หลังจากนั้นก็เจอกับเซียนดินเผ่าปีศาจที่โขกหัวอ้อนวอน ยังมีภูตจิ้งจอกที่เรือนกายอรชรอ้อนแอ้น อายุมากถึงพันปี แต่ใบหน้ากลับยังเปล่งปลั่งอิ่มเอิบ มีความงามดุจเด็กสาว เห็นอิ่นกวานหนุ่มก็ทำท่าน่าสงสาร นั่งหันข้างเอามือกุมหัวใจ กัดริมฝีปากแน่น ทำท่าจะร้องไม่ร้อง ยิ่งมีเผ่าปีศาจที่พูดจาน่าเชื่อถือ บอกว่ายินดีให้คำสัตย์สาบาน พร้อมใจจะเป็นทาส ขอแค่ให้เขาได้มีชีวิตรอดออกไปจากที่นี่ ทว่าเฉินผิงอันไม่เคยเอ่ยอะไรสักคำ
เฒ่าหูหนวกยิ้มเอ่ย “ปีศาจจิ้งจอกตนนั้น แม้ว่าจะมีแค่เจ็ดหาง แต่หากใต้เท้าอิ่นกวานรับนางไปเป็นสาวใช้ก็ไม่ถือว่าเป็นการลดสถานะแต่อย่างใด เชื่อว่าใต้เท้าอิ่นกวานต้องมีอำนาจในเรื่องนี้แน่นอน อีกทั้งยังไม่ต้องกังวลถึงความจงรักภักดีของนางอีกด้วย”
เฉินผิงอันไม่ได้ตอบรับ
อยู่ดีๆ เฉินผิงอันก็นึกถึงบนเส้นทางระหว่างออกจากต้าสุยย้อนกลับบ้านเกิดในปีนั้น บนสะพานเลียบริมหน้าผาท่ามกลางค่ำคืนที่มีพายุหิมะ
หลายปีมานี้ได้ออกเดินทางไกลหลายต่อหลายครั้ง ปีศาจจิ้งจอกน้อยใหญ่ก็เคยเจอมาไม่น้อย แต่ไม่เคยมีโอกาสไปได้เยือนที่แคว้นหูของสกุลสวี่นครลมเย็นดูสักที สวีหย่วนเสียเคยบอกว่าต้องไปเยือนที่นั่นให้ได้ หากบุรุษไม่ไปเยือนแคว้นหูสักครั้งก็ไม่มีทางรู้เลยว่าอะไรที่เรียกว่าบ้านเกิดแห่งความอบอุ่นหลุมศพของวีรบุรุษ
ฮูหยินสี่ท่านของใต้หล้าไพศาล หนึ่งในนั้นคือฮูหยินแห่งภูเขาชิงเสินถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ที่สนิทสนมกับอาเหลียงไม่น้อย นอกจากนี้ก็มีถัวเหยียนฮูหยินจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางที่เร้นหายเข้ากลีบเมฆ นางใช้สวนดอกเหมยแห่งหนึ่งแลกเปลี่ยนมาด้วยการส่งจดหมายลับฉบับหนึ่งไปให้ถึงมือของเฉินฉุนอันผู้รอบรู้ในอนาคต ก็หนีไม่พ้นหวังว่าทักษินาตยทวีปจะปฏิบัติต่อภูตห้าขอบเขตบนอย่างนางดีสักหน่อย จะว่าไปแล้วนี่ก็เป็นทั้งยันต์คุ้มกันกายจากอริยะลัทธิขงจื๊อแผ่นหนึ่งที่ขอมาให้ถัวเหยียนฮูหยิน แล้วก็ทั้งเป็นเพราะเฉินผิงอันคิดพิจารณาเพื่อลู่จือในระยะยาว ขอบเขตสูงก็จะต้องมีความกังวลใหญ่ของขอบเขตสูง ทว่าลู่จือกลับไม่ใช่เซียนกระบี่ที่ยินดีจะทำอะไรอย่างขอไปที