WSSTH ตอนที่ 2,953 : พญาอินทรีย์ทมิฬเนตรมรกต
ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ หวงเจียหลงได้มาหาต้วนหลิงเทียนถึงที่พัก และกล่าวบอกกำหนดการณ์แก่ต้วนหลิงเทียน ว่าจะออกเดินทางกันตอนไหน
เชาวันนี้ต้วนหลิงเทียนก็เลยมายังประตูเมืองทิศเหนือของเมืองหลวงฝูชิวตามที่ได้นัดหมายกันเอาไว้
“น้องต้วน ข้าจะพาท่านไปเจอท่านพ่อ”
หลังหวงเจียหลงเหินร่างเข้ามาหาต้วนหลิงเทียนได้ไม่ทันไร มันก็หันหลังกลับ แล้วเหินนำต้วนหลิงเทียนกับหลิวก่วงหลินไปสมทบกับอีก 3 คนที่เหินร่างรอคอยกลางหาวอย่างไม่รอช้า
1 ใน 3 คนที่เหินรออยู่ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับต้วนหลิงเทียน เป็นเจ้าเมืองตู้อวิ๋นหวงเหยี่ยนเฟยนั่นเอง
ส่วนอีก 2 คนที่เหลือ ต้วนหลิงเทียนก็พึ่งจะเคยเจออีกฝ่ายเป็นครั้งแรกวันนี้…
หนึ่งในนั้นมีรูปลักษณ์เป็นชายชรามาในชุดสีดำสนิท เส้นผมขนคิ้วล้วนขาวโพลน แก้มตอบ และดูซูบผอมคล้ายคนขาดอาหาร
ชายชราร่างผอมบางลอยร่างอยู่ตรงนั้น ให้ความรู้สึกเย็นชาไม่แสสิ่งใด
ส่วนอีกคนที่เหลือเป็นชายวัยกลางคนมาในชุดคลุมสีขาว ใบหน้ารูปเหลี่ยมแลดูบึกบึนล่ำสัน หว่างคิ้วองอาจผ่าเผย แววตาคมกล้าปานพยัคฆ์!
ชายวัยกลางคนผู้นี้เพียงยืนอยู่เฉยๆ ก็ให้ความรู้สึกดั่งหอคอแกร่งตั้งตระหง่านไม่หวั่นลมฝน ให้ความรู้สึกดุร้ายทรงพลังอยู่บ้าง
หากเทียบกับชายชราที่แลดูเย็นชาแล้ว ชายวัยกลางคนผู้นี้ให้ความรู้สึกตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง
“ท่านพ่อนี่คือน้องต้วน ท่านเองก็เคยเห็นแล้ว”
เมื่อหวงเจียหลงเหินร่างมาถึง มันก็แนะนำต้วนหลิงเทียนให้หวงเฟยเหยี่ยนรู้จักก่อน
หวงเฟยเหยี่ยนเองก็มองต้วนหลิงเทียนตั้งแต่แรก พอเห็นต้วนหลิงเทียนเข้ามาและได้ยินคำแนะนำจากลูกชาย มันก็รีบกล่าวคำทักทายด้วยรอยยิ้มทันที
“สหายน้อยต้วนพวกเราพบกันอีกแล้ว”
รอยยิ้มกับคำทักทายของหวยเฟยเหยี่ยนนั้น แลดูสบายๆเป็นกันเอง ไม่ได้วางตัวในฐานะเจ้าเมืองหรือผู้อาวุโสอะไรแม้แต่น้อย
ท่าทางเสมือนพบปะกับคนในระดับที่เท่าเทียมกัน
และเรื่องนี้ก็ทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกสบายใจเป็นอย่างมาก
“เจ้าเมืองหวง ข้ากับพี่เจียหลงเป็นสหายกัน เช่นนั้นท่านเรียกข้าว่าหลิงเทียนเฉยๆก็ได้”
ต้วนหลิงเทียนแย้มยิ้มกล่าวตอบ
“ฮ่าๆๆ…ได้! แต่ให้ข้าเรียกว่าหลิงเทียนก็ฟังดูแปลกพิกล เช่นนั้นให้ข้าเรียกเจ้าเสี่ยวเทียนเถอะ อย่างไรเสียด้วยอายุของเจ้า การที่ข้าเรียกหาเจ้าเช่นนี้ก็ไม่ถือว่าเอาเปรียบเจ้าแต่อย่างใด”
หวงเฟยเหยี่ยนหัวเราะกล่าวด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย และวาจาเพียงไม่กี่คำของมันก็สามารถลดระห่างได้มาก
