จวนตระกูลเซิง ในศาลากลางน้ำ ในเตาข้างกู่เจิงหลังหนึ่งมีควันสีเขียวลอยขึ้นมา เซิงมู่เสวี่ยกำลังยืนพิงระเบียงอยู่นอกศาลา กำลังให้อาหารปลา
“ลูกๆ ล่ะ?” โค่วอวี้รีบเดินออกมาจากทางเดิน คว้าแขนเซิงมู่เสวี่ยและถามด้วยสีหน้าหวาดกลัว ใบหน้างามดุจพระจันทร์เหี่ยวแห้งลงเยอะมาก
จะไม่เหี่ยวแห้งได้อย่างไร นอกจากนางแล้ว คนของตระกูลโค่วก็ตายหมด เศร้าสลดหรือไม่ก็ไม่ต้องพูดถึงแล้ว ตอนนี้สิ่งที่มีมากกว่านั้นคือความหวาดกลัว ตอนที่ตระกูลโค่วยังอยู่นั้นมีอำนาจสูงระฟ้า แต่ตอนมีอำนาจสูงก็หมายความว่าได้ล่วงเกินคนไว้ทั่ว ตอนที่ตระกูลโค่วยังไม่ล้ม ก็ย่อมไม่มีใครกล้าแตะต้องนาง แต่เมื่อตระกูลโค่วล้มแล้ว แค่คิดก็รู้ว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร ไม่ว่าสุดท้ายใครจะได้ครองใต้หล้า ฝั่งนี้ก็เลิกคิดไปได้เลยว่าจะได้มีจุดจบที่ดี เป็นเพราะนางคือลูกสาวของโค่วหลิงซวี ตอนที่ร่ำรวยก็เป็นเพราะนางเป็นลูกสาวของโค่วหลิงซวี
เดิมที ตระกูลโค่วก็เรียกรวมฝั่งนี้แล้วเช่นกัน แต่เซิงมู่เสวี่ยหาข้ออ้างว่าไม่สบายแล้วปฏิเสธ นี่คือข้ออ้างที่เซิงมู่เสวี่ยใช้มาตลอดเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง ผ่านมาหลายปีขนาดนี้ตระกูลโค่วก็ชินแล้ว จึงตามใจฝั่งนี้และเช่นกัน อย่างไรเสียเซิงมู่เสวี่ยก็ทำตัวอย่างนี้มาตลอด เรื่องสุรานารี เรื่องกินดื่มหาความบันเทิงก็มาหาข้าได้ แต่ถ้าจะให้ทำอะไรที่เป็นการเป็นงานก็จะปฏิเสธทันที เรื่องรบราฆ่าฟันก็ยิ่งอย่ามาหาข้า เหตุผลก็คือเห็นเลือดไม่ได้ ไม่ว่าคนอื่นจะหัวเราะเยาะหรือไม่ อย่างไรเสียเขาก็ไม่เข้าร่วมเรื่องงานจริงจังอะไรทั้งนั้น ไม่ผูกความแค้นกับใคร แต่เรื่องใช้เงินช่วยเหลือคนอื่น เรื่องที่สังคมยกย่องกลับทำไม่ขาด มีสมบัติมากพอที่จะทำตัวเป็นคนรวยที่ว่างงานได้
ทว่าผลที่เกิดขึ้นในครั้งนี้เกินกว่าที่ฝั่งนี้คาดเดาไว้มาก ทัพเหนือรบแพ้ ตระกูลโค่วถูกฆ่าทั้งตระกูล!
ต่อให้เซิงมู่เสวี่ยจะนึกไม่ถึงว่าตระกูลโค่วที่ยิ่งใหญ่แห่งยุคจะล้มเร็วขนาดนี้ เร็วจะทำให้คนทำใจเชื่อได้ยาก ตระกูลโค่วหายไปอย่างนี้แล้วเหรอ?