หากไปเยือนทักษินาตยทวีป นางลู่จือก็ต้องกลายเป็นคนต่างถิ่นแล้ว เมื่อบัณฑิตคิดบัญชีขึ้นมา ความวกวนอ้อมค้อมจะมีมากเพียงใด? กลัวก็แต่แผนการร้ายอย่างเปิดเผยที่บีบให้ลู่จือจำต้องออกกระบี่ นั่นต่างหากถึงจะเป็นปัญหาใหญ่เทียมฟ้า ดังนั้นเมื่อข้างกายของลู่จือมีถัวเหยียนฮูหยินคอยช่วยวางแผน จึงค่อนข้างจะทำให้คนวางใจได้ เพียงแต่เฉินผิงอันก็กังวลว่าถัวเหยียนฮูหยินจะมีความเห็นแก่ตัวและความเคียดแค้นรุนแรงเกินไป ลู่จืออาจจะได้รับอิทธิพลจากนางไปโดยไม่รู้ตัว
ดังนั้นหากเฉินฉุนอันออกหน้าจึงเป็นทั้งการปกป้อง และยิ่งเป็นการควบคุมจับตามอง ไม่ปล่อยให้ถัวเหยียนฮูหยินทำอะไรตามใจชอบ
เพียงแต่ตอนนี้ถัวเหยียนฮูหยินยังไม่รู้เรื่องนี้ คาดว่าตอนนี้นางคงยังสงสัยใคร่รู้อยู่เลยว่าคุณความชอบครั้งหนึ่งที่อิ่นกวานหนุ่มรับปากว่าจะมอบให้ สรุปแล้วจะสามารถแลกเปลี่ยนสิ่งของแบบใดกลับมาได้ เฉินผิงอันไม่มีท่าทีว่าจะบอกเตือนนางล่วงหน้า รอให้นางไปเยือนทักษินาตยทวีปเป็นเพื่อนลู่จือ ทุกอย่างก็จะกระจ่างแจ้งเหมือนหินผุดยามน้ำลดเอง
ยังมีฮูหยินอีกคนหนึ่งที่ถูกมองว่าเป็นเผ่าพันธุ์ตำหนักดวงจันทร์ดั้งเดิมที่สุด อีกทั้งยังไม่รู้ว่าเป็นหรือตายไปแล้ว ทว่าเฉินผิงอันแน่ใจมานานแล้วว่าคนผู้นั้นก็คือกุ้ยฮูหยินผู้ถวายงานเบื้องหลังตระกูลฟ่าน
สุดท้ายคือจิ้งจอกฟ้าเก้าหางที่เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตเซียนเหรินคนหนึ่ง ไม่รู้ว่าอยู่ที่ใดเหมือนกัน
ชั้นล่างสุดของคุก กรงขังที่อยู่ด้านหลังสุดมีลักษณะเหมือนคุกน้ำ น้ำลึกแค่สองฉื่อ ความกว้างประมาณหนึ่งไร่ น้ำเป็นสีเขียวมรกต โชคชะตาน้ำเข้มข้น ถึงขั้นสามารถจำแลงปลาน้อยสีเขียวออกมาได้หลายตัว บ่อน้ำใสกระจ่างจนมองเห็นทุกอย่างชัดเจน ปลาน้อยสีเขียวมรกตเหล่านั้นพลันหยุดนิ่งไม่ขยับคล้ายลอยตัวอยู่กลางอากาศ ด้านในขังเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ยื่นหัวออกมาข้างนอก เรือนกายด้านล่างศีรษะลงไปที่จมอยู่ใต้น้ำกลับมองไม่เห็นแม้แต่น้อย ราวกับว่ากลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับสายน้ำแล้ว
น่าจะเป็นวิชาเลี้ยงมังกรกระมัง?
