จักรพรรดินีเจี่ยหมิงคงเงียบงันอยู่เนิ่นนาน ครู่ต่อมานางค่อยเอ่ยถามว่า “ฉู่หลีหลีได้มอบของอะไรให้เจ้าหรือไม่”
“ไม่” เยี่ยนจ้าวเกอส่ายหน้าอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย
เจี่ยหมิงคงเงยหน้าเล็กน้อย สีหน้าไร้อารมณ์ ดวงตาที่ปิดอยู่ทำให้เยี่ยนจ้าวเกอดูดารมณ์ของนางไม่ออก
ผ่านไปสักพัก เจี่ยหมิงคงค่อยเอ่ย “ท่านอาจารย์ไม่สะดวกออกหน้าช่วยเหลือพวกเจ้าจริงๆ”
“ไม่ใช่เพราะเขาไม่อยาก แต่เพราะเขามีภารกิจติดตัว ปลีกตัวไม่ได้”
เยี่ยนจ้าวเกอไม่ยอมล้มเลิกความหวัง เปลี่ยนเป็นถาม “ไม่ทราบว่าข้าพบกษัตริย์ดาราได้หรือไม่? มาตรแม้นว่าใต้เท้าไม่อาจลงมือ แต่ตามมารยาท ข้าสมควรพบสหายของท่านปู่”
“ถึงแรงกดดันที่กษัตริย์ดินและกษัตริย์เร้นลับนำมาจะใหญ่หลวงยิ่ง แต่ในเวลาสั้นๆ นี้ข้ายังนึกหาวิธีอื่นไม่ออก ร้อนรนไปก็ไม่มีประโยชน์” เขาแบมือ “ถ้าหากทำได้ มิสู้ไปเข้าพบกษัตริย์ดาราดีกว่า”
เยี่ยนจ้าวเกอพูดด้วยดวงตาเป็นประกาย “สือจวินศิษย์หลานของข้ากับมารดาของเขาได้รับความทุกข์ทรมานจากมารนพยมโลก วันนี้กษัตริย์ดาราลงจากตำแหน่ง และเกี่ยวข้องกับนพยมโลก ด้วยความรู้และพลังฝึกปรือของท่านผู้เฒ่า บางทีอาจชี้แนะข้าได้สักสองสามคำ”
หลังจากพิธีเปิดสำนักของเขากว่างเฉิง เขาได้เชิญจักรพรรดินีเจี่ยหมิงคง ประมุขอาคเนย์เฉาเจี๋ย และหลิวเจิงกู่ประมุขอิสานไปตรวจสอบสถานการณ์ของสือจวินสองแม่ลูกด้วยกัน
เยี่ยนจ้าวเกอสังเกตเห็นว่าจักรพรรดินีมีความรู้สึกไวต่อเรื่องที่เกี่ยวข้องกับนพยมโลกเป็นพิเศษ แตกต่างจากท่าทีเฉื่อยชาในยามปกติของนาง
พอเชื่อมโยงถึงสถานการณ์ในปัจจุบันของกษัตริย์ดารา เยี่ยนจ้าวเกอก็แน่ใจว่า ความรู้สึกในตอนนั้นของตัวเองไม่ใช่ความรู้สึกหลอน
เมื่อได้ยินดังนั้น เจี่ยหมิงคงก็ ‘มอง’ เยี่ยนจ้าวเกออีกรอบ
ครู่ต่อมานางค่อยพยักหน้าแช่มช้า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าจงตามข้ามา”
“ท่านอาจารย์เป็นห่วงทายาทของราชันพระศุกร์มาโดยตลอด ถ้าหากเจ้าถูกขับจากโลกซ้อนโลกเพราะล่วงเกินกษัตริย์ดินและกษัตริย์เร้นลับ ต่อจากนี้จะมีวันได้พบกันอีกหรือไม่ก็ไม่มีใครบอกได้” จักรพรรดินีหมุนตัวไปพร้อมเอ่ยว่า “ถึงแม้บิดาของเจ้าจะไม่ได้มา แต่หากได้พบเจ้า ท่านอาจารย์คงดีใจยิ่ง เรื่องนี้จะจัดการอย่างไร ให้ท่านอาจารย์เป็นผู้ชี้แนะเถอะ”
ร่างของนางเริ่มมีเกล็ดน้ำแข็งเกาะ กลายเป็นรูปสลักน้ำแข็งอีกรอบ
เกล็ดน้ำแข็งแผ่ขยาย กลายเป็นงูน้ำแข็งขนาดยักษ์ที่พาดขวางอากาศ
ในสองตาของงูน้ำแข็งสีขาวหิมะมีแสงสีดำสว่างขึ้น เหมือนกับมีชีวิตของตัวเอง
จากนั้นงูน้ำแข็งก็แบกจักรพรรดินีที่กลายเป็นรูปสลักน้ำแข็งอีกครั้งขึ้น ยืดตัวกลางชายฝั่งยมโลก แล้วจึงเลื้อยไปยังที่ไกลออกไป
“รบกวนจักรพรรดินีนำทาง” เยี่ยนจ้าวเกอประสานมือ พลิ้วร่างปีนสู่ศีรษะของงูน้ำแข็ง ยืนอยู่ด้านข้างรูปสลักน้ำแข็งที่เกิดจากจักรพรรดินี โดยสารไปด้านหน้า
คนทั้งสองออกจากชายฝั่งยมโลกบริเวณนี้ก่อน
งูน้ำแข็งไม่ได้กลับโลกซ้อนโลก แต่เคลื่อนที่เข้าไปในนพยมโลก!