“เสี่ยวเทียนนี่คือผู้เฒ่าโม่ เป็นดั่งบิดาบุญธรรมของข้า และยังเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับท่านพ่อของข้าอีกด้วย ส่วนนี่ไป๋กัง สหายที่ข้าเห็นไม่ต่างอะไรจากน้องชายแท้ๆ เจ้าเรียกว่าอาไป๋ก็ได้”
หลังหัวเราะกล่าวอย่างผ่อนคลายแล้ว หวงเหยี่ยนเฟยก็ผายมือไปทางชายชราชุดดำกับชายวัยกลางคนชุดขาว พลางงกล่าวแนะนำให้ต้วนหลิงเทียนรู้จัก
และแทบจะพร้อมกันกับที่เสียงแนะนำของหวงเหยี่ยนเฟยดังจบคำ ต้วนหลิงเทียนก็หันมองไปยังชายชรากับชายวัยกลางคนทันที ซึ่งอีกฝ่ายก็หันมามองสบตากับเขาเช่นกัน
ทันใดนั้น ต้วนหลิงเทียนยก็รู้สึกเสมือนถูกอีกฝ่ายมองจนทะลุปรุโปร่ง ราวกับต่อหน้าทั้งคู่เขาไม่อาจปิดซ่อนอะไรได้
‘หืม?’
ขณเดียวกันต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกไปรางๆ ว่าทั้งคู่คล้ายมีอะไรบางอย่างผิดแปลกบางงประการ แต่เขาก็ไม่อาจระบุชี้ชัดได้ว่าทั้งคู่แปลกตรงไหน
“ผู้เฒ่าโม่ อาไป๋”
ต้วนหลิงเทียนสูดอากาศเข้าลึกๆ ก่อนจะเอ่ยทักทายทั้งคู่ด้วยรอยยิ้ม
“ไม่เลว ไม่เลวเลยจริงๆ…มิน่าแปลกใจเลยว่าไฉนเจ้าหนูเจียหลงถึงได้ยอมรับนับถือเจ้านัก…สามารถบรรลุถึงยอดเซียนอมตะขั้นสวรรค์ได้ตั้งแต่อายุไม่ถึงร้อยปี ทั้งพลังฝีมือยังสูงกว่าเจ้าหนูเจียหลงหลายขุม ไม่ธรรมดา!”
ไป๋กังกล่าวทักต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้ม เห็นชัดว่ามันเป็นคนอัธยาศัยดีไม่น้อย
สำหรับชายชราในชุดดำนั้น เพียงพยักหน้าให้ต้วนหลิงเทียนเบาๆ ก่อนจะถอนสายตาที่ใช้มองต้วนหลิงเทียนกลับคืน
แต่ต้นจนจบแววตาอีกฝ่ายสงบนัก ราวกับไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรเลย
“เหอะๆ…เจ้าหนูหลิงเทียน ผู้เฒ่าโม่ผู้นี้เป็นดั่งน้ำแข็งก้อนหนึ่ง เจ้าอย่าได้ไปสนใจเลย”
เมื่อเห็นว่าชายชราไม่ได้ยินดียินร้ายหรือกระตือรือร้นจะทักทายอะไรต้วนหลิงเทียน ไป๋กังก็เร่งกล่าวแก้สถานการณ์ออกมาทันที
“ผู้เฒ่าโม่ ในเมื่อทุกคนมากันครบแล้ว พวกเราก็ไปกันเลยเถอะ”
ตอนนี้เอง หวงเฟยเหยี่ยนก็หันไปกล่าวกับชายชราชุดดำอย่างสุภาพ
“เอาล่ะ”
ชายชราชุดดำพยักหน้ารับคำ และในวินาทีเดียวกันกับที่มันพยักหน้ารับคำ ร่างชราก็พุ่งวาบออกไปปานอัสนีสีดำสายหนึ่ง
มวลอากาศแตกระเบิดส่งเสียงดังสนั่นปานฟ้าคำรน!
ต้วนหลิงเทียนเองก็ถูกร่างชราที่อยู่ๆก็พุ่งลิ่วออกไปไกลตาดึงดูดความสนใจทันที
จากนั้นเขาก็ได้เห็นว่าชายชราที่พุ่งวาบออกไปปานอัสนีฟาดนั้น บัดนี้ชุดคลุมเริ่มสั่นไหว จากนั้นก็ปรากฏแสงสีดำเรืองรองออกมาทั่วร่าง คล้ายหมึกที่แผ่ขยายไปบนกระดาษ พร้อมด้วยกลิ่นอายพลังอันสุดไพศาลขุมหนึ่ง
ครืนน!!
