ตอนที่ 2946

War sovereign Soaring The Heavens

ตอนที่ 2,946 : ไม่คู่ควรให้กล่าวถึง

 

“พลังอำนาจแห่งงกฏ…”

 

ต้องกล่าวเลยว่าคำพูดของเพลิงเทพโกลาหลคราวนี้ ได้กระตุ้นความสนใจต้วนหลิงเทียนขึ้นมา และยังทำให้เขารู้สึกมุ่งหวังจะครอบครองพลังอำนาจแห่งกฏที่ว่าขึ้นมาแล้ว…

 

ในอดีตถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะสามารถเข้าใจวรยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังที่พบเจอในระนาบเทวโลกได้ง่ายดาย แต่สิ่งที่เขาได้รับมานั้น มันก็แค่วรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังปลายแถวเท่านั้น

 

เขาไม่เคยรับรู้เรื่องวรยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังระดับราชา และพลังอานุภาพของกฏแม้แต่น้อย!

 

เช่นนั้นวาจาของเพลิงเทพโกลาหลครั้งนี้ ก็เสมือนได้เปิดประตูสู่โลกใหม่ให้เขาอย่างแท้จริง

 

“เจ้าหนู ว่าแต่เจ้ายังไม่ได้บอกข้าเลย…ว่าที่แท้เจ้าไปพบเจอทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 1 นี่มาแต่ที่ใดกันแน่ แล้วสถานที่ๆเจ้าพบเป็นเช่นไร?”

 

เสียงเพลิงเทพโกลาหลยังคงดังขึ้นในหัวต้วนหลิงเทียนสืบต่อ

 

“เอ่อ ข้าไม่ได้ไปพบที่ไหนหรอก…เป็นคนตรงหน้ามอบมาให้ข้าเป็นค่าทำขวัญน่ะ”

 

ต้วนหลิงเทียนที่ดังสติกลับมาหลังได้ยินคำถามซ้ำของเพลิงเทพโกลาหล ก็หันมองไปยังชายหนุ่มเบื้องหน้า แล้วคิดในใจกล่าวกับเพลิงเทพโกลาหล

 

“อันใด!?”

 

เพลิงเทพโกลาหลอุทานออกมาปานคนสำลักน้ำลาย

 

“ไอ้เจ้านี่มันสมองหมูหรืออย่างไร ถึงกับกล้ายกทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 1 ให้เจ้าจริงๆ? ถึงแม้ทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 1 กล่าวไปจักไร้ประโยชน์อันใด แต่หากบังเอิญพบเจอทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 1 อีกสักชิ้น และหากสามารถส่งเสริมมันให้บังเกิดการพัฒนาได้ ก็ย่อมเปลี่ยนเป็นทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 2 ได้สำเร็จ”

 

“ถึงตอนนั้นทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 2 ก็ให้ผลเลิศล้ำยิ่งกว่าอุปกรณ์อมตะประเภทเครื่องรางคุ้มกันวิญญาณใดๆหลายขุม!”

 

เพลิงเทพโกลาหลกล่าวถึงจุดนี้ ก็คล้ายจะอิจฉาทองเทพสุดลี้ลับอยู่บ้าง “ไอ่เจ้านี่มันสมองหมูทั้งโดนลาเตะหัวซ้ำมาแท้ๆ ถึงหยิบยื่นสมบัติล้ำค่าอย่างทองเทพสุดลี้ลับออกมาให้เจ้าได้!”