พอตระกูลโค่วล้ม ก็ทำให้ฝั่งนี้ตกอยู่ในวิกฤตใหญ่หลวงทันที ความโชคดีในความโชคร้ายก็คือไม่ได้ไปกับตระกูลโค่วด้วย ทำให้ตระกูลเซิงพ้นเคราะห์ครั้งนี้ไปได้ อย่างน้อยก็ยังรักษาชีวิตไว้ได้ชั่วคราว ไม่อย่างนั้นคงจะต้องลงหลุมศพไปพร้อมกับตระกูลโค่วแล้วจริงๆ
เซิงมู่เสวี่ยปัดอาหารที่เหลือออกจากฝ่ามือ แล้วหันตัวมาจ้องโค่วอวี้พักหนึ่ง ก่อนจะบอกว่า “พวกลูกๆ น่ะ ข้าให้ท่านอาซุนพาไปอยู่ในสถานที่ปลอดภัยแล้ว เจ้าวางใจได้ ไม่เกิดเรื่องขึ้นหรอก”
พอได้ยินแบบนี้ โค่วอวี้ก็โล่งอก คว้าแขนเขาแล้วถามอย่างร้อนรน “เช่นนั้นพวกเราก็รีบไปด้วยสิ? ทำไมยังไม่ไปอีก?”
เซิงมู่เสวี่ยส่ายหน้า “พวกเราไปไม่ได้ ถ้าพวกเราไปเมื่อไหร่ ก็จะกลายเป็นนักโทษหลบหนีทันที พวกลูกๆ ก็จะกลายเป็นนักโทษหลบหนีด้วย ถ้าจะซ่อนตัวไปตลอดชีวิตก็ไม่ใช่วิธีการที่ดี ที่ส่งลูกๆ ไปก่อนก็เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด พวกเราต้องอยู่ที่นี่ก่อน!”
โค่วอวี้น้ำตาไหลพราก กล่าวเสียงสะอื้นว่า “มู่เสวี่ย ข้าขอโทษ ข้าทำให้เจ้าพลอยลำบากไปด้วย” นางเงยหน้าขึ้นมา “เอาอย่างนี้ดีไหม ไม่ว่าตอนสุดท้ายใครจะได้ครองใต้หล้า เจ้าเป็นฝ่ายส่งตัวข้าให้พวกเขาก่อน”
เซิงมู่เสวี่ยยกมือขึ้นปิดริมฝีปากนาง “เจ้ากับข้าเป็นสามีภรรยากัน พูดอะไรแบบนี้เกินไปแล้ว ข้าขอถามเจ้าคำเดียว หลายปีมานี้ที่เจ้าแต่งงานกับข้า เจ้ามีความสุขหรือเปล่า?”
โค่วอวี้พยักหน้า “มีความสุข ที่มากกว่านั้นคือความสงบสุข ข้ารู้ว่าเจ้าไม่อยากไปเกี่ยวข้องกับความขัดแย้ง ถ้าเก็บข้าไว้ก็จะกลายเป็นความขัดแย้ง…”
เซิงมู่เสวี่ยยิ้มบางๆ แล้วแกล้งบีบริมฝีปากนาง “ไม่ต้องคิดมากแล้ว! ลืมตระกูลโค่วเสียเถิด ต่อให้ลืมไม่ลง แต่หลังจากนี้ไปก็ไม่ต้องเอ่ยถึงอีกแล้ว ตระกูลโค่วกลายเป็นอดีตไปแล้ว ถ้ายังมัวไปคิดว่ามีหรือไม่มีก็ไม่มีความหมายอะไรแล้ว ใช้ชีวิตต่อไปให้ดีนั้นดีกว่าอะไรทั้งนั้น เจ้าแค่ต้องจำไว้ว่า แต่งกับไก่ตามไก่แต่งกับสุนัขตามสุนัข ตั้งแต่นี้ไป เจ้าคือนายหญิงของตระกูลเซิง ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลโค่วอีก เรื่องอื่นจะไม่ต้องกังวล เดี๋ยวข้าจัดการเอง เข้าใจหรือยัง?” ในดวงตาที่จ้องนางฉายแววลึกซึ้ง ลึกล้ำ
โค่วอวี้พยักหน้า แต่ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม
เซิงมู่เสวี่ยยกมือขึ้นเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้ารูปไข่ของนาง
ในตอนนี้ ซุนยงพ่อบ้านเก่าเข้ามาทำความเคารพ “นายท่าน ฮูหยิน”
เซิงมู่เสวี่ยปล่อยมือจากโค่วอวี้ หันตัวมาถามว่า “ท่านอาซุน อพยพกันไปหมดแล้วใช่ไหม?”