พริบตาต่อมา เมื่อแสงสีดำสาดส่องย้อมฟ้าให้มืดดำราวสาดน้ำหมึก จากนั้นกลางอากาศ ณ จุดที่ชายชราลอยไปถึงก่อนหน้า ก็ปรากฏบางสิ่งที่มีขนาดมหึมาให้เห็น
เป็นนกตัวเขื่องที่มีสีดำปานน้ำหมึก ลอยค้างกลางหาวอย่างเงียบงันปานเกาะลอยฟ้าเกาะหนึ่ง ขนนกสีดำทั่วร่างมืดสนิทไม่สะท้อนแสง ให้ความรู้สึกแข็งแกร่งปานดาบเหล็กดำ
มองไกลๆแล้ว นกตัวเขื่องนี้ไม่ต่างอะไรจากเนินเขาย่อมๆเลย และรูปลักษณ์ก็ไม่ต่างอะไรจากพญาอินทรีย์แม้แต่น้อย
หากจะถามว่าต่างจากพญาอินทรีย์ตรงที่ใด ก็คงเป็นขนาดตัวที่ใหญ่โตมหึมานั่น อีกทั้งกรงเล็บที่ฉายแววให้ความรู้สึกแหลมคมอันตราย ราวกับมีอานุภาพไม่ด้อยกว่าศาสตราอมตะนั่น!
‘สัตว์อมตะ? ผู้เฒ่าโม่คนนี้…ที่แท้ไม่ใช่ผู้คน แต่เป็นสัตว์อมตะจำแลงกายมา?’
ต้วนหลิงเทียนพอรู้สึกตัว ก็เข้าใจที่มาของความรู้สึกผิดปกติตอนแรกพบผู้เฒ่าโม่ทันที
ขณะเดียวกันต้วนหลิงเทียนก็เผลอหันไปมองไป๋กังโดยไม่รู้ตัว เพราะไป๋กังเองก็ให้ความรู้สึกคล้ายๆกับผู้เฒ่าโม่
“สัตว์อมตะระดับราชาขั้นต่ำ พญาอินทร์ทมิฬเนตรมรกต!”
จังหวะนี้หลิวก่วงหลินอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาด้วยความตกใจ เมื่อได้เห็นผู้เฒ่าโม่กลายร่างไปเป็นวิหกตัวเขื่อง
พอได้ยินนคำอุทานดังกล่าวของหลิวก่วงหลิน ผู้เฒ่าโม่ในร่างพญาอินทรีย์ตัวเขื่องก็หันกลับมาเล็กน้อย ลูกตาสีมรกตของมันมองจ้องไปที่หลิวก่วงหลินด้วยความสนใจ
“เจ้าจดจำร่างที่แท้จริงของข้าได้รึ…นับว่ามีความรู้ไม่น้อย”
ผู้เฒ่าโม่นั่นเห็นก็รู้ว่าเป็นคนไม่ค่อยพูด กระทั่งตอนต้วนหลิงเทียนทักทายไปอีกฝ่ายยังไม่เอ่ยตอบแม้ครึ่งคำ
“สัตว์อมตะระดับราชาขั้นต่ำ?”
ถึงแม้นี่จะเป็นครั้งแรกที่ต้วนหลิงเทียนเคยได้ยินเรื่อง ‘พญาอินทรีย์ทมิฬเนตรมรกต’ เป็นครั้งแรก หากแต่เรื่องสัตว์อมตะระดับราชาขั้นต่ำนั้น เขาเคยได้ข้อมูลจากยันต์อมตะเก็บความทรงจำมาแล้ว
สัตว์อมตะระดับราชาขั้นต่ำที่ว่า หลังจากเติบโตเต็มวัยแล้ว อย่างน้อยๆด่านพลังก็จะบรรลุถึงราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิด หากพรสวรรค์ไม่เลว ก็อาจเป็นราชาอมตะ 2 ยศ หรือราชาอมตะ 3 ศักดิ์ได้
แม้กระทั่งหากบรรลุถึงขอบเขตราชาอมตะแล้ว และพบพานโชควาสนายิ่งใหญ่บางประการ ความแข็งแกร่งก็อาจเพิ่มสูงได้มากไปกว่านี้
แต่หากไร้โชควาสนายิ่งใหญ่ใดๆ ความสำเร็จในชีวิตก็จะถูกจำกัดไว้ที่ขอบเขตราชาอมตะ 3 ศักดิ์เท่านั้น
‘ด่านพลังของผู้เฒ่าโม่ผู้นี้…เหมือนจะอยู่ในขอบเขตราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิด’
หลังได้ใช้อุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองจนได้รับพลังขอบเขตจอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิดมาครองชั่วระยะเวลาหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนจึงคุ้นเคยกับกลิ่นอายพลังในขอบเขตราชาอมตะอยู่บ้าง
‘คิดไม่ถึงเลยว่าในเมืองตู้อวิ๋นที่แข็งแกร่งที่สุดจะไม่ใช่เจ้าเมืองหวง…แต่กลับมีราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิดเช่นนี้อยู่อีกคน!’
