ตอนที่ 2926

War sovereign Soaring The Heavens

ตอนที่ 2,926 : กลุ่มหมาป่าหิวโหย

 

‘ตอนนี้ข้าแตกฉานวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังอย่างราชันไม่เคลื่อนไหวแล้วก็ปราณม่วงบูรพา ที่มีระดับขุนนางและพร้อมไปทั้งรุกรับและท่าร่างเรียบร้อย’

 

‘งั้นก็เหลือเวทย์พลังสนับสนุนอย่างปฐมเวทย์กลืนกินอย่างเดียว ที่ยังคงอยู่ในระดับสวรรค์…’

 

‘ทว่าเพียงเท่านี้ก็น่าจะพอเอาตัวรอดได้’

 

‘ต่อไปที่ต้องเร่งทำคือหาทางยกระดับพลังฝึกปรือให้ได้โดยเร็ว…ถึงแม้ระดับพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดกับพลังวิญญาณในปัจจุบันจะยังอยู่ในขอบเขตราชาอมตะ 5 องค์ประกอบ แต่สักวันมันก็ต้องหมดสิ้น…’

 

‘คงดีกว่าที่จะพึ่งพลังที่แท้จริงของตัวเอง และไม่หวังอะไรกับพลังภายนอกเช่นนี้ให้มาก…’

 

……

 

ถึงแม้ว่าพลังที่ได้รับจากอุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลือง จะยังเหลืออานุภาพขอบเขตราชาอมตะ 5องค์ประกอบอยู่

 

ทว่าต้วนหลิงเทียนไม่ได้หน้ามืดตามัวจนหลงระเริงไปกับพลังดังกล่าว

 

ถึงแม้ทุกครั้งที่ลงมือใช้ออกด้วยพลังขอบเขตราชาอมตะ จะทำให้เขาสัมผัสได้ถึงพลังอำนาจของตัวตนขอบเขตราชาอมตะ แต่เขาก็รู้ตัวดีว่าพลังที่แท้ของตัวเองยังคงอยู่ในขอบเขตยอดเซียนอมตะเท่านั้น

 

ตราบใดที่พลังอำนาจจากอุปกรณ์จอมราชันสิ้นเปลืองหมดลง ระดับพลังของเขาก็ต้องหวนกลับไปอยู่ในระดับเดิม

 

นอกจากนั้นอุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลือง ก็ไม่ใช่ว่าจะใช้ได้ตลอดไป มันใช้ได้ทั้งสิ้น 3 ครั้งเท่านั้น

 

ตอนนี้เขาได้ใช้มันไปครั้งหนึ่งแล้ว

 

กล่าวได้ว่าเขาเหลือโอกาสใช้มันได้อีกแค่ 2 ครั้งเท่านั้น

 

‘ทุกคนที่ข้าพบเจอก่อนหน้า ส่วนใหญ่ล้วนมีระดับพลังอ่อนด้อยยิ่งกว่าราชาอมตะมาก ทำให้ยามลงมือไม่จำเป็นต้องใช้พลังอะไรมากมาย’

 

ต้วนหลิงเทียนรู้ดีแก่ใจว่าไฉนที่พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดในร่างกายของเขายังเหลืออยู่มากพอสมควรนั้น เป็นเพราะเขาไม่ได้เจอคู่ต่อสู้ที่ร้ายกาจอะไร

 

หากเขาเจอศัตรูที่อยู่ด้อยกว่าระดับพลังที่มีไม่มากล่ะก็ เกรงวว่าถึงจะเข่นฆ่าอีกฝ่ายได้ พลังก็ถูกใช้ไปเกือบหมดแน่

 

และหากเป็นศัตรูที่มีระดับพลังใกล้เคียงกับพลังที่เขามีในตอนนี้จริงๆ เกรงว่าปะทะกันไปไม่กี่กระบวน พอระดับพลังเขาถดทอยน้อยลง อีกฝ่ายไม่พ้นต้องพลิกกลับมาเป็นฝ่ายฆ่าเขาได้แทน!