 

“เอ่อ…ถึงทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 1 มันจะเป็นสมบัติล้ำค่าจริง แต่คนที่มีมันในครอบครองก็ต้องรู้ค่าของมันด้วย…หาไม่แล้วก็เหมือนไข่มุกคลุกฝุ่น”

 

ต้วนหลิงเทียนคิดในใจ เพื่อกล่าวคำกับเพลิงเทพโกลาหล “และชายตรงหน้า ก็รู้แค่ว่าทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 1 นั้นไม่ธรรมดาเพราะขุนนางอมตะ 10 ทิศยังไม่อาจสร้างได้แม้แต่รอยขีดข่วน แต่หาได้รู้คุณค่าที่แท้จริงของมันไม่”

 

“ทั้งหมดเป็นเพราะไอ้หนูเจ้าโชคดีนั่นล่ะ…”

 

หลังเพลิงเทพโกลาหลกล่าวอย่างทอดถอนใจทิ้งท้ายอีกคำ เสียงชราก็เงียบไปราวไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน

 

“คุณชายต้วน…”

 

พอเห็นต้วนหลิงเทียนที่รับหินประหลาดไปก็เอาแต่ยืนนิ่งแล้วมองจ้องมาที่มันโดยไม่พูดไม่จา หูเลี่ยก็รู้สึกใจคอไม่ดีเลย

 

เพราะตัดสินจากทีท่าของหวงเจียหลงแล้ว เกิดอีกฝ่ายตัดสินให้มันตาย น่ากลัวว่าผู้เฒ่าซูเฟิงก็คงต้องฆ่ามันทิ้งโดยไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์ฉันท์สหายกับอาจารย์ของมันแน่!

 

“เอาล่ะ ข้ายอมรับของสิ่งนี้ก็ได้ เช่นนั้นระหว่างเจ้ากับข้า พวกเราไม่มีอะไรติดใจกันอีก”

 

ต้วนหลิงเทียนเลือกจะเก็บทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 1 ไปส่งๆ ทำราวกับมันไร้ความสำคัญ จากนั้นก็หันไปเอ่ยกับหูเลี่ยเสียงเรียบ

 

“ขอบพระคุณท่าน คุณชายต้วน! ขอบคุณท่านมากคุณชายต้วน!!”

 

วาจาเสียงเฉยของต้วนหลิงเทียน หากแต่ยามดังในหูของหูเลี่ย ก็เสมือนคำอภัยโทษจากเจ้าชีวิต มันอดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก เร่งกล่าวขอบคุณต้วนหลิงเทียนซ้ำๆ จากนั้นก็หันไปลาหวงเจียหลงกับซูเฟิง แล้วรีบแจ้นหายไปทันที

 

แวววตามันที่เร่งรุดจากไปนั้นยังฉายชัดถึงความเสียใจสุดแสน ที่ดันไปเห็นดีเห็นงามกับหลี่เวยเรื่องมาดักฆ่าคนอย่างต้วนหลิงเทียน

 

‘ถึงแม้ข้าจักไม่รู้ว่าของสิ่งนั้นคืออันใดกันแน่ หากแต่กระทั่งขุนนางอมตะ 10 ทิศที่ใช้อุปกรณ์อมตะระดับราชาลงมือเต็มกำลัง ยังไม่อาจสร้างรอยขีดข่วนให้มันได้ เห็นชัดว่ามันไม่ใช่หินธรรมดาๆเป็นแน่’

 

หลังจากหนีมาสักพัก ใจหูเลี่ยก็อดไม่ได้ที่จะปววดแปลบ ขณะเดียวกันก็ลอบภาวนาในใจ ว่าขอให้ที่แท้หินก้อนนั้นเป็นแค่ของไร้ประโยชน์ด้วยเถอะ

 

“เรื่องครั้งนี้ต้องขอบคุณท่านมาก เจ้าเมืองน้อย…”

 

หลังงหูเลี่ยจากไป ต้วนหลิงเทียนเหลือบไปมองซากเนื้อเลอะเลือนของหลี่เวยเล็กน้อย จากนั้นค่อยหันไปมองหวงเจียหลงพลางกล่าวขอบคุณออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง

 

หากไม่ใช่เพราะหวงเจียหลงขอให้ชายชราข้างกายลงมือ ไม่พ้นเขาต้องใช้อุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองอีกครั้ง

 

อุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองนั้นใช้ได้ทั้งหมดแค่ 3 ครั้งเท่านั้น และเขาก็ได้ใช้มันไปแล้วครั้งหนึ่ง หากใช้อีกครั้งก็คงเหลือแค่ครั้งเดียวแล้ว

