขอความช่วยเหลือกับจ้าวจิ่งเหวินได้
แต่ผลลัพธ์เล่า ถูกปฏิเสธหลายต่อหลายครั้ง!
หลินสวินไม่อาจไม่สงสัย ในแผนร้ายที่จ้องเล่นงานตระกูลหลินครั้งนี้ จ้าวจิ่งเหวินก็ลอบเติมไฟใส่เชื้อเพลิงในเงามืดด้วยหรือไม่
“นอกจากสองตระกูลจั่วและฉินแล้ว ยังมีขุมอำนาจอื่นเข้าร่วมด้วยหรือไม่”
หลินสวินเอ่ยถาม สีหน้าไร้ความรู้สึก แววตาไม่สุขไม่ทุกข์
หลินเสวี่ยเฟิงส่ายหน้า “นี่ก็ไม่ค่อยรู้ชัดนัก แต่สิ่งที่มั่นใจได้ก็คือ แม้ขุมอำนาจใหญ่อื่นๆ จะไม่ได้ร่วมด้วย เกรงว่าก็คงกำลังรอดูเรื่องน่าขันของพวกเราตระกูลหลินอยู่”
หลินสวินร้องอืมหนึ่งครา เอ่ยถามอีกครั้ง “ตอนนี้สถานการณ์ของตระกูลหลินเป็นอย่างไรบ้าง ภายในส่อแวววุ่นวายอะไรหรือไม่”
“เรื่องนี้ไม่มีหรอก มีท่านพญาแร้งกับลุงจงเป็นผู้ควบคุม ตระกูลหลินของพวกเรากลมเกลียวเป็นกลุ่มก้อนตั้งนานแล้ว ตั้งปณิธานว่าจะร่วมเป็นร่วมตายกับภูเขาชำระจิต” หลินเสวี่ยเฟิงรีบกล่าวเป็นพัลวัน
หลินสวินลอบถอนหายใจโล่งอก กล่าวว่า “เช่นนี้ก็ดี”
ก่อนหน้านี้เขายังหวั่นใจอยู่บ้างจริงๆ เผชิญหน้ากับสถานการณ์สุ่มเสี่ยงเช่นนี้ ภายในตระกูลหลินอาจเกิดเหตุไม่คาดฝันมากมาย ใจคนระส่ำระสาย ถึงขนาดที่ว่าอาจเกิดเรื่องทรยศหักหลังเหมือนอย่างปีนั้น
นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แววตาหลินสวินเยียบเย็น ผุดแววมาดมั่นวูบหนึ่งก่อนเอ่ยปาก “ถึงเวลาจัดการบุญคุณความแค้นครั้งนี้สักหน่อยแล้ว”
น้ำเสียงราบเรียบกลับเจือไอสังหารไร้รูปคละคลุ้ง ทำเอาหลินเสวี่ยเฟิงที่อยู่ข้างๆ กลั้นหายใจ จิตใจจวนจะแตกสลาย
ภายในใจของเขาอดหวาดผวาไม่ได้ ไม่ได้พบกันสิบกว่าปี ปราณของผู้นำตระกูลบรรลุถึงขั้นน่าสะพรึงปานใดกันแน่
“เดินเล่นเป็นเพื่อนข้าสักหน่อย ชมยามค่ำคืนของนครต้องห้ามแห่งนี้เป็นอย่างไร”
ทันใดนั้นหลินสวินเอ่ยขึ้น
“ได้”
แม้ในใจจะรู้สึกประหลาด แต่หลินเสวี่ยเฟิงก็ยังพยักหน้ากล่าว
จากนั้นทั้งคู่ก็ลงจากเกี้ยวสมบัติ เดินบนท้องถนนที่พลุกพล่านดุจสายน้ำ
หลินสวินสีหน้าราบเรียบไม่หวั่นไหว เอามือไพล่หลัง นัยน์ตาลึกล้ำดุจหุบเหว ทอดมองออกไปยังที่แสนไกล