หลังเข้าไปในนพยมโลกแล้ว ควันมารปราณปีศาจก็รุนแรงขึ้น
จักรพรรดินีเป็นปกติเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา ส่วนเยี่ยนจ้าวเกอก็ได้แต่ตั้งสมาธิสงบจิตใจ สะกดมารที่อาละวาด
เขาทางหนึ่งสำรวจสภาพรอบๆ ทางหนึ่งใคร่ครวญในใจ
จักรพรรดินีเจี่ยหมิงคงไม่ได้แสดงความไม่พอใจหรือความโกรธใดๆ ต่อเรื่องที่เขาสังหารประมุขปฐวีหวังเจิ้งเฉิง
ในการคาดการณ์ของเยี่ยนจ้าวเกอ ถึงแม้เมื่อคำนวณจากศักดิ์ฐานะแล้ว จักรพรรดินีเจี่ยหมิงคงกับประมุขปฐวีหวังเจิ้งเฉิงนับเป็นรุ่นเดียวกัน แต่ว่าอายุน้อยกว่ามากเกินไป สองฝ่ายไม่มีการคบหากันเป็นพิเศษ
ด้วยนิสัยเย็นชาของเจี่ยหมิงคง คนที่เกี่ยวข้องกับตนไม่มากแบบนี้พอตายไป นางย่อมไม่สนใจอยู่แล้ว
ส่วนผลกระทบที่เกิดขึ้นบนโลกซ้อนโลก เจี่ยหมิงคงก็คล้ายกับไม่รู้สึกรู้สาอะไร
ก่อนหน้านี้สิ่งที่เยี่ยนจ้าวเกอยังยืนยันไม่ได้ก็คือ ต่อจากนี้จักรพรรดินีจะทำอย่างไร จะยังรักษาความเป็นกลาง หรือว่าช่วยฝ่ายตนกันแน่
แน่นอนว่าต้องอยู่ในเงื่อนไขที่ตนไม่เพาะความแค้นกับนาง
ดูจากตอนนี้ สถานการณ์ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ จักรพรรดินีเจี่ยหมิงคงเมื่อพูดถึงการเอนเอียง เทียบกับผากิเลนแล้ว นางยังใกล้ชิดกับฝั่งเขานครหยกมากกว่า
ถ้าหากกษัตริย์ดารามีการแสดงออกอย่างชัดเจน จักรพรรดินีย่อมช่วยเหลือพวกเยี่ยนจ้าวเกอ
ถึงแม้ว่าจะไม่อาจแก้ไขแรงกดดันที่กษัตริย์ดินและกษัตริย์เร้นลับนำมาได้ แต่ตำแหน่งของจักรพรรดินีเจี่ยหมิงคงก็สุดที่จักรพรรดิเซียนจริงแท้ทั่วไปจะเทียบเคียงได้
เพียงแต่ว่าส่วนสำคัญของเรื่องราวยังอยู่ที่ตัวกษัตริย์ดารา
งูน้ำแข็งบรรทุกคนทั้งสอง เคลื่อนไหวอยู่ในนพยมโลกหลายวัน
จักรพรรดินีแช่แข็งตัวเอง ไม่มอง ไม่พูด ไม่ขยับตั้งแต่ต้นจนจบ
ในตอนที่นางต่อสู้กับคน นางจะรุนแรงกราดเกรี้ยว แต่ในยามปกติ นางกลับมีท่วงทำนองเพิ่มมาหนึ่งเรื่องไม่สู้น้อยลงไปหนึ่งเรื่อง
ดังนั้นตลอดการเดินทาง จอมมารส่วนใหญ่ที่ได้พบในนพยมโลกล้วนแต่สงบเสงี่ยมเจียมตัว
หลังจากเดินทางหลายวัน เยี่ยนจ้าวเกอก็คำนวณได้ว่าเกินระยะห่างจากทิศเหนือไปทิศใต้บนโลกซ้อนโลกมามากแล้ว
จากนั้นงูน้ำแข็งที่เลื้อยอยู่ในควันมารปราณปีศาจ พลันพุ่งออกจากเขตมารนพยมโลก เข้าไปในชายฝั่งนพยมโลกแห่งหนึ่ง
เพียงแต่ชายฝั่งยมโลกแห่งนี้แตกต่างกับที่อื่นอย่างชัดเจน
ในส่วนลึกของความว่างเปล่าอันมืดมัว คล้ายมีอะไรบางอย่างดำรงอยู่
‘ธารน้ำแข็ง…’ เยี่ยนจ้าวเกอเพ่งสายตามองไป เห็นธารน้ำแข็งดินหิมะกว้างใหญ่บริเวณหนึ่ง กระจายอยู่ทั่ว