 

เนื่องจากพลังที่ได้รับจากอุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลือง มันใช้แล้วหมดไป ไม่อาจดำรงอยู่ได้ตลอด…

 

‘พลังจากอุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลือง เว้นเสียแต่จะเจอศัตรูที่สามารถบดขยี้มันได้ไม่ยาก…ไม่งั้นหากยิ่งฆ่ายากจนเสียเวลาลงมือมากขึ้นเท่าไหร่ พลังก็ยิ่งลดลงมากขึ้นเท่านั้น แถมอัตราที่ลดลงยังน่ากลัวอีกด้วย’

 

‘นอกจากนั้นถึงจะเป็นศัตรูที่สามารถบดขยี้ได้ แต่ถ้าระดับพังมันสูงถึงขั้น พลังที่ต้องจ่ายออกก็ยังไม่ใช่น้อยๆอยู่ดี’

 

ต้วนหลิงเทียนย่อมรู้ดีแก่ใจ ว่าที่เขาสามารถประหยัดพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดในร่างเอาไว้ได้ และเหมือนจะใช้ได้นานแบบนี้ ทั้งหมดเพราะศัตรูมันกระจอกเกินไป

 

ที่ร้ายกาจที่สุดก็แค่คนที่พึ่งทะลวงมาถึงราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิดเท่านั้น

 

‘หากข้าเจอตัวตนขอบเขตราชาอมตะ 9 ตำหนัก ถึงข้าจะพึ่งใช้อุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองจนมีพลังขอบเขตจอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิด แต่หลังฆ่ามันได้ ไม่พ้นพลังที่มีก็คงแทบไม่เหลือ…’

 

พอคิดถึงจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะทอดถอนในใจ ‘พลังภายนอก สุดท้ายก็เป็นแค่พลังภายนอกวันยังค่ำ ไม่อาจพึ่งพามันได้ทุกครั้ง…’

 

สุดท้ายแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือพลังของตัวเอง

 

เนื่องจากต้วนหลิงเทียนตระหนักได้ถึงเรื่องนี้ เขาจึงทุ่มเทเวลาระหว่างเดินทางไปกับการบ่มเพาะพลังหมดสิ้น

 

และเนื่องจากกูป๋อของฮ่วนเอ๋อ ตู้เฟย ได้ถ่ายทอดเคล็ดอมตะระดับราชา ไท่อี้สุดลี้ลับ ให้เขา บวกกับผลึกเทพของฮ่วนเอ๋อ ความเร็วในการบ่มเพาะของต้ววนหลิงเทียนก็ไม่ได้เชื่องช้าแม้แต่น้อย

 

ติดก็แค่ตอนนี้อยู่ด้านนอก ต้วนหลิงเทียนจึงไม่อาจใช้ผลึกเทพในการบ่มเพาะได้ จำต้องอาศัยผลึกอมตะรำดับต่ำมาถือไว้ในมือเพื่อดูดซับพลังในการบ่มเพาะแทน

 

ถึงแม้ด้วยระดับพลังวิญญาณและพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดในปัจจุบันของเขาจะรั้งอยู่ที่ ราชาอมตะ 5องค์ประกอบ และไม่จำเป็นต้องกลัวตัวตนที่อ่อนด้อยกว่านั้น ว่าพวกมันจะสามารถแอบซ่อนหลบเลี่ยงการตรววจวจับจากสำนึกเทวะเขาได้

 

แต่ผู้ใดจะไปรู้ว่าเขาจะพบเจอกับตัวตนเหนือกว่าราชาอมตะ 5 องค์ประกอบตอนไหน?

 

เช่นนั้นเขาจึงไม่อาจนำผลึกเทพของฮ่วนเอ๋อออกมาบ่มเพาะพลังในที่โล่งเช่นนี้ได้

 

ผลึกเทพมีค่าเกินไป

 

ไม่ต้องกล่าวถึงตัวตนขอบเขตราชาอมตะด้วยซ้ำ กระทั่งจอมราชันอมตะหรือแม้กระทั่งจักรพรรดิอมตะที่อ่อนด้อยบางคน ก็ยังถูกมันกระตุ้นความโลภด้วยซ้ำ

 

“หืม?”

 

หลังฮ่วนเอ๋อหอบหิ้วเดินทางได้ราวๆครึ่งเดือน ต้วนหลิงเทียนที่หลับตาจมอยู่ในภวังค์บ่มเพาะ อยู่ๆก็ลืมตาขึ้นมาอย่างกะทันหัน

 

ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!ฟุ่บ!

 

 

และหลังจากต้วนหลิงเทียนลืมตาขึ้นได้ไม่ทันไร ก็ปรากฏเสียงแหวกฝ่าสายลมดังขึ้น

 

‘ขุนนางอมตะ 1 ต้นกำเนิดหนึ่งคน กับ 8 ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุด!’