ภายใต้ม่านราตรี
เจ็ดสิบสองยอดเขาทรงอิทธิพลลอยอยู่กลางห้วงอากาศ ประหนึ่งเมืองกลางอากาศแห่งแล้วแห่งเล่า ไหลเวียนด้วยละอองแสงประกายเมฆหลากสี ดั่งฝันดุจมายา
บรรดาตระกูลทรงอิทธิพลที่มีอำนาจบารมีมากที่สุดในนครต้องห้าม ก็อยู่บนยอดเขาแต่ละแห่งบนนั้น
ในนั้นมีเจ็ดตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูง และมีตระกูลทรงอิทธิพลชั้นกลางอีกกลุ่มหนึ่ง
ปีนั้นตอนที่หลินสวินเพิ่งมาถึงนครต้องห้าม ตระกูลหลินตกต่ำไปนานแล้ว มีทั้งศึกในและศึกนอก บนภูเขาชำระจิตอันกว้างใหญ่เหลือแค่หลินจงคนเดียว
ในช่วงหลายปีต่อมา หลินสวินดิ้นรนหลายหน แหวกเส้นทางผงาดง้ำจากสถานการณ์สิ้นหวัง กว่าจะรวมตระกูลหลินเป็นปึกแผ่นได้ในที่สุด บารมีสะท้านนครต้องห้าม บีบจนตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงทั้งเจ็ดนั่นได้แต่กลั้นใจอดทน ไม่กล้าบุ่มบ่ามอีก
แต่ยามนี้หลินสวินเพิ่งรู้ชัดอย่างสิ้นเชิงว่า ศัตรู สุดท้ายก็คือศัตรู!
บางทีพวกเขาอาจกริ่งเกรง อาจอดทน แต่เมื่อเจ้าเผยจุดอ่อนแม้แต่นิดเดียว พวกเขาก็จะกรูเข้าใส่โดยไม่ลังเล กัดกินเจ้าอย่างดุดัน
ก็เหมือนกับตอนนี้ หากไม่ใช่เพราะคิดว่าตนไม่สามารถย้อนกลับมาจากดินแดนรกร้างโบราณได้ สองตระกูลจั่วและฉินมีหรือจะบังอาจเล่นงานตระกูลหลิน
แค้นนี้ ถึงเวลาที่ต้องชำระอย่างหมดจดแล้ว!
ในใจหลินสวินยิ่งแน่วแน่ขึ้นเรื่อยๆ
ปีนั้นที่เขาไม่ได้กำจัดศัตรูตระกูลหลินพวกนั้นให้สิ้นซาก ก็เพราะความแข็งแกร่งของตนไม่เพียงพอ ยังไม่สามารถกำราบตระกูลทรงอิทธิพลที่สูงส่งพวกนั้นได้
แต่ตอนนี้ ไม่เหมือนกันแล้ว!
“เสวี่ยเฟิง พวกเราไปกันเถิด กลับภูเขาชำระจิต”
หลินสวินยืนตระหง่าน
ยามค่ำคืนของนครต้องห้ามแห่งนี้ เขาดูจนพอแล้ว
ขณะที่หลินสวินและหลินเสวี่ยเฟิงนั่งเกี้ยวสมบัติ บนท้องถนนมีชายชราคนหนึ่งเหลือบมองโดยไม่ได้ตั้งใจและเห็นเงาร่างหลินสวินพอดี จู่ๆ เขาก็หน้าเปลี่ยนสียกใหญ่ นัยน์ตาแข็งทื่อ
“ต้องเป็นเขาแน่ หลินสวิน! ผู้นำภูเขาชำระจิตที่ได้ฉายาว่า ‘อำนาจทั่วนครหลวง’ ในปีนั้น ถึงกับกลับมาแล้ว?”
