ทรายสีทองที่ขัดเกลาออกมาจากโครงกระดูกสิ่งศักดิ์สิทธิ์พวกนี้ สุดท้ายค่อยๆ แนบติดอยู่บนเสื้อผ้าของสตรีคนทุบผ้า มองไม่เห็นความผิดปกติแม้แต่นิดเดียว
ในใจเฉินผิงอันรู้สึกเห็นด้วยอย่างยิ่ง มีเงินแต่ไม่โอ้อวด ก็ควรเป็นเช่นนี้ เป็นคนบนเส้นทางเดียวกันจริงๆ ด้วย เด็กชายผมขาวข้างกายที่ชอบโอ้อวดผู้นั้นเทียบไม่ได้แม้แต่น้อย
นางถามอย่างใคร่รู้ “นายท่านอิ่นกวานไม่กลับบ้านเกิดหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เอาไว้ค่อยว่ากัน”
นางจึงไม่ถามอะไรมากอีก
ยังคงเห็นตัวเองเป็นบ่าวอยู่เหมือนเดิม
จากนั้นเฉินผิงอันก็ไปเดินเล่นเพียงลำพัง แต่ก่อนจะจากกัน นางยื่นนิ้วมาดันที่หน้าผากตัวเอง หยิบเอาเหรียญทองแดงแก่นทองเหรียญหนึ่งออกมามอบให้กับเฉินผิงอัน
ซวงเจี้ยงลากสตรีไปเก็บสมบัติด้วยกัน ทั้งสองฝ่ายวางแผนร่วมกัน แรกเริ่มซวงเจี้ยงคิดว่าหากเป็นของที่ตัวเองหาเจอ แน่นอนว่าต้องเป็นของตนทั้งหมด ส่วนของที่นางหาเจอ สองฝ่ายต้องแบ่งกันเก้าต่อหนึ่งส่วน คิดไม่ถึงว่าสตรีหน้าเหม็นที่ขอบเขตไม่ได้เรื่องคนนั้นไม่รู้ว่าใครมอบดีสุนัขให้นาง ถึงได้คิดจะแบ่งส่วนแบ่งกับเขาห้าต่อห้า เพียงแต่ว่าถึงแม้ตบะขอบเขตของนางจะไม่มากพอ แต่นางกลับเป็นบรรพบุรุษของเงินเหรียญทองแดงแก่นทอง ต่อให้ถูกตนสังหารกายธรรมร่างจำแลงก็ยังถือกำเนิดจากเหรียญทองแดงแก่นทองที่เฉินผิงอันเก็บเข้าไปไว้ในกระเป๋าเหรียญนั้นได้อยู่ดี ถึงเวลานั้นหากนางเอาความไปฟ้อง กระซิบกระซาบข้างริมหู ซวงเจี้ยงคิดแล้วตัวเองคงรับไม่ไหวแน่นอน ด้วยนิสัยของเฉินผิงอันที่ชอบคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องเล็กๆ เช่นนี้ มีความเป็นไปได้แปดเก้าในสิบส่วนว่าจะให้เฉินชิงตูสับตนให้ตายด้วยกระบี่เดียว ซวงเจี้ยงจึงได้แต่ปรึกษากับนางดีๆ สุดท้ายกว่าจะตกลงจนได้สัดส่วนสี่ต่อหกไม่ใช่ง่าย ซวงเจี้ยงพอจะได้กำไรมาบ้างเล็กน้อย แต่เขาก็ยังรู้สึกเหนื่อยใจยิ่งกว่าช่วงเวลาแปดสิบปีที่ต้องคอยตามตื๊อเฒ่าหูหนวกเสียอีก คิดไม่ถึงว่านางจะยังไม่พอใจ บ่นพึมพำว่าบ่าวไร้ประโยชน์จริงๆ ทำให้นายท่านต้องเสียผลประโยชน์ไปเปล่าๆ ส่วนหนึ่ง
ซวงเจี้ยงเกือบจะลงไปนั่งคุกเข่าโขกหัวขอร้องแม่นางท่านนี้
เฉินผิงอันมายังทะเลเมฆที่มีไข่มุกโชคชะตาน้ำก่อตัวขึ้นตามธรรมชาติ เอนตัวนอนลงบนทะเลเมฆ มือทั้งสองวางทับซ้อนกันไว้บนหน้าท้อง หลับตาทำสมาธิ
ดวงจิตเมล็ดงาออกสำรวจตรวจตราไปทั่วทิศ
สุดท้ายเฉินผิงอันก็มายังริมทะเลสาบหัวใจในฟ้าดินเล็กร่างกายคน จิตขยับเล็กน้อยก็มีสะพานโค้งที่แข็งแกร่งอย่างถึงที่สุดแห่งหนึ่งโผล่เพิ่มมา
ร่างจริงที่อยู่บนทะเลเมฆกลับหลับสนิทไปแล้ว
ดวงจิตของเฉินผิงอันยืนอยู่ตรงปลายฝั่งนี้ของสะพานแห่งความเป็นอมตะ ขอแค่ข้ามสะพานไป การเดินไปถึงอีกฝั่งหนึ่งในครานี้ บนโลกใบนี้ก็จะมีผู้ฝึกลมปราณขอบเขตถ้ำสถิตเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคนแล้ว
คนจิ๋วสีทองขี่มังกรเพลิงมาหยุดอยู่ข้างดวงจิตของเฉินผิงอัน สองแขนยกขึ้นกอดอก เชิดหน้าขึ้นสูง
มังกรเพลิงที่เป็นพาหนะของมัน หลังจากมีการขัดเกลาโชคชะตาบู๊แล้วก็เติบโตอย่างแข็งแกร่ง หากบอกว่าก่อนหน้านี้มังกรเพลิงมีขนาดลำตัวหนาเท่าแค่ตะเกียบ เวลานี้ก็น่าจะหนาเท่าแขนคนแล้ว พลังอำนาจบีบคั้นน่ายำเกรง
เฉินผิงอันเอ่ยเบาๆ “อย่าได้ด่าคนเชียว”
เด็กจิ๋วชุดทองหัวเราะเสียงเย็น “เจ้าก็ด่าตัวเองอยู่ตลอดเวลาไม่ใช่หรือ? ด่าจนข้ารำคาญแล้ว แล้วยังไม่ฟังไม่ได้ด้วย”
เฉินผิงอันเอ่ย “ต่างก็พูดกันว่าคนเราต้องมีช่วงเวลาที่พละกำลังหมดลง ประเด็นสำคัญคือข้ายังเชื่อในคำกล่าวนี้มาโดยตลอด ดังนั้นจึงด่าอย่างไร้เหตุผล ถูกไหมล่ะ?”