บนใบหน้าของปีศาจเด็กหนุ่มมองเห็นร่องรอยของเกล็ดได้เลือนๆ บนหน้าผากทั้งฝั่งซ้ายและขวาปูดนูนขึ้นมาน้อยๆ เหมือนกระดูกอ่อน
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ยืนนิ่งไม่ขยับ ประสานสายตากับเด็กหนุ่ม
ตบะขอบเขตถ้ำสถิต เพิ่งจะกลายร่างเป็นคนได้ไม่นานเท่าไร
สืบสาวราวเรื่องกันแล้วก็ยังเป็นเพราะมีพรสวรรค์ที่โดดเด่น บนเส้นทางการฝึกตน คิดจะให้บรรพจารย์ประทานข้าวให้กิน ก็ต้องได้รับข้าวที่สวรรค์ประทานมาให้ก่อน ถึงจะรู้ว่าจะฝึกตนได้หรือไม่
เฉินผิงอันเริ่มเดินย้อนกลับพลางเอ่ยชื่นชม “ได้รับโชควาสนา ฝึกกระบี่ฝึกตน อาจารย์พาเข้าประตู ยิ่งได้ถามจิตแห่งมรรคา ลูกศิษย์สามคนนี้ของผู้อาวุโส ความสำเร็จบนมหามรรคาจะต้องทำให้คนตกใจตายได้แน่นอน”
สามคนซึ่งรวมถึงเด็กหนุ่มเป็นหนึ่งในนั้น ตอนนี้แบ่งขอบเขตออกเป็นถ้ำสถิต ประตูมังกร และคอขวดโอสถทอง
กรงขังแห่งนี้ไม่ได้จับขังอาเมาอาโก่ว (หมายถึงหมาแมว ตัวประกอบ คนที่ไม่มีบทบาทสำคัญ) ที่จับมาจากข้างทาง ยิ่งเป็นผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่อายุน้อยเท่าไรก็ยิ่งมีฐานกระดูกที่น่าตะลึงมากเท่านั้น
เฒ่าหูหนวกยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “ใต้เท้าอิ่นกวาน คงไม่ถึงขั้นนั้นกระมัง?”
คนหนุ่มผู้นี้ แน่นอนว่าตอแยด้วยยาก แต่เขาก็ยังสามารถตบอีกฝ่ายให้ตายด้วยฝ่ามือเดียวได้อยู่ดี
ปัญหาคือก่อนที่ตนจะลงมือ เฉินชิงตูคงตบตนให้ตายด้วยฝ่ามือเดียวไปก่อนแล้ว
หากเฉินผิงอันยืนกรานจะทำผิดสัญญา สังหารลูกศิษย์ทั้งสามคนของเขาไปพร้อมกันทีเดียว ด้วยนิสัยของเฉินชิงตู เขาจะเข้าข้างใคร จำเป็นต้องคิดด้วยหรือ?
เฉินผิงอันเอ่ย “แต่ไหนแต่ไรมาผู้อาวุโสก็รักษากฎเกณฑ์อยู่เสมอ ในใจผู้น้อยรู้สึกเลื่อมใสอย่างยิ่ง”
เฒ่าหูหนวกหลุดหัวเราะพรืด “แต่ว่า?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ผู้อาวุโสคุยเก่งเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นผู้อาวุโสก็พูดต่อเถอะ ผู้น้อยจะเงี่ยหูรอฟัง”
เฒ่าหูหนวกไม่คิดจะทำการค้ากับคนหนุ่มผู้นี้แม้แต่น้อย
เฒ่าหูหนวกถามเสียงดังว่า “เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส แบบนี้ก็ได้หรือ? ไม่ควบคุมหน่อยหรือไร?”
ไม่มีคำตอบรับ
เฉินผิงอันเอ่ยต่ออีกว่า “สามคนนี้ที่ผู้อาวุโสเลือกมา น่าจะมีคุณสมบัติเป็นห้าขอบเขตบนได้ทั้งหมดกระมัง?”
เฒ่าหูหนวกพยักหน้ารับอย่างจนใจ
เฉินผิงอันกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็คิดคำนวณเป็นขอบเขตหยกดิบคนหนึ่ง ขอบเขตเซียนเหรินสองคน แน่นอนว่าเป็นขอบเขตของผู้ฝึกกระบี่ ข้าต้องการขอโชควาสนาด้านการฝึกตนสามชิ้นมาจากผู้อาวุโส จะเป็นเวทคาถาหรือสมบัติอาคมก็ได้ทั้งนั้น หากเป็นเวทอาคมที่เหมาะให้เผ่าปีศาจไว้ใช้ฝึกตนย่อมดีที่สุด”
เฒ่าหูหนวกระบายลมหายใจโล่งอก ของเล่นพวกนี้สำหรับผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งแล้วล้วนถือเป็นของนอกกายทั้งสิ้น “ขอบเขตหยกดิบสองคน ขอบเขตเซียนเหรินหนึ่งคน หากโชคไม่ดีก็จะมีแค่ก่อกำเนิดคนหนึ่ง หยกดิบสองคน”
เฒ่าหูหนวกไม่ได้โกหก
ผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งมีคุณสมบัติของห้าขอบเขตบนหรือไม่ กับการที่ว่าสุดท้ายจะกลายเป็นเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนได้หรือไม่ เป็นคนละเรื่องกัน
พูดถึงแค่คนที่ยังมีชีวิตอยู่บนโลก ยังไม่ตายไป เยี่ยนเหมิง อินเฉิน น่าหลันไฉ่ฮ่วน มีใครบ้างที่ไม่ใช่ตัวอ่อนเซียนกระบี่ที่มีคุณสมบัติเลิศล้ำ แล้วทุกวันนี้ล่ะเป็นอย่างไร?