 

ด้วยสำนึกเทวะขอบเขตราชาอมตะ 5 องค์ประกอบ ต้วนหลิงเทียนย่อมค้นพบการมาถึงของกลุ่มคน 9คนได้แต่แรก ยังรับทราบระดับพลังฝึกปรือของพวกมันอีกด้วย

 

“ให้ตายเถอะ! ช่างเป็นสตรีที่งดงามนัก!!”

 

ครู่ต่อมาคนทั้ง 9 ที่ว่าก็มาขวางทางต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อเอาไว้

 

และชายวัยกลางคนตัวเตี้ยที่ลอยร่างนำหน้าสุด ก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมาด้วยลมหายใจหอบถี่ สายตาของมันยังมองจ้องฮ่วนเอ๋อเขม็ง

 

หลังมันสูดอากาศระงับสติแล้ว ลูกตาก็ลุกวาวขึ้นมาด้วยประกายแห่งความโลภ มองไปยังคลายหมาป่าหิวโหย ที่ได้พบพานเหยื่ออันโอชะ!

 

“ฮ่าๆๆๆ! พี่ใหญ่ ดูเหมือนวันนี้ไม่เพียงแต่พวกเราจะได้ปล้นทรัพย์ แต่ยังจักได้ปล้นสวาทอีกด้วย!”

 

1 ใน 8 ชายหนุ่มที่ติดตามอยู่เบื้องหลัง ก็โพล่งออกมาขณะมองฮ่วนเอ๋อด้วยความโลภ

 

โฉมงามนั้น ไม่ว่าผู้ใดก็สนใจ

 

นับประสาอะไรกับฮ่วนเอ๋อ ที่ดงามอย่างยากจะพบพานได้เป็นคนที่สองในโลกหล้า ตราบใดที่ยังเป็นบุรุษที่ใช้การได้ ไม่ว่าใครก็ต้องบังเกิดความปรารถนาอยากครอบครองนางทั้งสิ้น

 

และทั้ง 9 คนเบื้องหน้านั้น ก็เป็นกลุ่มโจรที่ออกหากินในพื้นที่แถบนี้มาหลายปี ประสบการณ์ปล้นชิงย่อมมีไม่น้อย

 

ในเมื่อชายหนุ่ม 2 คนเบื้องหน้านั้น เป็นสตรีชุดขาวที่เหินนำ และด่านพลังก็มีเพียงแค่ยอดเซียนอมตะขั้นสววรรค์เท่านั้น พวกมันก็ทราบได้ทันทีว่าชายหนุ่มที่อยู่ด้านหลังน่าจะมีพลังฝึกปรืออ่อนด้อยกว่า

 

และพวกมันทั้ง 9 ลำพังยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดก็มีกันถึง 8 คน! ไม่ต้องพูดถึลูกพี่ที่บรรลุถึงขุนนางอมตะ 1 ต้นกำเนิดแล้วเลย!!

 

และไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ชายหนุ่มชุดม่วงนั้นมีพลังฝึกปรืออ่อนด้อยกว่าสตรีดังกล่าว ต่อให้พลังฝึกปรือทัดเทียมกับสตรีนางนี้ ก็ไม่ใช่คู่มือของพวกมัน!

 

“ให้ตายเถอะวะ…ตั้งแต่เกิดมาบิดาพึ่งเคยพบเคยเจอสตรีที่งดงามถึงขนาดนี้ครั้งแรกจริงๆ…หากข้าได้ใช้ค่ำคืนวาบหวามกับนางสักคืน ชีวิตนี้ของข้าก็ไม่คิดเสียใจอะไรแล้ว!”

 

“ข้าเหมือนกัน ต่อให้ข้าต้องอดทับสตรีอื่นใดไปพันปีข้าก็ยอม!”

 

“ช่างงดงามเหลือเกิน…ใต้หล้ามีสตรีที่งดงามสมบูรณ์แบบเช่นนี้ดำรงอยู่ด้วยหรือ เกิดมาข้าไม่เคยพบเคยเห็นจริงๆ”

 

“วันนี้ช่างเป็นวันดียิ่ง! ถึงมีโชคพบเจอคนงามในที่เปลี่ยว!!”

 

 

อีก 6 คนก็พากันมองจ้องฮ่วนเอ๋อไม่วางตา สองตาพวกมันยิ่งมายิ่งฉายถึงตัณหาราคะ คำพูดยังไร้ยางอายมากขึ้นทุกขณะ

 

เรียกว่าพวกมันทำราวกับฮ่วนเอ๋อตกอยู่ในกำมือแล้วก็ไม่ปาน และสุดท้ายนางก็ได้แต่ต้องร้องขอความเมตตาจากพวกมัน!