ครู่ใหญ่ชายชราพึมพำเสียงหลง
มองส่งเกี้ยวสมบัติหลังนั้นค่อยๆ ไกลลับไปบนท้องถนนพลุกพล่านยามราตรี ภายในใจชายชราผุดระลอกคลื่นโหมกระหน่ำคราหนึ่ง
ชายชราเป็นนักสลักวิญญาณคนหนึ่งในภาคีนักสลักวิญญาณ นามว่าเหอเยี่ยนชิว ปีนั้นเคยเห็นหลินสวินหลายครั้ง ย่อมไม่แปลกหูแปลกตากับลักษณะของหลินสวินอยู่แล้ว
และเพราะเหตุนี้ ยามที่มั่นใจตัวตนของหลินสวินในตอนนี้ เขาถึงได้ตกใจหาใดเปรียบ
เพราะในนครต้องห้ามไม่ว่าใครต่างก็รู้ดี ว่าเพราะมั่นใจว่าหลินสวินไม่สามารถกลับมาจากดินแดนรกร้างโบราณได้อีก ตระกูลหลินถึงเริ่มตกระกำลำบาก
ปีนั้นตระกูลหลินผงาดผยองในคราวเดียวขึ้นมาจากตระกูลตกต่ำ ใช้กำลังบีบจนเจ็ดตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงได้แต่อดทนอดกลั้น กระบวนการนี้ล่วงเกินคนไปไม่น้อย!
ตอนที่หลินสวินยังอยู่ ตระกูลหลินย่อมไร้กังวล แต่เมื่อเขาหายตัวไม่หวนคืน ฉับพลันสถานการณ์ของตระกูลหลินก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
อันดับแรก เป็นสองตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงอย่างตระกูลจั่วและฉินร่วมมือกันกำราบตระกูลหลิน
จากนั้นเมื่อได้รู้ว่าตระกูลหลินถูกองค์ชายสามจ้าวจิ่งเหวินที่ครองอำนาจในจักรวรรดิแต่เพียงผู้เดียวในยามนี้ชังน้ำหนา ขุมอำนาจที่แต่เดิมมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อตระกูลหลินส่วนหนึ่ง ก็เลือกจะขีดเส้นกั้นความสัมพันธ์ชัดเจนกับตระกูลหลิน!
หลังจากผ่านเรื่องราวทั้งหมดนี้ ทุกคนในนครต้องห้ามต่างรู้ดี ตระกูลหลินเสียอำนาจ ทอดสายตาไร้ญาติมิตร ยืนโดดเดี่ยวไร้ที่พึ่ง จวนจะล่มสลายย่อยยับ
ตอนนั้นเหอเยี่ยนชิวยังทอดถอนใจ คนจากลาน้ำชาเย็นชืด ทุกเรื่องบนโลกล้วนไม่เที่ยง ในใจยังรู้สึกเสียดายแทนตระกูลหลินไม่สิ้น
ว่ากันว่าตระกูลหลินยังถูกยัดข้อหา ‘ขายชาติ’ ด้วย หากถูกยืนยัน ตระกูลหลินทั้งบนล่าง ไม่ว่าชายหญิงเด็กคนแก่ล้วนต้องติดร่างแห ถูกล้างตระกูลก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้!
ภายในนครต้องห้ามยามนี้เรื่องนี้เป็นที่ฮือฮาอย่างที่สุด ผู้คนล้วนจับจ้อง
แต่เหอเยี่ยนชิวคิดไม่ถึงเป็นอันขาด
ในคืนนี้เอง ผู้นำภูเขาชำระจิตที่ถูกเข้าใจว่าไม่มีทางย้อนกลับมาคนนั้น ดันกลับมาแล้ว!
“หลังจากคืนนี้ นครต้องห้ามแห่งนี้ก็จะพลิกฟ้าแล้ว…”
เหอเยี่ยนชิวแหงนหน้าขึ้นมองเวิ้งฟ้า ภายในใจเกิดลางสังหรณ์รุนแรงอย่างหนึ่ง
ในเวลาเดียวกันนั้น หลินสวินและหลินเสวี่ยเฟิงก็มาถึงหน้าประตูเขาของภูเขาชำระจิต
…………