เมื่อตระกูลโค่วล้มลง ทำให้ทุกคนของตระกูลเซิงหวาดหวั่น เห็นได้ชัดว่ารู้สึกได้ว่ามีคนไม่น้อยเกิดความคิดอยากจะหนีไปแล้ว มีคนมาโน้มน้าวให้เซิงมู่เสวี่ยหนีไปไม่ขาดสาย คนส่วนใหญ่ล้วนกลัว หลังจากเซิงมู่เสวี่ยกับซุนยงปรึกษากันแล้ว ก็ตัดสินใจแจกเงินให้อพยพไป ถ้าใครยินดีที่จะไปก็จะมอบทรัพย์สินส่วนหนึ่งให้ ฝั่งนี้ไม่บังคับให้อยู่ ส่วนใครที่ไม่อยากไปก็อยู่ต่อไปได้
ซุนยงถอนหายใจ “บ่าวรับใช้ในบ้านเหลืออยู่สิบกว่าคนเท่านั้น ทหารอารักขายังมีอยู่ประมาณสามสิบคน ล้วนเป็นคนเก่าคนแก่ทั้งนั้น คนอื่นๆ ไปหมดแล้ว กิจการบางส่วนด้านนอก มีคนไม่น้อยหอบข้าวของหนีไป ตอนนี้พวกเราก็ไร้ความสามารถที่จะเอาเรื่องเช่นกัน”
โค่วอวี้ก้มหน้าอย่างหดหู่ใจ ตระกูลใหญ่ร่ำรวยที่มีบ่าวไพร่และทหารอารักขานับหมื่น ชั่วพริบตาเดียวก็เหลืออยู่ไม่ถึงร้อยคนแล้ว ในที่สุดนางก็เข้าใจแล้วว่าสิ่งใดเรียกว่า เมื่อประสบความยากลำบากก็ต่างคนต่างบินหนี
“ไม่มีอะไรน่าเอาเรื่องหรอก คิดเสียว่าเสียเงินฟาดเคราะห์ก็แล้วกัน ในเวลานี้ถ้าเก็บทรัพย์สินไว้ในมือมากเกินไปก็อาจจะไม่ใช่เรื่องดี ถึงยังไงก็ทำงานให้ตระกูลเซิงมาหลายปีขนาดนั้น ครั้งนี้นับว่าพวกเราทำให้พวกเขาลำบากไปด้วย ขอแค่ไม่ด่าข้าก็พอ เก็บทรัพย์สินเอาไว้เดินทางกับตั้งตัวในภายหลังก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ปล่อยพวกเขาไปเถอะ” เซิงมู่เสวี่ยโบกมืออย่างใจกว้าง ปล่อยเรื่องนี้ผ่านไปเท่านี้ แล้วบอกอีกว่า”ท่านอาซุน บอกคนที่ยังอยู่ด้วย ว่าถ้ามีคนมาหาเรื่อง ก็ไม่ต้องขัดขวาง ให้ปล่อยเข้ามาพบข้าได้เลย!”
“ขอรับ!” ซุนยงเพิ่งจะเอ่ยรับ ด้านนอกก็มีเสียงเอะอะโวยวาย ทหารอารักขาที่อายุมากคนหนึ่งถลันเหาะมาเหยียบลงตรงหน้าทั้งสาม รายงานด่วนว่า “นายท่าน กำลังพลกลุ่มหนึ่งบุกเข้ามา ไม่ได้มาดี ทำยังไงดีขอรับ?”
เซิงมู่เสวี่ยแววตาวูบไหว หันตัวเดินก้าวยาวไปในศาลา สะบัดชายเสื้อนั่งลง นั่งขัดสมาธิลงข้างกู่ฉิน สองมือดีดขึ้นลงบนสายกู่ฉิน เสียงเพลงอันไพเราะนุ่มนวลดังออกมา สีหน้าท่าทางดูผ่อนคลายสุขุม ชำเลืองมองโค่วอวี้ที่ตกใจกลัวเล็กน้อย แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “ฮูหยิน มาเติมธูปหอมสักหน่อย!”
