บทที่ 1712 จดทะเบียนสมรสแล้ว + ตอนที่ 1713 ไม่สบอารมณ์แล้ว

ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น

ตอนที่ 1712 จดทะเบียนสมรสแล้ว

ชั่วพริบตาเดียววันเวลาก็เดินทางมาถึงเดือนกรกฎาคม วันเกิดครบยี่สิบปีของเหมยเหมยจวนจะมาถึงในเร็ววัน เดิมทีจ้าวอิงหัวกับเหยียนซินหย่าเตรียมจัดงานฉลองวันบรรลุนิติภาระให้อย่างยิ่งใหญ่แต่เหมยเหมยไม่เห็นด้วย เธอไม่ชอบงานใหญ่โตเพราะมันไม่มีความหมายอะไร สู้อยู่ฉลองกับคนสนิทด้วยกันดีกว่า!

ที่สำคัญแม้เหยียนหมิงซุ่นไม่ว่าอะไรแต่เธอรู้ว่าช่วงนี้สถานการณ์ในเมืองหลวงไม่สงบเท่าไร เหยียนหมิงซุ่นงานยุ่งจนหัวหมุนไปหมดแล้ว หากจัดงานเลี้ยงฉลองไม่แน่ว่าอาจจะเปิดช่องโอกาสให้ศัตรูได้ แขกรับเชิญในวันนั้นล้วนมีแต่แขกตระกูลสูงศักดิ์ทั้งนั้น หากเกิดเป็นอะไรไปจริง ๆอาจจะเป็นปัญหาใหญ่โตได้

เหยียนหมิงซุ่นรู้สึกผิดอย่างมากแต่ไม่ได้พูดอะไร ทว่าภายในใจกลับตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะต้องจัดงานแต่งงานให้เหมยเหมยอย่างยิ่งใหญ่ในภายหลังแน่นอน!

วันถัดมาหลังจากวันเกิดเหยียนหมิงซุ่นก็จดทะเบียนสมรสจนแทบอดใจรอไม่ไหว โดยที่เจ้าตัวไม่ต้องเดินไปทางด้วยตัวเองด้วยซ้ำ อีกอย่างไม่มีกฎข้อห้ามว่านักศึกษาห้ามแต่งงานทุกอย่างเลยราบรื่นดี

อำนาจช่างเป็นสิ่งที่ดีจริง ๆ!

ทะเบียนสมรสสีแดงสองเล่มวางอยู่บนโต๊ะที่รายล้อมไปด้วยความสิริมงคล เหมยเหมยพลิกเปิดดูอย่างสุขสมใจ นี่เป็นรูปถ่ายหนึ่งนิ้วของเธอกับเหยียนหมิงซุ่นแล้วก็ตราประทับเหล็ก

“รูปน่าเกลียดจัง”

เหมยเหมยยู่ปาก ฝีมือตากล้องถ่ายรูปในสมัยนี้ใช้ไม่ได้เลยจริง ๆ ถ่ายเธอออกมาน่าเกลียดดูเอ๋อซะงั้น ไหนจะดูไร้ชีวิตชีวาอีกแต่กลับถ่ายเหยียนหมิงซุ่นเสียหล่อขนาดนี้ ตากล้องไม่มีความยุติธรรม

เหยียนหมิงซุ่นเห็นแล้วก็นึกขำเพราะถ่ายดูเอ๋อไปหน่อยจริง ๆ เหมือนแมวเหมียวตัวน้อยที่เพิ่งคลอดออกมา ทั้งดูใสซื่อน่ารักเป็นที่ชื่นชอบของทุกคน โดยเฉพาะเขา

“ดูดี ไม่น่าเกลียดเลยสักนิด คุณนายเหยียน” เหยียนหมิงซุ่นยิ้มเรียกอีกที คนที่ฝันอยากเป็นคุณนายเหยียนอยู่ทุกวันตอนนี้ก็สมหวังสักทีสินะ!

เหมยเหมยฉีกยิ้มทันทีแล้วมองค้อนใส่เขาแวบหนึ่ง ขานเรียกอีกฝ่ายอย่างออดอ้อน “ที่—รัก…”

เหยียนหมิงซุ่นใจสั่น ช่างเป็นยัยตัวแสบสุดยั่วยวนเสียจริง!