ต้วนหลิงเทียนลอบเดาะลิ้นในใจ
“เสี่ยวเทียน พวกเราขึ้นไปอยู่บนหลังผู้เฒ่าโม่กันเถอะ…การเดินทางไปยังเมืองหลวงของประเทศตันจี้ครานี้ เป็นผู้เฒ่าโม่ที่พาพวกเราไป”
ตอนนี้เองหวงเฟยเหยี่ยนก็เหินร่างออกไปก่อนใคร พอไปหยุดยืนบนแผ่นหลังกว้างใหญ่ของพญาอินทรีย์ทมิฬเนตรมรกตแล้ว ก็หันมาชักชวนต้วนหลิงเทียนทันที
เมื่อต้วนหลิงเทียนเริ่มเหินร่างติดตามไป หวงเจียหลงก็เหาะตามมาดั่งเงา จากากนั้นก็เอ่ยขึ้นเบาๆว่า “น้องต้วน ด้วยความเร็วของผู้เฒ่าโม่ สิบวันพวกเราก็เดินทางไปถึงเมืองหลวงของประเทศตันจี้แล้ว”
“สิบวันเลยหรือ? ดูเหมือนว่าประเทศฝูชิวกับประเทศตันจี้ก็ห่างกันพอสมควร…”
ต้วนหลิงเทียนถอนหายใจออกมาเบาๆ
ถึงแม้เวลา 10 วันจะไม่ได้เนิ่นนานอะไร
ทว่าผู้ที่พาทุกคนเดินทางคราวนี้เป็นสัตว์อมตะระดับราชาขั้นต่ำ และยังเป็นราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิด
จุดเด่นของสัตว์อมตะประเภทวิหกก็คือความเร็วในการเหินบิน!
“จะอย่างไรก็เป็นการเดินทางข้ามประเทศ จะมีระยะทางมากหน่อยก็ไม่แปลก”
หวงเจียหลงยิ้ม
ครู่ต่อมา ต้วนหลิงเทียน หวงเจียหลงและหลิวก่วงหลินก็มาหยุดยืนกันบนหลังผู้เฒ่าโม่ตามหวงเฟยเหยี่ยนและไป๋กัง
เมื่อมาหยุดยืนบนหลังผู้เฒ่าโม่ ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกเสมือนยืนอยู่บนพื้นดินไม่มีผิด ไร้ซึ่งการสั่นสะเทือนหรือความรู้สึกโคลงเคลงอันใด
ฟุ่บ!
และแทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่พวกต้วนหลิงเทียนมายืนกันบนหลังผู้เฒ่าโม่หมดแล้ว ก็ปรากฏแสงสีดำเรืองๆแผ่พุ่งออกมาจากแผ่นหลังผู้เฒ่าโม่ จากนั้นก็ปกคลุมทุกคนบนแผ่นหลังเอาไว้ปานโดมครอบ
และโดมพลังโปร่งแสงดังกล่าวนี้ ก็เป็นผู้เฒ่าโม่ตั้งใจสร้างขึ้นเพื่อปิดกั้นสายลมที่จะตีปะทะยามเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูงนั่นเอง!
“เร็วจริง!”
จากนั้นพอหันมองไปรอบๆ ต้วนหลิงเทียนก็เห็นว่าทัศนียภาพใดๆ บัดนี้ได้กลับกลายเป็นเส้นแสงวิ่งผ่านไปด้วยความเร็วสูง อาศัยระดับพลังฝึกปรือของเขา สายตาไม่อาจจับภาพอะไรได้เลย
ครู่ต่อมาเขาก็ได้แต่ถอนสายตากลับมาเท่านั้น
“พี่เจียหลง…อาไป๋เองก็เป็นสัตว์อมตะด้วยเหรอ?”
