บทที่ 2208 คนที่กล้าตบหน้าประมุขไป๋

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

ประมุขชิงโบกมืออีกครั้ง “เรื่องสงครามมาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้าจะเข้าร่วมบัญชาการหรือไม่ก็ไม่มีความหมายมากแล้ว มีเจ้าเข้าไปร่วมรบเพิ่มอีกคนก็ไม่จำเป็นแล้ว…แม้แต่เกาก้วนยังทรยศข้า เจ้าคิดว่าข้ายังจะเชื่อใจใครได้อีก? ไม่ต้องปฏิเสธแล้ว ช่วยข้าดูแลพวกนางสองแม่ลูกให้ดี ทำได้หรือเปล่า?”

โพ่จวินถือแผ่นหยกพร้อมโค้งกายกุมหมัดคาราวะ “ข้าน้อยน้อมรับบัญชา!”

ในใจเขารู้ชัดเจน ว่าคุณชายสามไป๋หวนคืนกลับมาอีกครั้งนั้นสร้างความกดดันให้ฝ่าบาทมากขนาดไหน ไม่อย่างนั้นฝ่าบาทคงไม่เตรียมสั่งเสียในเวลานี้ เกรงว่าในใจฝ่าบาทคงจะไม่มีความมั่นใจแล้วเช่นกัน

ประมุขชิงใช้สองมือประคองเขาขึ้นมา แล้วก็บอกจ้านหรูอี้อีกว่า “หรูอี้ เจ้าก็ได้ยินคำพูดของข้าหมดแล้ว เจ้าคงเข้าใจความหมายที่ข้าพูดทั้งหมด ข้าไม่พูดอะไรมากแล้ว ศึกใหญ่กำลังจะมาถึง ถ้าเจ้าอยู่ข้างกายข้า ข้าก็ไม่มีทางสู้ได้เต็มที่ เจ้าไปหลบกับโพ่จวินก่อนชั่วคราว เข้าใจไหม?”

จ้านหรูอี้เงยหน้ามองเขา แล้วบอกเขาด้วยแววตาเด็ดเดี่ยวว่า “หม่อมฉันจะรอฝ่าบาท!”

ประมุขชิงทำสีหน้างุนงงครู่หนึ่ง แม้จะเป็นประโยคสั้นๆ ไม่กี่คำ แต่ผ่านมาหลายปีขนาดนี้แล้ว เขาไม่เคยได้ยินจ้านหรูอี้พูดอะไรอย่างนี้กับตัวเองเลย ทั้งยังมีความเด็ดเดี่ยวที่แสดงออกทางสายตาอีก ทำให้ใจเขามีแต่ความปลาบปลื้มยินดี

หยินซวง ไป๋เสวี่ยสบตากันแวบหนึ่ง ดวงตาฉายแววประหลาดใจเช่นกัน ไม่มีใครรู้จักจ้านหรูอี้ดีไปกว่าพวกนาง ชั่วพริบตานี้เข้าใจแล้ว ว่าท่าทีที่จ้านหรูอี้มีต่อประมุขชิงเปลี่ยนไปแล้ว

ประมุขชิงกางแขนสองข้างโอบจ้านหรูอี้มาไว้ในอ้อมอก ชั่วขณะนั้นปณิธานอันยิ่งใหญ่พุ่งทะยานหนึ่งจั้ง กล่าวอย่างฮึกเหิมมีชีวิตชีวาว่า “เจ้าสามไป๋แล้วยังไง? ต่อให้เป็นพระปีศาจหนานโป ข้าก็จะงัดฟันเสือออกจากปากเขา วางใจเถอะ รอข้ามารับเจ้า!”

โพ่จวินอดไม่ได้ที่จะมองจ้านหรูอี้ปราดหนึ่ง เขารู้สึกได้แล้วเช่นกัน ว่าคำพูดสั้นๆ เพียงไม่กี่คำของผู้หญิงคนนี้เหนือกว่าคำพูดนับพันหมื่นของคนอื่น ปลุกอุดมการณ์การต่อสู้ของฝ่าบาทแล้ว ในใจเขาแอบตกตะลึง แต่จะว่าไปแล้ว นี่ก็ถือเป็นเรื่องดี

แขนสองข้างที่ค่อนข้างแข็งทื่อของจ้านหรูอี้ยกขึ้นมาเล็กน้อย เป็นฝ่ายโอบกอดประมุขชิงเอง “ฝ่าบาทรักษาตัวด้วย!”