ใจคิดกายก็ทำไปด้วย เหยียนหมิงซุ่นเป็นคนที่ชอบทำให้เห็นด้วยการกระทำอยู่แล้วจึงไม่พูดพร่ำทำเพลงเก็บเล่มทะเบียนสมรสแล้วแบกยัยตัวแสบเข้าห้องไป

“ที่รัก…อย่าทำอะไรบ้า ๆ ตอนกลางวันนะ!”

“นี่เรากำลังจะเข้าเรือนหอกันต่างหาก เด็กดีนะ!”

ประโยคสุดท้ายเขาไม่ได้พูดออกไปว่าจะไม่ยอมพักจนกว่าจะหนึ่งวันหนึ่งคืน!

อีกสองวันยัยตัวแสบก็จะไปฮ่องกงแล้ว หนำซ้ำเขาเองก็จะเริ่มงานยุ่ง เวลาเป็นเงินเป็นทองจะปล่อยให้สูญเปล่าไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว!

……

สองวันให้หลัง

เหมยเหมยออกเดินทางไปยังสนามบินในสภาพที่ปวดเมื่อยไปทั้งตัวที่แม้แต่นั่งตัวตรงยังลำบาก เธอถลึงตาใส่ตัวต้นเหตุที่กำลังขับรถอย่างนึกขุ่นใจ ไม่ปล่อยให้เธอลงจากเตียงเลยสองวันเต็ม ๆ นี่มันไม่ใช่คนแล้ว!

“ขึ้นเครื่องแล้วก็นอน ถึงฮ่องกงเสี่ยวอวิ๋นกับเสี่ยวหลี่จะไปรับพวกเธอนะ” เหยียนหมิงซุ่นพูดย้ำ

เหมยเหมยดวงตาเป็นประกาย “พวกเสี่ยวหลี่กับเสี่ยวอวิ๋นอยู่ฮ่องกงเหรอ ฉันไม่เจอพวกเขามาเกือบครึ่งปีแล้วแหนะ!”

เหยียนหมิงซุ่นยิ้มพยักหน้า “หลายเดือนก่อนพวกเขาบาดเจ็บสาหัส ร่างกายยังไม่หายดีเลยให้ไปทำงานสบาย ๆที่ฮ่องกงแทน”

จะว่าไปต้องขอบคุณเหมยเหมยที่ให้ยาวิเศษแก่พวกเขา ไม่อย่างนั้นสองคนนี้คงไม่มีชีวิตรอดกลับมา!

เหมยเหมยได้ยินว่าเป็นคนคุ้นเคยเลยค่อยสบายใจหน่อย ไม่คุ้นชินกับการมีคนแปลกหน้าอยู่ข้างกายเลยจริง ๆ!

พวกสยงมู่มู่ยังมาไม่ถึง เหยียนหมิงซุ่นเลยอยู่รอเป็นเพื่อนเธอที่สนามบิน ใครจะรู้ว่าพวกสยงมู่มู่ยังมาไม่ถึงแต่ดันเจอสวีจื่อเซวียนกับเจียงจื้อหรู่สองคนเข้า

สวีจื่อเซวียนอยู่ในชุดกระโปรงยาวสีดำ เขาผอมลงไปมากทีเดียวและดูท่าทางไม่ค่อยมีชีวิตชีวาเท่าไร หน้าตาที่แต่เดิมดูสดใสตอนนี้กลับดูหม่นหมองไปหมด อีกอย่างเพราะซูบผอมเกินไปจนเห็นร่องกระดูกชัดเจนจึงยิ่งขับให้ดูอ่อนแอมากกว่าเดิม

สภาพของเจียงจื้อหรู่ก็ไม่สู้ดีนัก เดิมทียังดูเป็นคนวัยสามสิบต้น ๆ ผมดำ สุภาพบุรุษอ่อนโยนสง่างามแต่ตอนนี้ผมหงอกขึ้นเต็มหัว หางตาเริ่มมีตีนกาประปรายราวกับแก่ลงสิบกว่าปีในชั่วพริบตาเดียว

สองคนนี้มาสนามบินทำไมกัน?

หรือว่าจะไปเที่ยว?