ในเวลานี้โค่วอวี้วิตกกังวล ควบคุมความคิดตัวเองไม่ได้แล้ว เซิงมู่เสวี่ยบอกอะไรนางก็เชื่ออย่างนั้น เดินเข้ามาอย่างเชื่อฟัง นั่งคุกเข่าลงข้างกู่ฉิน เปิดฝาเตาและตลับเครื่องหอม เติมธูปหอมเข้าไปในเตาแล้ว
“จะดีจะร้ายฮูหยินก็มีพื้นเพมาจากจวนท่านอ๋อง มีใครบ้างที่ไม่เคยพบ ก็แค่ทหารไร้ระเบียบกลุ่มหนึ่งก็เท่านั้นเอง ทำไมต้องกระวนกระวายด้วยล่ะ?” เซิงมู่เสวี่ยที่กำลังดีดฉินพูดหยอกด้วยรอยยิ้มเรียบๆ
เมื่อเห็นเขาจิตใจสงบเยือกเย็นขนาดนี้ โค่วอวี้ที่หวาดระแวงกลัวก็รู้สึกปลอดภัยเพราะมีที่พึ่งบ้างแล้ว พยายามควบคุมให้ตัวเองใจเย็นเช่นกัน
ในขณะนี้เอง กำลังพลกลุ่มใหญ่ก็พุ่งเข้ามา
สมาชิกคนหนึ่งกวาดสายตามองไปทั่วเพื่อเตรียมจะฉวยโอกาสปล้น สายตามองไปเห็นเซิงมู่เสวี่ยกับฮูหยินมีท่าทางไม่สะทกสะท้าน ดูมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม จึงไม่กล้าทำอะไรซี้ซั้วโดยตรง ตะโกนถามว่า “ใช่พวกเขาหรือเปล่า?”
สตรีวัยกลางคนที่หดหัวหวาดกลัวเดินออกมาจากข้างหลังกลุ่มคน ชี้ไปที่เซิงมู่เสวี่ยกับโค่วอ “พวกเขาก็คือลูกเขยและลูกสาวของโค่วหลิงซวี”
ซุนยงช่องสตรีวัยกลางคนด้วยสายตาเยียบเย็น นี่คือบ่าวรับใช้ของจวนตระกูลเซิง เมื่อไม่นานก่อนหน้านี้เพิ่งจะรับเงินแล้วย้ายออกจากที่นี่ไป
จากบทสนทนาของทั้งสองฝ่าย ก็ฟังออกว่ากำลังพลกลุ่มนี้ไม่รู้จักเซิงมู่เสวี่ยกับโค่วอวี้เลย ต้องไม่ใช่คนของอาณาเขตดาวผืนนี้แน่นอน มีความเป็นไปได้เก้าในสิบว่าผู้หญิงคนนี้จะแจ้งไป
เสียงกู่ฉินเงียบลงกะทันหัน เซิงมู่เสวี่ยเก็บแขนเสื้อสองข้างอย่างสง่างามมาก จ้องแม่ทัพหลักพลางยิ้มตาหยีอย่างสนใจ “เจ้าเป็นกำลังพลของหน่วยใด?”
แม่ทัพหลักแสยะยิ้ม “กำลังพลมือปราบของทัพใต้ ยอมให้จับแต่โดยดีเดี๋ยวนี้ บางทีอาจจะยังมีทางรอด” ความเยือกเย็นสุขุมของฝ่ายตรงข้ามทำให้เขาเริ่มไม่มีความมั่นใจ ยังถือว่าพูดจาสุภาพอยู่บ้าง
“อ้อ กำลังพลของหนิวโหย่วเต๋อ บังเอิญแล้ว” เซิงมู่เสวี่ยพลิกมือหยิบแผ่นหยกขึ้นมาแผ่นหนึ่ง ส่งให้ซุนยง บอกใบ้ว่าให้นำให้อีกฝ่ายอ่าน “เพิ่งไม่นานก่อนหน้านี้ หนิวโหย่วเต๋อเดี๋ยวให้คนส่งจดหมายลายมือมาให้ข้า ข้ากำลังคิดอยู่เลยว่าจะตอบยังไง รบกวนชี้แนะสักหน่อย”
แม่ทัพหลักคนนั้นอึ้งทันที พอรับแผ่นหยกมาอ่าน ก็พบว่าเนื้อหาในนั้นเป็นเพียงการทักทายนิดหน่อย ลงชื่อของฝ่าบาทเอาไว้จริงๆ ส่วนตราอิทธิฤทธิ์นั้นใช่ของฝ่าบาทหรือไม่เขาก็ไม่รู้
ความมั่นใจของอีกฝ่ายบวกกับจดหมายฉบับนี้ ทำให้เขาไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม จึงรีบหยิบระฆังดาราขึ้นมาตรวจสอบกับเบื้องบน
ข้อมูลถูกตรวจสอบขึ้นไปทีละชั้นจนถึงเหมียวอี้ เหมียวอี้ย่อมรู้ว่าช่วงนี้ไม่ได้เขียนจดหมายอะไรให้อีกฝ่าย เมื่อรู้ว่าเซิงมู่เสวี่ยยังอยู่ที่จวนนั้นไม่ได้หนีไปไหน เห็นอยู่ชัดๆ ว่าสามารถติดต่อเขาได้โดยตรง แต่ก็ไม่ร้องขอความช่วยเหลือ แต่กลับใช้วิธีการนี้ นี่กำลังเล่นลูกไม้อะไร?
ตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์จะมาครุ่นคิดเรื่องนี้ แต่ท่าทีของเซิงมู่เสวี่ยก็ชัดเจนมาก ไม่ยอมไปไหน ยังอยู่รอให้จัดการที่นั่น ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองก็ยังมีอยู่ เหมียวอี้ตอบกลับไปว่า ไม่ต้องทำให้อีกฝ่ายลำบาก!
เมื่อแม่ทัพหลักได้รับข้อมูลจากเบื้องบนมาแล้ว ก็ตกใจแทบเหงื่อแตก ใช้สองมือคืนแผ่นหยกให้อย่างสุภาพ “ข้าน้อยยังมีกิจธุระต้องทำ รบกวนแล้ว ขอตัวก่อน!” จากนั้นก็เตะผู้หญิงคนนั้นคว่ำลงกับพื้น แล้วโบกมือเรียกกำลังพลให้รีบถอยกลับ
โค่วอวี้ชำเลืองเซิงมู่เสวี่ยเงียบๆ ไม่รู้ว่าช่วงนี้หนิวโหย่วเต๋อส่งจดหมายมาเมื่อไหร่
เรือนพักขนาดใหญ่กลับมาสงบเงียบอีกครั้ง มีเพียงเสียงของผู้หญิงคนนั้นที่คุกเข่าขอร้อง
เซิงมู่เสวี่ยมองตรง ใช้มือดีดสายกู่ฉินพร้อมบอกว่า “อุตส่าห์หวังดีมอบทรัพย์สินให้เจ้าย้ายออกไป แต่เจ้ากลับ…คิดว่าข้าเป็นรูปปั้นพระโพธิสัตว์ดินเหนียวที่จะกลั่นแกล้งเมื่อไหร่ก็ได้งั้นหรอ? ถ้าไม่อยากผูกความแค้นกับเจ้า แต่สิ่งที่เจ้าทำในวันนี้ ต่อให้ข้าปล่อยเจ้าไป แต่ในใจเจ้าจะต้องเคียดแค้นข้าแน่นอน”
พอพูดจบ ซุนยงก็ส่งสายตาให้ทหารอารักขาเฒ่าคนนั้น ทหารอารักขาคนนั้นบีบหลังคอนางลากออกไปโดยตรง ผ่านไปครู่เดียว ก็มีเสียงร้องโอดครวญของผู้หญิงดังมา
ตรงนี้เพิ่งจะได้สงบลง ในจวนก็มีคนหันไปมองตรงทิศทางหนึ่งพร้อมกัน ตรงจุดไกลๆ มีเสียงต่อสู้ดุเดือดดังแว่วมา
ผ่านไปไม่นาน ก็มีทหารอารักขามารายงานว่า “นายท่าน คนกลุ่มเมื่อครู่นี้เจอกับคนอีกกลุ่มนึง ถูกโจมตีจนหนีกระจัดกระจายไปแล้ว คนอีกกลุ่มหนึ่งมันจะพุ่งเป้ามาที่พวกเรา”
เซิงมู่เสวี่ยยิ้มเจื่อน หันกลับมาบอกโค่วอวี้ว่า “ดีดกู่ฉินต่อไป” แล้วก็หันตัวเดินกลับเข้าไปนั่งข้างกู่ฉินในศาลา เสียงเพลงดังขึ้นอีกครั้ง
เหตุการณ์แทบจะเหมือนก่อนหน้านี้ไม่มีผิด เพียงแต่ครั้งนี้ขาดคนรายงาน ผู้ที่มาคือกองทัพองครักษ์กับคนของหน่วยตรวจการขวา
เซิงมู่เสวี่ยยื่นจดหมายที่โพ่จวินส่งมาให้ในช่วงนี้ อาศัยวิธีการนี้ไล่ให้คนที่เตรียมจะมาซ้ำเติมไปได้อีกชุด
รอจนกระทั่งคนถอยไปแล้ว โค่วอวี้ก็ถามอย่างประหลาดใจอีกว่า “เป็นจดหมายของโพ่จวินจริงเหรอ?”