ชายฝั่งยมโลกบริเวณนี้ถึงกับถูกน้ำแข็งผนึกไว้ในธารน้ำแข็งทั้งหมด
เพียงแต่ผิวน้ำแข็งไม่ได้สะท้อนแสง ยังคงมืดมัวคลุมเครือ
พื้นที่และขนาดของธารน้ำแข็งกว้างจนไม่อาจประเมินได้ เมื่ออยู่ข้างใน ตอนแรกจะไม่รับรู้ถึงความหนาวเย็น หิมะน้ำแข็งเหมือนกับภาพมายา แต่ความรู้สึกจะยิ่งมายิ่งเย็นพร้อมกับเวลาที่ผ่านไป และความเย็นนี้เหมือนไม่อาจบรรเทาได้ทั้งหมด
ยิ่งช้าก็ยิ่งเพิ่มความรุนแรงซึ่งไม่อาจเปลี่ยนกลับได้ ไม่ว่าคนที่อยู่ด้านในจะหาวิธีเพิ่มความอบอุ่นอย่างไร ก็ได้แต่รู้สึกหนาวขึ้นเรื่อยๆ ในตอนแรกคล้ายกับไม่มีค่าให้เอ่ยถึง แต่ผ่านไปไม่นานเท่าไร ก็จะทำให้คนรู้สึกเย็นเยียบไปถึงกระดูก ไร้เรี่ยวแรงขัดขืน จนแข็งตายไปในที่สุด
สิ่งที่ทำให้ผู้คนสิ้นหวังที่สุดไม่ใช่ความเย็น แต่ว่าเป็นการที่ตนไม่ว่าจะพยายามอย่างไร ผลลัพธ์สุดท้ายล้วนสูญเปล่า
“พวกเรามาถึงแล้ว” จักรพรรดินีที่เงียบมาตลอดทางยามนี้ค่อยเอ่ยปาก
ถึงนางจะยังคงหลับตา แต่เกล็ดน้ำแข็งบนร่างได้หายไปแล้ว
งูน้ำแข็งขนาดยักษ์ก็พังทลายหายไปเช่นกัน
เยี่ยนจ้าวเกอติดตามอยู่ด้านหลังจักรพรรดินี เข้าไปในส่วนลึกของธารน้ำแข็งด้วยกัน
ธารน้ำแข็งกลายเป็นที่ราบน้ำแข็ง พื้นที่กับขนาดไม่อาจประมาณได้อย่างแม่นยำ เยี่ยนจ้าวเกอคำนวณดูแล้ว น่ากลัวจะสามารถแช่งแข็งครึ่งหนึ่งของโลกซ้อนโลกได้สบายๆ
เมื่อเพ่งตามองไป ทั่วบริเวณรกร้าง ไม่เห็นสิ่งมีชีวิตหรือสิ่งก่อสร้างใดๆ มอบความรู้สึกเก่าแก่โบราณ กว้างใหญ่ไพศาลให้แก่ผู้คน
กอปรกับไม่มีสีสันให้บรรยาย เยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกว่าตอนนี้ตนเหมือนกลับสู่ยุคเปิดฟ้าดิน จักรวาลในตอนเริ่มต้นที่หนาวเย็นเปล่าเปลี่ยว เป็นโลกที่ไร้แสงไร้ความร้อน
สถานที่แห่งนี้ไม่มีกลิ่นอายอารยธรรมของมนุษย์แม้แต่นิดเดียว และไม่เห็นร่องรอยการใช้ชีวิตของคน
ภายใต้การนำของจักรพรรดินี เยี่ยนจ้าวเกอมาถึงตีนภูเขานำแข็งที่ทอดยาวแห่งหนึ่ง
ทันใดนั้น เสียงหนึ่งพลันดังขึ้น
“หมิงคงพาใครมาแล้ว”
เสียงมาจากทุกทิศทุกทาง ในน้ำแข็งทุกบริเวณบนผืนทวีปธารน้ำแข็งเหมือนกับมีเสียงเดียวกันนี้ดังออกมา
“ท่านอาจารย์…” จักรพรรดินีเจี่ยหมิงคงมีสีหน้าหวั่นไหว
สีหน้าของนางซับซ้อนยิ่ง
คิดคำนึง ชมชอบ สับสน ไม่ยอมรับ เป็นห่วง และมากกว่านั้น
เป็นเพราะความห่วงใยที่เกิดขึ้นแวบเดียวแล้วหายไป เยี่ยนจ้าวเกอจึงมองออกมากมายขนาดนี้
เขาเพิ่งเคยเห็นการเปลี่ยนแปลงทางความรู้สึกที่ซับซ้อนถึงขีดสุดขนาดนี้บนใบหน้าของอีกฝ่ายเป็นครั้งแรก
………………..