……………………………

ตอนที่ 1713 ไม่สบอารมณ์แล้ว

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับสวีจื่อเซวียนเพิ่งผ่านไปได้เพียงครึ่งเดือนเท่านั้นเอง เธอได้รับบาดเจ็บสาหัสขนาดนั้น ตามหลักการแล้วควรอยู่พักฟื้นร่างกายอย่างน้อยหนึ่งเดือน แต่เพิ่งครึ่งเดือนเธอจะออกจากบ้านมาทำไมกัน?

อีกอย่างดูจากสภาพของเธอแล้วก็เห็นได้ชัดว่าครึ่งเดือนมานี้เธอไม่ได้รับการพักฟื้นที่ดีถึงได้หน้าโทรมและยังผอมแห้งเหลือแต่กระดูกแบบนี้

เหมยเหมยลอบส่ายศีรษะคนเดียว ตัวเองยังไม่รู้จักรักษาสุขภาพตัวเองแล้วจะคาดหวังกับใครได้อีก?

เจียงจื้อหรู่เห็นเหมยเหมยรวมถึงเหยียนหมิงซุ่นที่สง่าดูทรงอิทธิพลอยู่ข้างกายเธอเลยชะงักฝีเท้า คิดจะเดินมาทักทายพวกเหมยเหมย

กว่าจะมีโอกาสได้เจอคุณชายหมิงสักครั้งช่างยากเย็นเหลือเกิน สถานการณ์ของเขาในเวลานี้ย่ำแย่นัก ถ้าหากได้รับความช่วยเหลือจากคุณชายหมิงแล้วเขาจะกลัดกลุ้มใจไปทำไมล่ะ?

ที่แท้แม้คุณนายเจียงจะหย่าขาดจากเจียงจื้อหรู่โดยให้ของติดตัวไปก็จริงแต่ก็ไม่ได้ใจดีเป็นแม่พระขนาดนั้น เหตุด้วยเจียงจื้อหรู่ไม่รู้เรื่องธุรกิจสักเท่าไรเพราะปกติจะมีคุณนายเจียงคอยดูแลจัดการพิพิธภัณฑ์ให้ เขาแค่แบมือขอเงินทุกเดือนซึ่งไม่เคยต้องมากังวลใจกับเรื่องธุรกิจพวกนี้เลยไม่รู้ว่าการทำธุรกิจมันยากเย็นเพียงใด

ตอนนี้เขาต้องดูแลจัดการพิพิธภัณฑ์ศิลปะเอง เพิ่งผ่านมาไม่กี่วันก็ปวดหัวจะตายแล้ว ในเมืองหลวงมีพิพิธภัณฑ์ยั้วเยี้ยเต็มไปหมดและส่วนมากล้วนเป็นศิลปินระดับคนอย่างเซียวจิ่งหมิงเปิดเอง พิพิธภัณฑ์ศิลปะระดับนี้จึงไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีรายรับเพราะชื่อเสียงของตัวเขาเองเป็นโฆษณาที่คอยโกยเงินอยู่แล้ว

แต่เจียงจื้อหรู่เป็นพวกเรื่องเล็กไม่ใคร่ทำเรื่องใหญ่ก็ทำไม่สำเร็จ เส้นสายคนรู้จักแต่ก่อนก็เอามาใช้ประโยชน์ตอนนี้ไม่ได้เลย ช่วงไม่กี่วันมานี้เขาเหมือนใช้ชีวิตผ่านมาแรมปี เพราะมีงานกองโตรอให้เขากลับไปจัดการอยู่อีกมากมาย

อีกอย่างต้องใช้เงินทุกเรื่อง ค่าเช่า ค่าจ้างพนักงาน งานมัดจำงานศิลปะ…ราวกับปรึกษากันมาอย่างดีรวมหัวแบมือขอเงินจากเขาพร้อมกัน แต่เดิมเจียงจื้อหรู่กระเป๋ายังหนักพอตัวแต่ก็แฟบลงในทันที

ส่วนสวีจื่อเซวียนก็น่าเป็นห่วงเพราะเอาแต่ร้องห่มร่ำไห้จะฆ่าตัวตายทุกวัน เจียงจื้อหรู่ต้องวิ่งไปมาระหว่างพิพิธภัณฑ์ศิลปะกับโรงพยาบาลเหนื่อยสายตัวแทบขาด เหนื่อยทั้งกายทั้งใจ มิน่าถึงได้แก่เร็วขนาดนี้

สมน้ำหน้า!