“ฮ่าๆ!” ประมุขชิงหัวเราะอย่างเบิกบานใจ เป็นรอยยิ้มที่พึงพอใจกับชีวิต ตอนที่เขามอบเกียรติยศและความร่ำรวยให้ผู้หญิงคนนี้ ผู้หญิงคนนี้ก็ไม่เคยชายตาแลเลย แต่ตอนที่เขาพบอุปสรรค ไร้เกียรติไร้หน้าตา พานางระเหเร่ร่อนไปทั่ว นางกลับมอบความอ่อนโยนให้เขาอย่างจริงใจ สำหรับผู้ชายคนหนึ่ง ยังจะมีเรื่องใดที่งดงามกว่านี้อีกหรือ?

วินาทีนี้ ประมุขชิงรู้สึกว่าเพื่อผู้หญิงคนนี้แล้ว ไม่ว่าจะต้องจ่ายด้วยอะไรก็ล้วนคุ้มค่าทั้งนั้น ถ้าหากเป็นไปได้ เขายินดีจะนำอำนาจมาแลกกับความสงบสุขทั้งชีวิตของนาง!

“ไม่ต้องกังวล ข้าจะให้พ่อแม่เจ้าไปกับเจ้าด้วย…”

ทางออกอีกทางของแดนสุขาวดี คนกลุ่มหนึ่งถูกพ่นออกมากลางอากาศ

ทุกคนล้วนมองไปที่ประมุขไป๋ เห็นเพียงประมุขไป๋ยืนนิ่งอยู่ในอวกาศไม่ขยับไปไหน ไม่รู้ว่าทำแบบนี้หมายความว่าอะไร

ประมุขไป๋เอียงหน้าเหมือนผู้หญิงที่อยู่ในอ้อมกอด แต่เห็นเปลือกตาเขียวคล้ำของประมุขปีศาจกลับมาขาวหมดจดแล้ว ริมฝีปากงามสีเขียวคล้ำก็กลับมาแดงสดใสแล้วเช่นกัน ตั้งแต่ในเจดีย์สยบปีศาจ เขาก็ร่ายอิทธิฤทธิ์กำจัดความปรารถนาร้ายที่สะสมอยู่ในร่างกายนางมาตลอด ผ่านมาหลายปีขนาดนี้ ประมุขปีศาจเป็นส่วนหนึ่งของเจดีย์สยบปีศาจมาตลอด ถูกคนนำเลือดสกัดมาเชื่อมต่อกับค่ายกลใหญ่ ทำเป็นแกนค่ายกลภายใน ใช้ค่ายกลเป็นสื่อนำความปรารถนาร้าย เจดีย์สยบปีศาจไม่พัง ความปรารถนาร้ายก็กรอกเข้ามาสื่อนำไม่หยุด ไม่มีทางแก้ไขที่ต้นเหตุได้เลย ทำให้หลายปีมานี้เขาต้องใช้เคล็ดวิชาอัคนีดารามาระงับไว้ตลอด ไม่กล้าหละหลวม ไม่อย่างนั้นเกรงว่าประมุขปีศาจจะต้องเปลี่ยนเป็นมารปีศาจที่ดุร้ายที่สุดในใต้หล้านี้ ถึงตอนนั้นคงไม่มีใครปลุกนางให้ตื่นขึ้นมาจากความปรารถนาร้ายได้แล้ว

ต้องบอกว่าวิธีการที่ประมุขชิงกับประมุขพุทธะใช้ในปีนั้นค่อนข้างชั่วร้าย บีบให้เขาต้องเดินเข้ากับดักแต่โดยดี

“คุณชายไป๋ นี่พวกเรากำลังรออะไรกันอยู่?” หั่วเจินจวินที่อยู่ข้างกันเอ่ยถาม

ตอนนี้ความสนใจของประมุขไป๋อยู่กับความเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าของประมุขปีศาจ ไม่ได้สนใจเขา

หั่วเจินจวินเอามือเกาหัว รู้สึกก็เขินแล้ว หดหัวไปอยู่ข้างๆ โดยไม่พูดอะไรแล้ว ทำให้อู๋ฉางกับอินเอ้อร์หลางแอบกลั้นขำ

ลี่หัวเหล่ตามอง ในใจไม่สบอารมณ์ เรื่องบางเรื่องถ้าพลาดแล้วก็พลาดเลย นางไม่สามารถทนแบบทดสอบได้ เลือกสิ่งที่ตัวเองต้องการแล้ว จะไปรู้ได้อย่างไรว่าผู้ชายคนนี้จะมีเบื้องลึกที่นางจินตนาการไม่ถึง เรื่องบางเรื่องที่เกิดจับพลัดจับผลู นางก็ไม่อยากจะนึกถึงอีกแล้ว แต่ในใจยังเป็นทุกข์มากจริงๆ มีแต่นางที่รู้ดีที่สุดว่าตัวเองนึกเสียใจทีหลังหรือไม่

“เอ๋ นั่นอะไรน่ะ?” อินเอ้อร์หลางโบกมือชี้ถามอย่างประหลาดใจ “เรือมังกร?”