 

เช่นนั้นการที่หวงเจียหลงขอให้ชายชราข้างกายงมือ ก็ไม่ต่างอะไรกกับช่วยเขาประหยัดการใช้อุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองไปครั้งหนึ่ง จึงทำให้เขารู้สึกขอบคุณอีกฝ่ายมาก

 

“น้องต้วนอย่าได้ล้อข้าเล่นเลย…ข้ายังเห็นอยู่กับตา ว่าตอนที่หลี่เวยจะลงมือกับท่าน ท่านยังแลดูสงบ คล้ายไม่แยยแสมันเลยด้วยซ้ำ”

 

หวงเจียหลงส่ายหัวไปมาด้วยรอยยิ้ม “หากข้าเดาไม่ผิด สมควรมีบางคนลอบคุ้มครองน้องต้วนอย่างลับๆใช่หรือไม่?”

 

“ข้าขอให้ผู้เฒ่าเฟิงลงมือครั้งนี้ ยังต่างอันใดจากปักลายบุปผาบนผ้าดิ้น ไม่คู่ควรให้กล่าวถึงด้วยซ้ำ…กลับกันข้าคิดว่าอาศัยแค่หลี่เวย คงไม่จำเป็นต้องให้คนของน้องต้วนลงมือ”

(เพิ่มลายดอกไม้บนผ้าดิ้น = พยายามเสริมเติมแต่งในสิ่งที่มันดีอยู่แล้ว)

 

หลังกล่าวถึงจุดนี้หวงเจียหลงก็เหลือบมองไปรอบๆอีกครั้งด้วยสายตาแฝงเคารพ ไม่กล้าละเลยแม้แต่น้อย เพราะมันรู้สึกว่าท่ามกลางความมืดมิดของรัตติกาล อาจมียอดฝีมืออันร้ายกาจเร้นกายอย่างเงียบงัน

 

หวงเจียหลงเห็นชัดถนัดตา ว่าเมื่อครู่ต้วนหลิงงเทียนแลดูสงบ ไม่คล้ายคนกำลังหวาดกลัวแม้แต่น้อย

 

ด้วยเหตุนี้มันเชื่อว่าต้วนหลิงเทียนต้องมีความมั่นใจอย่างถึงที่สุดว่าต้องปลอดภัย และต้นตอความมั่นใจของต้วนหลิงเทียน มันก็เดาว่าไม่พ้นต้องมียอดฝีมือที่เร้นกายในความมือลอบคุ้มครองต้วนหลิงเทียนแน่นอน

 

และยอดฝีมือผู้นั้น กระทั่งซูเฟิง ขุนนางอมตะ 10 ทิศข้างกายมันก็ไม่อาจสัมผัสได้ถึงการคงอยู่และร่องรอยใดๆได้เลย เผยให้รู้ว่ายอดฝีมือผู้นั้น ต่ำๆก็ต้องเป็นตัวตนขอบเขตราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิด!

 

เพราะตัวซูเฟิงเองก็เป็นขุนนางอมตะ 10 ทิศแล้ว

 

ทว่าต่อให้หลับหวงเจียหลงก็คงไม่อาจฝันถึง…

 

ว่าต้นตอความมั่นใจและความสงบของต้วนหลิงเทียนเมื่อครู่ หาใช่เพราะมียอดคนพลังฝีมือสูงส่งเร้นกายลอบให้คุ้มครองอยู่ไม่ แต่เป็นเพราะเขามีอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันประเภทสิ้นเปลือง ที่พอใช้แล้วจะทำให้มีพลังทัดเทียมตัวตนขอบเขตจอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิดทันที!