เฉินผิงอันตอบตกลง “เอาตามที่ผู้อาวุโสว่า”
เฒ่าหูหนวกยิ้มกล่าว “แน่นอนว่าคำเรียกขานว่า ‘ผู้อาวุโส’ ย่อมไม่เสียเปล่า”
เฉินผิงอันกุมหมัดเอ่ย “ผู้อาวุโสอย่าได้จดจำความแค้นเลย”
เฒ่าหูหนวกส่ายหน้า “ไม่หรอก”
เฉินผิงอันกล่าว “กรงขังแห่งนี้ อันที่จริงก็คือโครงกระดูกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สูญเสียศีรษะโครงหนึ่งกระมัง”
เฒ่าหูหนวกพยักหน้ารับ
เดินมาถึงกรงขังแห่งหนึ่งที่เดิมทีเฉินผิงอันนึกว่าว่างเปล่า จู่ๆ ก็มีคนผู้หนึ่งเดินออกมาจากหมอกพรางตา
เฉินผิงอันหันหน้าไปมอง คือสตรีที่มีใบหน้าซีดขาวราวหิมะ แต่ริมฝีปากกลับแดงฉาน รูปโฉมอ่อนเยาว์ บนข้อมือผูกถุงปักลายใบหนึ่ง
ใต้ศีรษะลงมา สภาพน่าสยดสยองจนแทบทนมองไม่ได้ ต้องไม่ใช่คนแน่นอน เรียกได้ว่าเหมือนผียิ่งกว่าผีเสียอีก
ไร้ผิวหนัง แทบจะโปร่งแสง อวัยวะภายใน เส้นเอ็น กระดูก กำลังขยับหยุบหยับ
เฉินผิงอันก็เป็นคนที่เห็นคาวเลือด เห็นภาพพิลึกพิลั่นมาเยอะแล้ว แต่การที่อยู่ดีๆ ได้เห็นสตรีผู้นี้ก็ยังอดรู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะไม่ได้
ที่คฤหาสน์หลบร้อนไม่มีบันทึกใดๆ ที่เกี่ยวกับนาง
นางเดินมาใกล้ราวรั้ว จากนั้นก็เดินออกมาหนึ่งก้าว แทบจะใบหน้าแนบใบหน้ากับเฉินผิงอัน เฉินผิงอันยืนนิ่งไม่ขยับ
เฒ่าหูหนวกยิ้มเอ่ย “นางชื่อว่าเหนี่ยนซิน เป็นคนเย็บผ้าที่หนีภัยมาที่นี่ ในอดีตตอนอยู่เกราะทองทวีปได้สร้างคลื่นลมมรสุมที่ใหญ่มาก”
เฉินผิงอันกระจ่างแจ้งอยู่ในใจ
คนเย็บผ้า
หาได้ยากยิ่ง
เฉินผิงอันเคยเปิดเจอในเอกสารลับของคฤหาสน์หลบร้อนเล่มหนึ่งที่เอาไว้บันทึกเกี่ยวกับผู้ฝึกตนนอกรีตโดยเฉพาะ
ไม่ถือว่าเป็นปฏิทินเหลืองเก่าแก่ แต่เพราะชั่วร้ายนอกรีตเกินไป คือวิถีแห่งมาร
ในประวัติศาสตร์ของใต้หล้าไพศาล เคยถูกผู้ฝึกลมปราณสายยันต์ดั้งเดิมสังหาร เห็นกี่คนก็ฆ่าทิ้งเท่านั้น
สี่ผีร้ายตอแยยากบนภูเขาได้แก่ผู้ฝึกกระบี่ คนเชื่อดาบของสำนักโม่ นักพรตแห่งเรือนซือเตา และลูกศิษย์สำนักนิติธรรม ทว่าผู้ฝึกตนเหล่านี้ก็แค่รับมือด้วยยากเท่านั้น ทำให้ผู้ฝึกลมปราณประเภทอื่นๆ กริ่งเกรงที่สุด แต่ไม่ถือว่ามีชื่อเสียงฉาวโฉ่ นอกจากนี้ยังมีผู้ฝึกตนอีกสิบประเภทที่เรียกได้ว่าเป็นดั่งหนูวิ่งข้ามถนน เทียบกับผู้ฝึกตนอิสระแห่งป่าเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ ไม่ว่าใครเห็นก็อยากสังหาร