พอฉุกคิดถึงความรู้สึกผิดแปลกยามแรกพบผู้เฒ่าโม่กับไป๋กัง ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมา
“หือ? น้องต้วนทราบได้อย่างไร?”
ได้ยินคำถามดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน เห็นได้ชัดว่าหวงเจียหลงตกใจไม่น้อย ยังมองต้วนหลิงเทียนด้วยสีหน้าแววตาไม่อยากจะเชื่อ
เพราะฟังจากสิ่งที่ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถาม คล้ายต้วนหลิงเทียนสามารถมองออกว่าไป๋กังเป็นสัตว์อมตะอย่างไรอย่างนั้น!
ถึงแม้นี่จะเป็นการคาดเดาส่งเดชของต้วนหลิงเทียน แต่หวงเจียหลงก็ยังตกใจอยู่ดี!
“จริงงั้นเหรอ?”
ต้วนหลิงเทียนเองก็รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง ขณะเดียวกันเขาก็เริ่มสงสัย ว่าไฉนตัวเองถึงได้มีความสามารถแบบนี้ขึ้นมา เพราะเขากลับสัมผัสได้ทันทีว่าร่างมนุษย์ของอีกฝ่ายเป็นการจำแลงกายมา
ในระนาบเทวโลกนั้น หากพลังฝึกปรือสูงกว่าสัตว์อมตะที่จำแลงกายมา ก็สามารถมองออกได้ไม่ยากว่าอีกฝ่ายไม่ใช่มนุษย์แต่เป็นสัตว์อมตะ
อย่างไรก็ตามหากพลังฝึกปรืออ่อนด้อยกว่าสัตว์อมตะที่จำแลงกายมาเป็นมนุษย์ ก็ยากจะแยกแยะได้ว่ามนุษย์เบื้องหน้าที่แท้เป็นมนุษย์จริงๆ หรือสัตว์อมตะจำแลงกายมา
“มิผิด”
หวงเจียหลงเอ่ยตอบ ค่อยยถามเพิ่มด้วยความสงสัย “ว่าแต่น้องต้วน…ท่านสามารถมองออกได้อย่างไร?”
“คงเป็นเพราะ…”
ในขณะที่หวงเจียหลงกำลังรอฟังคำตอบของต้วนหลิงเทียนอย่างใจจดใจจ่อ วาจาถัดมาขอต้วนหลิงเทียนก็ทำให้มันถึงกับพูดอะไรไม่ออก
“สัญชาตญาณล่ะมั้ง…”
และนี่ก็ถือวาจาถัดมาที่ว่า
สัญชาตญาณ!
เพราะในสายตาต้วนหลิงเทียนเอง ความรู้สึกก่อนหน้าก็ไม่ต่างอะไรจากสัญชาตญาณแม้แต่น้อย
“หึ!”
ทว่าหลังจากต้วนหลิงเทียนตอบไปว่าสัญชาตญญาณได้ไม่ทันไร ในใจเขาพลันได้ยินเสียงพ่นลมสบถคราหนึ่ง เป็นเสียงของทองเทพสุดลี้ลับ!
“เจ้าหนูเอย นั่นไม่ใช่สัญชาตญาณของเจ้าหรอก…แต่เป็นเพราะพลังของข้านั้น ไม่เพียงแต่จะปกป้องดวงจิตของเจ้าเอาไว้เฉยๆ แต่ยังมีพลังทำให้วิญญาณของเจ้าไวต่อสัมผัสอีกด้วย”
ทองเทพสุดลี้ลับกล่าวตอบ
“ท่าน…ไม่ใช่ว่าท่านพึ่งหลับไปหรอกรึ ไฉนตื่นขึ้นมาได้?”
ต้วนหลิงเทียนงง
“ยังไม่ใช่เพราะข้าสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังของพญาอินทรีย์ทมิฬน้อยนี่อีกรึไง? ข้ายังนึกว่าเจ้ากำลังจะถูกมันจับกินเสียอีก…แต่ตอนนี้ดูเหมือนที่แท้มันจะเป็นมิตรและไม่ใช่ศัตรูอันใด เป็นข้ากังวลไปเปล่าๆปลี้ๆแท้ๆ”
ทองเทพสุดลี้ลับตอบ