 

“อย่างไรก็แล้วแต่ ครั้งนี้ข้าถือว่าติดค้างเจ้าเมืองน้อยครั้งหนึ่ง…”

 

ต้วนหลิงเทียนยิ้มบางๆ เขาย่อมมองออกเป็นธรรมดาว่าหวงเจียหลงเข้าใจผิดไปนู่น! แต่เขาก็ไม่คิดจะอธิบายอะไรให้อีกฝ่ายฟัง นั่นเพราะอุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองนั้นไม่อาจเปิดเผยให้ใครล่วงรู้ได้

 

และในตอนที่เขานำอุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองอย่างปิ่นปักผมนั่นออกมา ไม่เพียงแต่เขาจะจงใจกำไว้ในมืออย่างมิดชิด กระทั่งยังชักนำพลังลึกล้ำของทองเทพสุดลี้ลับที่คอยปกป้องดวงจิตของเขา ให้แผ่มาปกคลุมไว้ทั่วตัวปิ่นอีกด้วย เพื่อไม่ให้ผู้ใดสัมผัสถึงการคงอยู่ของมันได้!

 

ด้วยวิธีนี้ต่อให้มียอดฝีมือขอบเขตราชาอมตะที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางความมืด และแผ่สำนึกเทวะมาสอดแนมเรื่องราวตรงนี้ แต่อุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองของเขาก็ไม่มีทางถูกพบเจอ

 

และที่เขากระทำแบบนี้ ก็เพราะระวังตัวตนขอบเขตราชาอมตะของประเทศฝูชิวโดยเฉพาะ!

 

ฮ่องเต้ฝูชิว ในฐานะราชาอมตะ 2 ยศ ตราบใดที่มันต้องการสำนึกเทวะของมันก็สามารถแผ่ออกมาปกคลุมได้ถึงครึ่งเมืองหลวง!

 

และที่นี่ก็ไม่ได้อยู่ห่างจากพระราชวังหลวงมากมายอะไร เรียกว่าอยู่ในข่ายการตรวจจับของสำนึกเทวะฮ่องเต้ฝูชิวแล้ว

 

“น้องต้วน ข้าเกรงว่าพวกเราต้องไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ฝูชิวก่อนแล้วล่ะ…”

 

หวงเจียหลงเหลือบมองซากเนื้อเลอะเลือนของหลี่เวย พลางกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้มบางๆ “เพราะเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ไม่พ้นต้องถูกฮ่องเต้ฝูชิวล่วงรู้แล้วเป็นแน่”

 

“ถึงแม้อาจมีความเป็นไปได้ที่ฝ่าบาทอาจจะยังไม่ทันตรวจพบ ทว่าเราเป็นฝ่ายไปรายงานเรื่องราวเองย่อมดีกว่า และถึงหลี่เวยผู้นี้จะเป็นพี่ชายของพระสนมหลัน แต่หากจะว่ากันตามเหตุผลแล้ว…ด้วยคุณค่าของน้องต้วนกับข้า ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่ฝ่าบาทจะทำให้พวกเราลำบากใจ”

 

 

ณ พระราชวังหลวงของประเทศฝูชิว

 

ภายในห้องบัลลังก์

 

“นี่คือ…”

 

ฮ่องเต้ฝูชิว หูหลินอี้ ที่นั่งบนบัลลังก์มังกรทองกลางโถงพระราชวังหลวง มองศพที่นอนคว่ำบนพื้นพลางขมวดคิ้วด้วยความสงสัย เห็นได้ชัดว่ามันยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

 

“ฝ่าบาท โปรดทอดพระเนตรใบหน้าศพนี้ก่อน”

 

กล่าวจบ หวงงเจียหลงก็พลิกฝ่ามือเบาๆ จากนั้นก็ปรากฏพลังไร้สภาพขุมหนึ่งพลิกศพที่นอนคว่ำ ทั้งลบคราบโลหิตออกไป

 

ทันใดนั้นรูปโฉมของศพที่ร่างงแหลกเหลวก็เผยให้เห็นเต็มสองตาหูหลินอี้

 

“หลี่เวย!?”