ยกตัวอย่างเช่นตู๋ฉีหลางแห่งทะเลทักษิณที่พกเอาข้องราชามังกรคอยไล่จับเจียวที่เหนื่อยล้าให้แก่จักรพรรดิบ้านตัวเอง ขอบเขตไม่สูง เป็นแค่เซียนดินเท่านั้น แต่ขนาดเซียนกระบี่ก็ยังฆ่าไม่ตาย ชอบที่จะไปแอบขโมยโชคชะตาน้ำบนชายฝั่ง แล้วยังมี ‘กว้อเค่อ’ (แขกที่ผ่านทางมา) ที่ชอบหลอมสุสานหลุมศพโดยเฉพาะ ซึ่งง่ายที่จะนำให้ทหารหยินข้ามอาณาเขต
ส่วนสตรีที่อยู่ตรงหน้าเฉินผิงอันผู้นี้กลับเป็นคนเย็บผ้าที่กล่าวขานถึงในตำนาน เชี่ยวชาญวิถีสายยันต์ เพียงแต่ว่าได้แค่ใช้หนังมนุษย์มาทำเป็นกระดาษยันต์อย่างเดียวเท่านั้น
รากฐานมหามรรคาของอีกฝ่ายก็คือการ ‘ตัดชุดแต่งงานให้ผู้อื่น’
ในบันทึกของเอกสารลับ หากต้องการฝึกวิชานี้ก็จำเป็นต้องถลกหนังออกมาก่อน ต้องทนรับความเจ็บปวดจากการถูกถลกหนังได้ นั่นถึงจะเป็นก้าวแรก
ก้าวที่สองก็คือต้องเดินทางผ่านอาณาเขตอินหมิงซึ่งคล้ายคลึงกับด่านประตูผีนครเฟิงตูที่แท้จริง หลังจากนั้นยังมีอีกหลายด่านให้ต้องข้ามผ่าน
ตอนนั้นเฉินผิงอันก็สงสัยอย่างมากแล้วว่า เลือกฝึกตนวิชานี้ไปเพื่ออะไรกันแน่?
สตรีผู้นั้นถอยหลังไปหนึ่งก้าว เดินวนรอบเฉินผิงอันหนึ่งรอบ พอหยุดเดินก็ถามว่า “เจ้าอายุเท่าไรแล้ว”
เฉินผิงอันใช้ความเงียบเป็นการตอบรับ
สตรีที่เฒ่าหูหนวกเรียกว่าเหนี่ยนซินก็ไม่ถือสา ถามต่อไปว่า “น่าจะไม่ใช่เวทอำพรางตา ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็มีชาติกำเนิดจากตระกูลชั้นสูงบนถนนไท่เซี่ยงล่ะสิ? ในที่สุดผู้อาวุโสในตระกูลก็สามารถโน้มน้าวเฉินชิงตูให้ช่วยเจ้าสร้างศาลบู๊ขึ้นมาแห่งหนึ่ง จึงได้รับโชคชะตาบู๊ไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “เป็นคนต่างถิ่น ฝึกหมัดนับว่าพอจะขยันหมั่นเพียรอยู่บ้าง”
สตรีคล้ายจะเสียดายเล็กน้อย “เฉินชิงตูมีความกังวลมากเกินไป วิธีการดีๆ หลายอย่างก็ตัดใจเอามาใช้ไม่ลง”
เฒ่าหูหนวกเอ่ยกึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง “อายุไม่มาก ก็แค่มีลูกเล่นหลากหลาย งั้นก็อย่าเรียกชื่อเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสตรงๆ เลย”
จากนั้นก็เอ่ยเตือนสตรีผู้นั้นว่า “เหนี่ยนซิน นี่ก็คืออิ่นกวานคนใหม่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่”