สายตาทุกคนมองไปทางนั้น เห็นเพียงเรือมังกรหยกขาวลำหนึ่งหมุนออกมาจากด้านหลังของดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง ผีดิบกลุ่มหนึ่งกำลังลากเรือมังกรยักษ์ให้เหาะอยู่ในดาราจักร กำลังเดินทางมาทางนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นฉากนี้ในดาราจักร อดไม่ได้ที่จะมองหน้ากันเลิ่กลั่ก เหมือนกำลังถามกันและกันว่า สิ่งนี้คืออะไร?

จนกระทั่งเรือมังกรเข้ามาใกล้แล้ว พวกเขาก็ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองสภาพเรือมังกรยักษ์ที่ใหญ่โอ่อ่าทว่าแกะสลักอย่างงดงามประณีต

บนหัวเรือมีคนสองคนยืนอยู่ เป็นนักบวชที่สวมหมวกงอบแหวนและถือไม้เท้า ยังมีอีกคนที่สวมหมวกทรงสูงสีดำ สวมชุดคลุมสีดำทั้งตัว เอามือไขว้หลังยืนอยู่บนหัวเรือ สีหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์

“ทูตตรวจการขวาตำหนักสวรรค์ เกาก้วน!” คนที่รู้จักอุทานอย่างตกใจมาก รีบหันมองไปรอบๆ นึกว่าโดนทัพใหญ่ตำหนักสวรรค์ดักซุ่มโจมตีแล้ว

“พวกเดียวกัน” ประมุขไป๋เหลือบตาขึ้นแล้วกล่าวเสียงเรียบ ทำให้ทุกคนสงบลง แต่ก็ยังทำให้ทุกคนประหลาดใจสงสัยอีกนิดหน่อย เกาก้วนก็เป็นพวกเดียวกันเหรอ?

เรือมังกรที่ยิ่งใหญ่และงามประณีตมาถึงแล้ว มาหยุดอยู่ข้างกายคนกลุ่มนี้ มีบางคนจำผีดิบที่อยู่ในนั้นได้ ถามอย่างตกใจว่า “ซูเจิ้น ขุนพลใหญ่ของประมุขชิง? จินฉือ ลูกศิษย์ของประมุขพุทธะ?”

ประมุขไป๋ไม่สนใจสิ่งเหล่านี้ อุ้มประมุขปีศาจลอยขึ้นไปเหยียบบนเรือมังกร แล้วคนที่เหลือก็ตามขึ้นเรือไป

เกาก้วนจ้องประมุขไป๋ด้วยสายตาเยียบเย็น เดินก้าวยาวเข้ามายืนเผชิญหน้า สายตาหยุดอยู่บนตัวผู้หญิงในอ้อมกอดที่หลับลึก แล้วถามว่า “นางไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”

ประมุขไป๋ตอบว่า “ไม่เป็นอะไร ความปรารถนาร้ายในร่างกาย ข้ากำจัดทิ้งหมดแล้ว เพียงแต่จิตใจเสียหายอย่างรุนแรง อ่อนเพลียเกินไป พักผ่อนให้ดีสักหน่อยก็น่าจะหายในเร็วๆ นี้”

เกาก้วนกล่าวเสียงเย็นว่า “เจ้าเคยรับปากข้าแล้วว่าจะดูแลนางให้ดี แต่กลับทำให้นางรับความทรมานใหญ่หลวงขนาดนี้ เจ้าดูแลอย่างนี้น่ะเหรอ?”

ประมุขไป๋เงียบไปครู่เดียว แล้วบอกว่า “ข้าขอโทษ!”

เกาก้วนยกฝ่ามือขึ้นสะบัดออกมาหนึ่งที

เพี้ยะ! ตบบนหน้าประมุขไป๋อย่างแรงจนเสียงดังฟังชัด ตบจนประมุขไป๋หน้าหัน บนใบหน้ามีรอยฝ่ามือชัดเจน

ไม่เห็นประมุขไป๋หลบอะไรทั้งนั้น ปล่อยให้โดนตบเสียดื้อๆ ทุกคนตกใจมาก แม้แต่ประมุขชิงก็ไม่กล้าทำอย่างนี้กับประมุขไป๋ เกาก้วน ลูกน้องของประมุขชิงคนนี้มีที่มาที่ไปอย่างไรกันแน่?