คนจิ๋วสีทองเอ่ย “เจ้ากลัวว่าจะจากไปไม่ได้ กลัวว่าตัวเองจะกลายเป็นเฉินชิงตูคนที่สอง ขณะเดียวกันก็ไม่มีความสามารถเท่าเฉินชิงตู เจ้ากลัวว่าจากไปแล้วจะไม่มีโอกาสได้กลับมาพบเจอกันอีก เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เจ้ากลัวว่าทุกสิ่งที่อย่างที่เจ้าทำลงไป ตัวเองจะไม่ได้รับผลตอบแทนกลับคืนมาแม้แต่น้อย”
เฉินผิงอันกระโดดอยู่สองสามที ใช้หมัดทุบฝ่ามือ ต่อยท่าหมัดหวังปา สุดท้ายยื่นมือมาเป่าลมใส่ มองไปทางสะพานแห่งนั้น “เป็นคนล้วนต้องเป็นเช่นนี้ ไม่มีอะไรให้ต้องลำบากใจ”
คนจิ๋วสีทองเงียบไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ใช้คำด่ามาแสดงถึงการปลอบโยนของตัวเอง
ได้ฟังภาษาถิ่นของเมืองเล็กอันเป็นบ้านเกิดที่ไม่ได้ยินมานาน เฉินผิงอันพลันอารมณ์ดี สายตาใสกระจ่างจนเหมือนลำธารเส้นนั้นของบ้านเกิด ความกังวลบางอย่างเหมือนปลาน้อยที่พลันสะบัดหางแล้วว่ายผลุบเข้าไปในกอต้นไม้น้ำ ไม่ออกมาพบเจอผู้คนอีก
สุดท้ายเฉินผิงอันถอยดวงจิตออกมาจากฟ้าดินเล็ก ลุกขึ้นจากทะเลเมฆ ทะยานลมไปยังทางเข้าของคุก
ในเรื่องของการข้ามสะพาน ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนดุจไฟไหม้ขนคิ้ว รอกระทั่งหลอมโชคชะตาบู๊ของทั้งกำแพงเมืองปราณกระบี่และใต้หล้าเปลี่ยวร้างผสานรวมเข้าไปในแม่น้ำภูเขาเรือนกายมนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์แบบก่อนค่อยว่ากัน
ขอบเขตถ้ำสถิตที่ควรเป็นของตน อย่างไรก็ไม่หนีไปไหน
ถึงเวลานั้นเมื่อถ้ำสถิตเปิดออก ฟ้าดินเล็กกับฟ้าดินใหญ่เชื่อมโยงกัน ปราณวิญญาณอันเปี่ยมล้นที่แทรกซอนด้วยปณิธานกระบี่เข้มข้นท่ามกลางฟ้าดินของคุกก็จะซัดหลุนๆ กรูกันเข้ามาในช่องโพรงลมปราณใหญ่ๆ ที่สำคัญ
เพียงแต่ว่าความเจ็บปวดจากเนื้อหนังและจิตวิญญาณ บางทีอาจถูกผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่างทั่วไปมองว่าเป็นเรื่องน่ากลัว มองเป็นธรณีประตูแห่งความเป็นตายที่ยากจะก้าวข้ามผ่านไปได้ แต่สำหรับเฉินผิงอันแล้วไม่ถือว่าเป็นเรื่องอะไรเลยจริงๆ
ตลอดทางที่เดินไปนี้เฉินผิงอันเดินผ่านกรงขัง ปีศาจใหญ่อวิ๋นชิงก็เผยกายอีกครั้ง เอ่ยสัพยอกด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้ม “ก่อนหน้านี้มีโชคชะตาบู๊อยู่บนร่าง ตอนนี้หลอมโครงกระดูกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นสมบัติล้ำค่าได้ ต้องแสดงความยินดีกับอิ่นกวานอีกครั้งแล้ว รอให้เลื่อนเป็นขอบเขตถ้ำสถิตได้เมื่อไหร่ยังต้องอวยพรอีกครั้ง ค่อนข้างจะยุ่งไปสักหน่อย โชคดีที่ไม่ได้อยู่ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ไม่อย่างนั้นลำพังแค่การมอบของขวัญอวยพรก็ต้องมีถึงสามชิ้นแล้ว”