 

เมื่อเห็นใบหน้าศพชัดถนัดตา หูหลินอี้ก็หน้าเปลี่ยนสี เพราะนี่ไม่ใช่พี่ชายคนโตของสนมคนโปรดมันหรือไร?

 

“ฝ่าบาท…ฝ่าบาทเพคะ…”

 

ในขณะที่หูหลินอี้พึ่งจะจดจำได้ว่านี่เป็นศพใคร ก็มีเสียงดังออกมาจากด้านนอก จากนั้นก็ปรากฏร่างบางหนึ่งเร่งก้าวอาดๆเข้ามาด้วยสีหน้าไม่ค่อยสู้ดี ด้านหลังยังมีนางกำนัลติดตามมาเป็นแถว

 

“ฝ่าบาทเพคะ ลูกแก้ววิญญาณของพี่ใหญ่หม่อมฉันแตกแล้ว ฝ่าบาทต้องช่วยหม่อมฉันตามหาคนร้ายนะเพคะ…”

 

สตรีงามที่เร่งก้าวอาดๆมาด้วยสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนั้น เมื่อเข้ามาถึงก็เร่งกล่าวกับฮ่องเต้ฝูชิวด้วยน้ำเสียงโศกเศร้า มือกำไว้ด้วยเศษลูกแก้ววิญญาณที่แตกสลาย หากทว่าพอกล่าวจบคำ สายตานางก็เหลือบไปเห็นซากร่างเลอะเลือนหนึ่งบนพื้น…

 

“พี่ใหญ่!!”

 

หลังจากตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง สีหน้าสตรีงามก็เปลี่ยนไปใหญ่หลวง ร่างบางพุ่งไปกอดศพบนพื้นพลางร่ำไห้น้ำตาแทบเป็นสายเลือด

 

และเมื่อเห็นว่าห่างออกไปจากศพพี่ชายตัวเอง ปรากฏชายหนุ่มหล่อเหลาชุดม่วงที่นางจดจำหน้าตาได้เป็นอย่างดี กับชายหนุ่มที่นางรู้จักโดยข้างกายก็มีชายชราคนหนึ่ง สนมหลันก็ทราบได้ทันทีว่าที่แท้พี่ชายคนโตของนางตกตายด้วยสาเหตุอะไร

 

ขณะเดียวกัน นางก็รู้ดีแก่ใจว่าอาศัยกำลังสามารถของนาง คิดจะล้างแค้นให้พี่ใหญ่เกรงว่าคงยากยิ่งกว่าคนธรรมดาปีนป่ายขึ้นสวรรค์!

 

ดังนั้นถึงแม้นางจะเกลียดชังทั้งเคียดแค้นผู้ลงมือมากเพียงไร แต่นางก็รู้ตัวดีว่าความแค้นและความเกลียดชังครั้งนี้ นางได้แต่ต้องกลบฝังเอาไว้ให้ลึกสุดใจ!

 

“เจียหลง ที่แท้มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”

 

สองตาหูหลินอี้ทอประกายวาบหนึ่ง หันไปมองถามหวงเจียหลงทันที

 

“ทูลฝ่าบาท หลี่เวยผู้นี้…”

 

ได้ยินคำถามของหูหลินอี้ หวงเจียหลงก็ไม่คิดปิดบังอะไร กล่าวถึงเรื่องที่หลี่เวยมาดักฆ่าต้วนหลิงเทียนออกไปอย่างไม่มีอะไรปกปิด

 

แน่นอนยังกล่าวถึงเหตุผลที่ไฉนหลี่เวยต้องมาดักฆ่าต้วนหลิงเทียนอีกด้วย

 

นอกจากนั้นยังบอกอีกว่า ผู้ที่ลงมือฆ่าหลี่เวย ก็คือชายชราที่อยู่ข้างๆมันนี่เอง

 

“ต้วนหลิงเทียน…เจ้าเป็นคนฆ่าหลี่ฮ่าวงั้นเหรอ?”