ก่อนหน้านี้บอกว่าหนิวโหย่วเต๋อ นางก็ฝืนใจเชื่อแล้ว แต่ทำไมบังเอิญขนาดนี้ โพ่จวินเพิ่งจะส่งจดหมายมาอีกแล้วเหรอ?
เซิงมู่เสวี่ยส่ายหน้าเบาๆ จดหมายของโพ่จวินคงไม่หลุดออกไปข้างนอกง่ายๆ เขาเองก็อาศัยว่าตอนบิดายังมีชีวิตอยู่รู้จักกับโพ่จวิน ใช้ฐานะของผู้น้อยไปทักทายในระยะยาว ตอนหลังโพ่จวินเห็นว่าเขาไม่ได้หวังผลประโยชน์อะไร และไม่ได้ส่งของขวัญอะไรด้วย แล้วไม่เข้ามาเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์ใดๆ มาทักทายในฐานะคนรุ่นหลังล้วนๆ เมื่อเวลาผ่านไปนานๆ โพ่จวินก็ตอบกลับจดหมายของเขาตามมารยาท เนื้อหาในจดหมายก็คือให้เขาประพฤติตนให้เหมาะสม
ส่วนหนิวโหย่วเต๋อ จดหมายที่ส่งหากันไม่ได้มีแค่ฉบับเดียว จดหมายที่รับส่งกับบุคคลสำคัญของอำนาจฝ่ายต่างๆ แบบนี้เขาล้วนเก็บสะสมไว้ จดหมายเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องรอง ที่สำคัญก็คือเขาล้วนมีความสัมพันธ์อันดีกับคนที่รับส่งจดหมายด้วย มีหลายคนที่ยามประสบกับความลำบาก ยกตัวอย่างเช่นตอนที่เหมียวอี้ถูกตระกูลโค่วเมินเฉย เขาก็ยังสวนกระแสกับตระกูลโค่วและเป็นฝ่ายไปมาหาสู่ก่อน ด้วยเหตุนี้ ยามถึงช่วงเวลาสำคัญ แม้คนที่เขาคบค้าด้วยจะไม่เห็นแก่หน้าตระกูลโค่ว แต่ก็ไม่จำเป็นต้องกลั่นแกล้งเขา ยังเห็นแก่ไมตรีอยู่บ้าง
หลังจากเขาเล่าให้ฟังคร่าวๆ โค่วอวี้ก็ถามอย่างกังวลอีก “ช่วยให้ผ่านไปได้แค่ชั่วครั้งชั่วคราว แล้วในภายหลังจะทำยังไงอีก?”
“ผ่านไปได้แค่ชั่วครั้งชั่วคราวก็เพียงพอแล้ว ตอนนี้ยังเห็นแก่ไมตรีเล็กน้อย หลังจากได้ขึ้นสู่ตำแหน่งแล้ว ก็ย่อมแสดงท่าทีของผู้ชนะ จำเป็นต้องกลั่นแกล้งสหายให้คนอื่นเห็นด้วยเหรอ? ที่ตอนนี้ไม่ไปขอร้องพวกเขา ก็เพราะยังไม่รู้ว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะหรือฝ่ายแพ้ เดิมพันไปทั่วไม่ใช่เรื่องดีอะไร รอให้รู้ผลแพ้ชนะก่อน ข้าจะแบกหน้าด้านๆไปหาผู้ชนะ…” เซิงมู่เสวี่ยเอามือไขว้หลังถอนหายใจเบาๆ สีหน้าเต็มไปด้วยความจนใจ เขาเองก็กำลังระมัดระวังอยู่ท่ามกลางคลื่นที่อันตรายเช่นกัน
………………………