 

“พี่ใหญ่…”

 

ตอนนี้เอง ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งในชุดผ้าแลดูธรรมดา อันเป็นคนสุดท้ายในบรรดาทั้ง 9 ที่พึ่งเอ่ยคำออกมา ก็มองไปยังขุนนางอมตะ 1 ต้นกำเนิดที่เป็นหัวหน้ากลุ่มโจร พลางกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ครั้งนี้…พวกเราล้มเลิก อย่าได้ลงมือเลยเถอะ”

 

ชายวัยกลางคนที่กล่าววออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจังนั้น กล่าวจบก็มองจ้องฮ่วนเอ๋อกับต้วนหลิงเทียนที่อยู่ด้านหลังฮ่วนเอ๋อด้วยสีหน้าแววตาเคร่งขรึม

 

ถึงแม้ว่าชายวัวยกลางคนผู้นี้จะไม่เคยเห็นต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อมาก่อน แต่ความสงบนิ่งของต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อ ก็ทำให้มันรู้สึกขนลุก ในใจบังเกิดความรู้สึกผิดท่าประการหนึ่ง

 

ถึงแม้ในอดีตมันจะเคยพบเจอคนที่แลดูสงบไม่หวาดกลัวเช่นนี้มาบ้าง แต่ถึงแม้คนเหล่านั้นจะยังนิ่งไม่ออกอาการอะไรอยู่ได้ แต่ก็ไม่เคยให้ความรู้สึกน่าขนลุกเช่นนี้มาก่อน!

 

นอกจากนั้นสตรีเบื้องหน้ายังงดงามเกินไป งดงามอย่างที่มันไม่เคยฝันถึงมาก่อนด้วยซ้ำ

 

สตรีที่งดงามถึงขนาดนี้ เป็นไปได้หรือที่จะเดินทางอย่างปลอดภัยมาถึงที่นี่ทั้งๆที่ไม่ได้ปกปิดรูปโฉม?

 

กล่าวอีกอย่างได้ว่า นางจะใช่คนธรรมดาๆแน่เหรอ?

 

“ล้มเลิก?”

 

ได้ยินคำพูดของชายวัยกลางคน ชายวัยกลางคนตัวเตี้ยที่อยู่ด้านหน้าก็อดไม่ได้ที่จะผงะไปครู่หนึ่ง “เจ้าบอกให้ข้าปล่อยโฉมงามยากพบพานที่เป็นดั่งตะพาบในไหไปงั้นหรือ?”

 

“หลังผ่านหมู่บ้านนี้ไป ไม่มีร้านค้าแล้ว…กล่าวได้ว่าหากพลาดครั้งนี้ ชั่วชีวิตเจ้าอาจไม่มีวันได้พบเจอสตรีที่งดงามเช่นนางอีกก็เป็นได้!”

 

ชายวัยกลางคนร่างเตี้ยกล่าวจบ ก็เริ่มกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ว่า “น้องรองหากเจ้ากลัวก็ถอยไปเสีย อย่าได้ทำเหมือนข้าบังคับให้เจ้าต้องกระทำสิ่งใดที่เจ้าไม่เต็มใจ!”

 

“พี่รอง หากท่านใจไม่กล้า ก็อย่าได้ทำลายกิจการดีงามของพี่น้องได้หรือไม่?”

 

“พี่รอง พวกเรารู้ว่าท่านเป็นคนระแวดระวังทั้งคิดมาก…แต่ครั้งนี้พวกเราไม่คิดว่าจะโชคร้ายเตะโดนตอเหล็กอันใดหรอก!”

 

“ถูกแล้วพี่รอง! หากท่านไม่สนใจการค้าประเสริฐก็ถอยไปเสีย ในอดีตท่านก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยมองผิดพลาดมิใช่หรือไร?!”

 

“พี่ใหญ่ท่านอย่าได้ไปฟังพี่รองเชียว การค้าดีงามเช่นนี้พวกเราจัดกันเลยเถอะ!”