ประมุขไป๋ที่โดนตบหนึ่งฉาดได้แต่ยิ้มเจื่อน

เกาก้วนยื่นมือสองข้างออกมา “ส่งให้ข้า!”

ประมุขไป๋ส่งประมุขปีศาจที่อยู่ในอ้อมกอดไปที่วงแขนของเขาอย่างระมัดระวัง การกระทำนี้ทำให้คนกลุ่มนี้ไม่เข้าใจ มีหรือที่จะปล่อยให้ผู้หญิงที่ตัวเองรักถูกผู้ชายคนอื่นอุ้มส่งเดช?

ลี่หัวและบรรดาประมุขสิบปราสาทดำเนินพากันมองไปทางอู๋ฉาง หั่วเจินจวินและอินเอ้อร์หลาง อย่างไรเสียทั้งสามก็เป็นลูกน้องเขาประมุขปีศาจ หวังว่าทั้งสามจะรู้อะไรบ้าง แต่ปฏิกิริยาของทั้งสามก็คือทำสีหน้างงงวยเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าไม่เข้าใจสถานการณ์เหมือนกัน

เกาก้วนอุ้มประมุขปีศาจมาดูอย่างระมัดระวัง แล้วกวาดมองกลุ่มคนอีกครั้ง “เป็นผู้ชายทั้งหมดแล้วจะดูแลได้ยังไง ให้ผู้หญิงสองคนมาปรนนิบัติ!” สายตามองไปทางลี่หัวและผู้หญิงที่เหลือ

จะให้ค่าดูแลนางงั้นเหรอ? ลี่หัวแสยะยิ้ม แล้วหันหน้ามองไปอีกด้าน

ประมุขไป๋ยิ้มเจื่อนพลางพยักหน้าให้หลินไห่ประมุขปราสาทปราสาทแมกไม้

หลินไห่ปล่อยคนกลุ่มใหญ่ออกมาทันที เป็นคนที่หน้าตาไม่เหมือนมนุษย์ปกติ เป็นเผ่าปีศาจที่นำโดยผู้อาวุโสมู่เซิน!

มู่เซินและเผ่าปีศาจเห็นพวกประมุขไป๋แล้วอึ้งทันที เห็นได้ชัดว่าสะเทือนใจแล้ว พอเห็นประมุขปีศาจในอ้อมกอดเกาก้วนอีกครั้ง ก็ควบคุมสติไม่ไหวทันที คุกเข่าร้องไห้แล้ว

“ประมุขของพวกเจ้าเหนื่อยแล้ว ต้องการคนดูแล” เกาก้วนกล่าวเสียงเรียบ อุ้มคนเดินผ่านเผ่าปีศาจที่กำลังคุกเข่าไปอย่างเย็นชา เดินตรงขึ้นไปบนตึกเรือมังกร

เดิมทีเผ่าปีศาจเผ่าที่ดูแลปรนนิบัติประมุขปีศาจ ล้วนเป็นบ่าวรับใช้ของประมุขปีศาจ พอตอนนี้เห็นเจ้านายตัวเองอีกครั้ง ก็รู้สึกตื่นเต้นที่สุด เมื่อได้ยินคำพูดของเกาก้วน มู่เซินก็รีบลุกขึ้น ตะโกนบอกให้บรรดาผู้หญิงเผ่าปีศาจรีบตามขึ้นไป จากนั้นก็ออกคำสั่งอย่างเป็นระเบียบขั้นตอนต่อเผ่าปีศาจว่าให้รับหน้าที่อะไร อธิบายความเคยชินในชีวิตประจำวันของประมุขปีศาจ ทุกสิ่งของเผ่าปีศาจล้วนถูกนำมาใช้ว่าจะดูแลประมุขปีศาจอย่างไร

เผ่าปีศาจที่สงบเงียบเหมือนจะหาความหมายในการมีชีวิตอยู่เจออีกครั้งแล้ว คนที่เริ่มวุ่นอยู่กับการทำงาน ตอนนี้เริ่มมีใบหน้าดูสดใสเปล่งประกายแล้ว

ขณะมองคล้อยหลังเกาก้วนเดินออกไป ประมุขสิบปราสาทดำเนินก็ยังรู้สึกเหลือเชื่อ แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่เข้าใจแล้ว ไม่แปลกใจที่ก่อนเกิดเรื่อง สิบปราสาทดำเนินได้รับข่าวกะทันหัน กำจัดสายลับของหน่วยตรวจการขวาในสิบปราสาทดำเนินในรวดเดียว ลองคิดดูว่าแม้แต่ทูตตรวจการขวาก็ยังเป็นคนของฝั่งนี้ ถ้าอยากจะรู้รายชื่อของสายลับตำหนักสวรรค์ที่แทรกอยู่ในสิบปราสาทดำเนิน ก็ย่อมไม่ใช่ปัญหาอยู่แล้ว

“ผู้หญิงคนนี้ถูกเจ้าเอาใจจนเหลวไหลแล้ว!”