สวีจื่อเซวียนเองก็เห็นพวกเหมยเหมยเลยสีหน้าเปลี่ยนฉับพลัน สายตาฉายแววเคียดแค้น

เธอไม่รู้สึกขอบคุณเหมยเหมยเลยสักนิดถึงขั้นเกลียดเข้ากระดูกดำ

ทั้งที่จ้าวเหมยสามารถช่วยได้ตั้งนานแล้วแต่กลับวางท่าต้องให้เจียงจื้อหรู่ขอร้องซ้ำ ๆถึงยอมไปช่วยเธอ

แต่ตอนนั้นเธอก็…

ฝันร้ายของค่ำคืนนั้นฉายขึ้นมาในหัวอีกครั้ง สวีจื่อเซวียนตัวสั่นเทาอย่างห้ามไม่อยู่และเย็นเฉียบไปทั้งตัว

ทุกอย่างเป็นความผิดของจ้าวเหมย!

เธอต้องจงใจแน่ ๆ จงใจให้ผู้ชายพวกนั้นย่ำยีตัวเองแล้วทำให้ลูกของเธอต้องตาย!

จ้าวเหมยต้องเป็นพวกเดียวกับแม่ไก่ฟักไข่ไม่ได้อย่างคุณนายเจียงแน่ ๆ!

เธอจะไม่เกลียดได้อย่างไร?

สวีจื่อเซวียนดึงเจียงจื้อหรู่ไว้มองเขาอย่างไม่พอใจ ไม่อยากให้เขาไปทักทายจ้าวเหมย

“เป็นเด็กดีนะ เรายังไม่เคยขอบคุณจ้าวเหมยเลย แบบนี้เสียมารยาทมากนะเด็กดี!” เจียงจื้อหรู่อธิบายอย่างใจเย็นแต่กลับเริ่มมีท่าทีไม่สบอารมณ์

“ฉันไม่ขอบคุณเธอหรอก ถ้าเธอมาช่วยฉันเร็วกว่านี้ ฉันคง…” สวีจื่อเซวียนตาแดงก่ำกัดริมฝีปากอย่างดื้อรั้น

เจียงจื้อหรู่นึกปวดศีรษะเหลือเกินและความหงุดหงิดเริ่มก่อตัวขึ้นในใจ หลายวันมานี้สวีจื่อเซวียนเหมือนเด็กที่ไม่รู้จักโต ไม่ว่าอะไรก็ฟังไม่เข้าหูเอาแต่คิดว่าจ้าวเหมยทำร้ายเธอกับลูกอย่างเดียว

ท่าทีแบบนี้หากให้จ้าวเหมยเห็นเข้าเกรงว่าจะยิ่งทำให้จ้าวเหมยรู้สึกไม่ชอบใจมากกว่าเดิม

เจียงจื้อหรู่ถอนหายใจพลางขมวดคิ้วเอ่ย “งั้นเธอรอฉันอยู่ตรงนี้ ฉันจะไปพูดอะไรนิดหน่อย”

ไม่รอให้สวีจื่อเซวียนคัดค้านเขาก็ออกแรงแกะนิ้วมือของเธอแล้วเค้นรอยยิ้มดูดีก้าวเท้ายาวไปทางเหมยเหมย

สวีจื่อเซวียนเริ่มร้อนรน ตอนนี้เธอเพิ่งสังเกตเห็นว่าเจียงจื้อหรู่ไม่ได้เอาใจเธอเหมือนอย่างเคยอีกแล้ว ไหนจะเริ่มไม่มีความอดทนเวลาพูดกับเธออีกต่างหาก

หรือว่าเจียงจื้อหรู่รังเกียจเธอที่ถูกผู้ชายพวกนั้น…?

สวีจื่อเซวียนรีบปรี่ตามไปอย่างระแวง เธอไม่เหลืออะไรอีกแล้ว ถ้ายังเกาะเจียงจื้อหรู่ไว้ไม่อยู่ทุกคนจะหัวเราะเยาะเย้ยเธอ ดูถูกเธอได้!

เธอไม่เอาอย่างนั้นหรอกนะ!

………………………….