 

 

อีก 7 คนนั้นไม่สนใจคำคัดค้านของชายวัยกลางคนแม้แต่น้อย แต่ละคนเอาแต่มองจ้องฮ่วนเอ๋อไม่วางตา ยิ่งมายิ่งคล้ายอดรนทนไม่ไหว แลดูกระสันอยากก่อการเต็มทีแล้ว

 

ขณะเดียวกันพวกมันก็ไม่ลืมชักชวนให้พี่ใหญ่ของพวกมันเร่งรุดลงมือ ด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะบ้าจี้ล้มเลิกตามชายวัยกลางคนที่พวกมันเรียกหาว่า พี่รอง ขึ้นมาจริงๆ

 

“น้องรองเจ้าเห็นหรือไม่…วันนี้ข้าคงไม่อาจเห็นแก่เจ้าแล้วละทิ้งส่วนรวมได้”

 

ได้ยินวาจาโน้มน้าวให้รุดเร่งลงมือของทั้ง 7ชายวัยกลางคนตัวเตี้ยก็ได้แต่มองกล่าวกับ น้องรอง ของมันด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ! อยากไรก็ตามในแววตาของมันไม่ได้บ่งบอกถึงความจนปัญญาอะไรแม้แต่น้อย ล้วนลุกโชนไปด้วยประกายแห่งความโลภประหนึ่งแววตาของหมาป่าหิวโหย!

 

เห็นได้ชัดว่าชายวัยกลางคนร่างเตี้ย ก็ไม่มีความคิดจะล้มเลิกการค้าไร้ต้นทุนครั้งนี้แม้แต่นิดเดียว!

 

“ช่างเถอะ…อย่างมากข้าก็แค่ตายไปพร้อมกับท่านเท่านั้น”

 

ชายวัยกลางคนรูปร่างปานกลางในชุดผ้าธรรมดาที่สมควรมีอาวุโสเป็นลำดับ 2 ของกลุ่ม ได้แต่ส่ายหัวไปมาอย่างจนปัญญา ขณะเดียวกันสีหน้าก็มืดมนคล้ายทำใจรอรับความตายเรียบร้อย

 

“น้องรองเจ้าอย่าได้ทำตัวเช่นนี้! หากเจ้าไม่คิดร่วมธุรกิจกับพวกเราครั้งนี้เจ้าก็ถอยไปเสีย! อย่าได้ทำเหมือนพวกเราจะฉุดลากเจ้าลงน้ำได้หรือไม่?”

 

ชายวัยกลางคนร่างเตี้ยขมวดคิ้วกล่าวคำ เห็นได้ชัดว่าเริ่มไม่พอใจขึ้นมาแล้ว

 

“นั่นสิพี่รอง หากท่านไม่ต้องการร่วมมือกับพวกเราท่านก็ถอยไปเสีย ดีเสียอีกที่พวกเรา 8 คนจักได้ส่วนแบ่งเพิ่มเติม! แล้วพอจบเรื่องท่านก็อย่าได้มาขอแบ่งอันใดเล่า!!”

 

พอชายวัยกลางคนร่างเตี้ยกล่าวออกมาอย่างไม่พอใจ คนอื่นๆอีก 7 คนที่เหลือเห็นว่าได้ที ก็รีบถล่มกันใหญ่

 

“พอได้แล้ว!”

 

ชายวัยกลางคนที่ถูกทุกคนรุมกล่าวทับถม ตะคอกคำตัดบท “ข้าไม่ไปไหนทั้งนั้น…ลงมือก็ลงมือเถอะ และไม่ต้องห่วงให้มาก หากเป็นข้ามองผิดไปเอง ข้าก็ไม่คิดรับส่วนแบ่งอันใดทั้งสิ้น”

 

กล่าวถึงท้ายประโยค น้ำเสียงของชายวัยกลางคนผู้นี้ก็แลดูมีโมโหอยู่บ้าง

 

“ให้มันได้ยังงี้สิพี่รอง! แต่ท่านพูดแล้วอย่าคืนคำนา ไม่หารก็คือไม่หาร! ชัดเจน!!”

 

“พี่รองท่านช่างสมแล้วที่เป็นพี่รองจริงๆ…น้องชายชมชอบพี่รองที่สุด ครั้งหน้าขอแบบนี้ให้ผู้น้องอีกทีได้หรือไม่?”

 

“ในเมื่อพี่รองก็เอาด้วยแล้ว…เช่นนั้นพวกเราจักรออันใดเล่า! รีบๆลงมือเถอะ ข้าอยากมีค่ำคืนฤดูใบไม้ผลิกับสาวงามเร็วๆ!!”

 

……

 

สายตาราวกับหมาป่าหิวโหย พากันหันมาจับจ้องฮ่วนเอ๋ออีกครั้ง