ลี่หัวเหมือนขัดหูขัดตากับทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้า อดไม่ได้ที่จะพูดเหน็บแหนบประมุขไป๋

ประมุขไป๋ยิ้มเจ้าเล่ห์พราวเสน่ห์ “เหมือนข้าจะจำได้ว่าเมื่อก่อนข้าก็อยากจะเอาใจเหมือนกัน แต่จะไม่ให้โอกาส”

“ฮ่าๆ…” ปีศาจเฒ่าทั้งสาม อยู่ข้างๆ ส่งเสียงหัวเราะ

ลี่หัวแอบกัดฟัน จองรอยฝ่ามือบนหน้าของเขา “สงสัยฝากมือเดียวคงยังไม่พอ! ในปีนั้นข้าถามเจ้า เจ้ายังไม่ตอบข้าเลย เจ้าหาผู้หญิงคนนี้มาจากไหนกันแน่?”

“เรื่องนี้ไม่สำคัญหรอก” ประมุขไป๋ส่ายหน้าเล็กน้อย

ลี่หัวชำเลืองมองรอยฝ่ามือบนหน้าเขาอีก “แล้วเกาก้วนนี่ยังไงอีก เมื่อก่อนไม่เห็นเขากับผู้หญิงคนนี้มีความเกี่ยวข้องอะไรกัน เขามีที่มาที่ไปยังไงกันแน่?”

“ในภายหลังยังมีโอกาสเล่าให้ฟัง” ประมุขไป๋ไม่ยอมคายความจริง หันตัวมาหาคนของสิบปราสาทดำเนิน แล้วบอกว่า “หลายปีมานี้ทำให้ทุกคนลำบากแล้ว”

ทุกคนมีสีหน้าแตกต่างกันไป บางคนก็ส่ายหน้า บางคนก็ยิ้มเจื่อน บางคนก็ถอนหายใจ

อู๋ฉางที่อยู่ข้างๆ บอกว่า “คุณชายไป๋ ไป๋เหนียงจื่อนี่เป็นยังไงกันแน่? นางบอกว่านางบวชแล้ว บอกว่าคำนับอาจารย์อะไรสักอย่าง เรื่องเป็นยังไงกันแน่!”

“ออกบวช? คำนับอาจารย์?” ประมุขไป๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย เผยสีหน้าครุ่นคิด แล้วพึมพำว่า “ศีลแปด…”

อู๋ฉางพูดต่อ “คุณชายไป๋ ไป๋เหนียงจื่ออยู่ที่ไหนเหรอ? ทำไมไม่เรียกนางมาด้วยล่ะ?”

“ทำไมไม่เรียกนาง…” ประมุขไป๋แววตาวูบไหว ทอดสายตามองดาราจักรพร้อมกล่าวช้าๆ ว่า “ไม่อยากแตกหักกับเขา…”

ทุกคนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ไม่รู้ว่าที่เขาพูดหมายความว่าอะไร

ไม่รอให้ทุกคนถามเยอะ ประมุขไป๋เอียงหน้ามองไปทางเทพพยากรณ์ที่ยืนค้ำไม้เท้าอยู่ข้างๆ ตลอดแล้ว การกระทำและคำพูดที่อ่อนโยนมีไมตรีหายไปทันที กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “บัญชีในปีนั้นควรจะสะสางให้ดีสักหน่อย ไปทางลัด มุ่งหน้าด้วยความเร็วทั้งหมดที่มี!”

“เฮ้อ!” เทพพยากรณ์ถอนหายใจ แล้วหันตัวเดินไปที่หัวเรือ ก่อนจะหลับตาลงช้าๆ

เรือมังกรยักษ์ที่ลอยอยู่ในดาราจักรเคลื่อนไหวครั้ง ผีดิบกลุ่มหนึ่งลากเรือมังกรเหาะเร็วขึ้นเรื่อยๆ เร็วกว่าในปีนั้นที่เหมียวอี้เคยขึ้น หายเข้าไปในจุดลึกของดาราจักรอย่างรวดเร็ว…