สตรีเอียงคอ จ้องนิ่งมองเฉินผิงอัน จากนั้นก็เอ่ยต่อไปว่า “ถนัดซ้าย เจียวหลง สร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะขึ้นมาใหม่ เนื้อหนังจิตวิญญาณล้วนถูกปะชุนซ่อมแซมมาอย่างหนัก ฝึกวรยุทธก่อนแล้วค่อยฟูมฟักกระบี่บินแห่งชะตาชีวิต สามารถควบคุมร่างกายได้อย่างดีเยี่ยม คุมไปได้ถึงจุดที่เล็กละเอียดที่สุด ถือว่าเป็นคนบนเส้นทางเดียวกันครึ่งตัว จิตสังหารเข้มข้น อืม ตอนนี้ยิ่งเข้มข้นกว่าเดิมแล้ว แต่สามารถควบคุมจิตสังหารของตนเอาไว้ได้ อายุน้อยๆ ร้ายกาจมาก ไม่เสียทีที่เป็นอิ่นกวานคนใหม่”
เฉินผิงอันยืนนิ่งอยู่ที่เดิมตลอดเวลา ยิ้มเอ่ยว่า “แม่นางเหนี่ยนซินมีสายตาที่ดี”
เฒ่าหูหนวกรู้รากฐานของเหนี่ยนซินเป็นอย่างดี ดังนั้นจึงไม่แปลกใจกับวิธีการของนางแม้แต่น้อย
คุกมีสามประหลาด ไปมาไร้อุปสรรคขัดขวาง เหนี่ยนซินคือหนึ่งในนั้น
เฒ่าหูหนวกพลันถามว่า “เหตุใดไม่เรียก ‘ผู้อาวุโส’ แต่เรียกว่า ‘แม่นาง’ ล่ะ?”
เฉินผิงอันย้อนถาม “เวลาผู้อาวุโสดื่มเหล้าไม่เคยกินกับแกล้มเลยใช่ไหม?”
เฒ่าหูหนวกอึ้งตะลึง
ห่างไปไกลมีเสียงเด็กน้อยอ่อนเยาว์ดังขึ้นมา “ไอ้หมอนี่กำลังเหน็บแนมเจ้าว่าชอบพูดจาเหมือนคนเมา ชอบพูดคำพูดที่เป็นดั่งผายลมไม่เหมาะกับกาลเทศะ”
เฉินผิงอันหันหน้าไปมอง คือเด็กชายผมขาวคนหนึ่งที่นั่งขัดสมาธิลอยตัวอยู่กลางอากาศ หน้าผากของเขาใหญ่มาก มีงูเขียวสองตัวเป็นต่างหู ตรงเอวห้อยกระบี่สั้นสองเล่ม
ดวงตาทั้งคู่ของเขาเป็นประกายแวววาว กำลังแทะนิ้วมืออย่างเบื่อหน่าย
เฒ่าหูหนวกเหล่ตามอง ก่อนจะเอ่ยอธิบายกับเฉินผิงอันว่า “คือเทวบุตรมารนอกโลกตนหนึ่ง”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
เด็กผมขาวคนนั้นเอ่ย “เฒ่าหูหนวก รีบเรียกท่านปู่เร็วเข้า!”
เฒ่าหูหนวกจึงเรียกคำหนึ่งว่าท่านปู่
เด็กผมขาวเอ่ยอย่างมีโทสะ “ทำไมเจ้าถึงได้น่าเบื่อแบบนี้นะ”
สตรีผู้นั้นคร้านจะสนใจเฒ่าหูหนวกกับเด็กคนนั้น สายตาของนางยังคงจับจ้องเฉินผิงอันเขม็ง “ทนกับความเจ็บปวดได้จริงๆ หรือ? อย่าตายเสียล่ะ”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ลองดูได้”
จากนั้นเฉินผิงอันก็พลันรู้สึกขนลุกขนชัน เห็นเพียงว่าสตรีผู้นั้นคลี่ยิ้มหวานแล้วยอบตัวคารวะอย่างอ่อนช้อย “อากาศหนาวต้องใส่ผ้าหนา จะช่วยจุดตะเกียงเย็บผ้าให้คุณชาย”