 

หูหลินอี้มองต้วนหลิงเทียนเขม็ง กล่าวถามเสียงขรึม

 

“ใช่”

 

ต้วนหลิงเทียนที่แลดูสงบพยักหน้าตอบรับ ท่าทางไม่นอบน้อมไม่ถือดี

 

“เจ้าฆ่ามันด้วยสาเหตุอันใด?”

 

หูหลินอี้กล่าวถาม

 

“ข้าเองก็ไม่เคยรู้จักกับมันมาก่อน แต่ตอนที่ข้าเจอมันครั้งแรก มันกลับให้ข้าเลือก…ว่าข้าจะทำลายใบหน้าของตัวเอง หรือตาย…”

 

ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “ข้าไม่รู้ว่าหากเป็นฝ่าบาทเจอแบบนี้ จะเลือกยังไง?”

 

“สารเลว!”

 

ได้ยินคำตอบของต้วนหลิงเทียน หูหลินอี้ก็สบถออกมาพลางสะบัดแขนเสื้ออย่างหงุดหงิด…แน่นอนว่าเป้าหมายคำสบถย่อมเป็นหลี่ฮ่าว ไม่ใช่ต้วนหลิงเทียน

 

“ฝ่าบาท…”

 

ขณะเดียวกันนั้นเอง หวงเจียหลง ก็มองไปยังหูหลินอี้พลางกล่าวผ่านพลังเสริมว่า “หลี่เวยนั้นพลังฝีมือเหนือกว่าผู้ติดตามขอบเขตพลังแค่ขุนนางอมตะ 1 ต้นกำเนิดที่คอยติดตามอยู่ข้างกายต้วนหลิงเทียนมาก..”

 

“หากทว่าก่อนที่ผู้เฒ่าเฟิงจะลงมือ ต้วนหลิงเทียนไม่ได้แลดูเป็นกังวลหรือร้อนรนอันใด เรียกว่าแต่ต้นจนจบ คนสงบไร้หวั่นกลัว เห็นชัดว่าเปี่ยมล้นไปด้วยความมั่นใจ…”

 

กล่าวถึงจุดนี้หวงเจียหลงก็ไม่คิดจะพูดอะไรต่อ

 

เหตุผลที่มันไม่คิดพูดอะไรต่อ เพราะมันรู้ดีว่าถึงไม่พูดออกไป แต่คนอยย่างฮ่องเต้ฝูชิวย่อมตระหนักเรื่องราวได้เป็นอย่างดี ว่ามันคิดจะพูดอะไรสืบต่อ

 

‘ดูเหมือนว่าข้างกายมันจักมียอดฝีมือขอบเขตราชาอมตะที่พลังฝีมือสูงส่งติดตามให้ความคุ้มครองอย่างลับๆ…ที่สำคัญลำพังตัวมันเองก็เป็นอัจฉริยะที่น่ากลัวเหลือเกิน อายุไม่ถึงร้อยปีแท้ๆแต่แทบจะคงกระพันใต้ขอบเขตขุนนางอมตะแล้ว!’

 

‘นอกจากนั้นหากมันกลับออกมาจากแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำได้ ไม่พ้น 3 นิกาย 2 ขุมกำลังต้องถึงขั้นรีบร้อนแย่งตัวมันกันแน่…พอถึงตอนนั้นไม่ว่าสุดท้ายมันจะเลือกเข้าร่วมกับฝ่ายใด แต่ข้าไม่พ้นต้องได้รับรางวัลครั้งใหญ่!’

 

‘ไม่ว่าจะด้วยยอดฝีมือที่เร้นกายลอบติดตามมันก็ดี หรือผลประโยชน์ที่ข้าจะได้จาก 3 นิกาย 2 ตระกูลก็ดี…การตายของหลี่เวยนั้นไม่คู่ควรให้กล่าวถึง’

 

หลังจากครุ่นคิดเรื่องราวปราดหนึ่ง ทีท่าของหูหลินอี้ก็เปลี่ยนไปในฉับพลัน ไม่ทันไรก็ตัดสินใจได้แล้ว!