เฉินผิงอันหยุดเดิน ยิ้มกล่าว “อยู่ในใต้หล้าไพศาล เทพเซียนห้าขอบเขตบนบนยอดเขาท่านหนึ่งมาเยือนถึงที่ก็ถือเป็นของขวัญเยี่ยมเยือนที่ดีที่สุดแล้ว”
อวิ๋นชิงมองไปยังดาบแคบเล่มนั้นแล้วเอ่ยชื่นชมว่า “เป็นดาบที่ดี”
เฉินผิงอันใช้ฝ่ามือดันด้ามดาบ เอ่ยว่า “น้ำหนักมากพอ เป็นดาบที่ดีจริงๆ”
อวิ๋นชิงเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “ดูท่าโอกาสที่จะได้พูดคุยกับอิ่นกวานคงมีไม่มากแล้ว”
เฉินผิงอันเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “ไม่ได้เจอผู้อาวุโสอวิ๋นชิงที่ใต้หล้าไพศาล ช่างเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างใหญ่หลวง”
อวิ๋นชิงยิ้มกล่าว “ไม่ได้เชิญอิ่นกวานดื่มสุรารสเลิศที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็เป็นเรื่องน่าเสียดายเหมือนกัน ภูเขาลูกนั้นของข้ามีทัศนียภาพงดงามอย่างถึงที่สุด”
เด็กชายผมขาวกลับมาพร้อมของเต็มไม้เต็มมือ ข้างกายตามมาด้วยสตรีนามว่าฉางมิ่ง
วัตถุอย่างทรายสีทองนี้ เมื่อมีนางอยู่จึงได้มาอย่างง่ายดาย สิ่งที่ต้องการให้ซวงเจี้ยงออกแรงยังคงเป็นพวกวัตถุที่โครงกระดูกปีศาจใหญ่ยุคบรรพกาลทั้งหลายทิ้งเอาไว้มากกว่า ของแต่ละชิ้นกระจัดกระจายกันอยู่ การค้นหาจึงเปลืองแรงอย่างยิ่ง สมบัติล้ำค่าแห่งฟ้าดินส่วนใหญ่มีสติปัญญา ไม่เหมือนโครงกระดูกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ โครงกระดูกปีศาจใหญ่ที่ไม่อาจเคลื่อนย้ายไปไหนได้ ต่อให้ซวงเจี้ยงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อตามหาพวกมัน ก็ยังเป็นเรื่องที่ยุ่งยากอย่างมาก โชคดีที่สตรีผู้นั้นไม่เสียแรงที่เป็นร่างจำแลงของบรรพบุรุษเงิน จึงคล้ายว่านางจะมีโชคอย่างถึงที่สุด สุดท้ายผลเก็บเกี่ยวที่ได้รับจึงเหนือกว่าที่ซวงเจี้ยงคาดการณ์เอาไว้มาก ภายหลังมีประสบการณ์แล้ว ซวงเจี้ยงจึงจงใจอยู่ให้ห่างจากนาง รอจนนางเจอกับโชควาสนาแล้วค่อยให้นางบอกกล่าวแก่ตน เขาถึงจะกระโจนเข้าไปคว้าจับสมบัติวิเศษแห่งฟ้าดินที่พุ่งชนสะเปะสะปะเหมือนกระบี่บินของเซียนกระบี่พวกนั้นอย่างรอบคอบระมัดระวัง
ทั้งสองฝ่ายตกลงกันไว้เรียบร้อยแล้วว่าวันนี้จะขุดดินลึกสามฉื่อแค่ทิศทางเดียวเท่านั้น วันหน้าทุกวันจะมุ่งหน้าไปยังจุดหนึ่ง อย่างมากสุดเวลาแค่สิบกว่าวันก็พอจะกวาดค้นได้รอบหนึ่งแล้ว สิบวันถัดไป ค่อยไปไล่ตรวจสอบหาจุดที่พลาดไปอีกครั้ง
สตรีเข้ามาในคุกเป็นครั้งแรกจึงรู้สึกสงสัยใคร่รู้อย่างเลี่ยงไม่ได้
ปีศาจใหญ่ชิงชิวเห็นว่าข้างกายเฉินผิงอันมีสตรีงดงามอ่อนโยนท่าทางเรียบร้อย ดูแล้วไม่ธรรมดาจริงๆ จึงจุ๊ปากเอ่ย “ใต้เท้าอิ่นกวานช่างมีโชคด้านสาวงามจริงๆ แค่รสปากหนักไปสักหน่อย ตอนแรกก็เป็นสตรีที่ถลกหนังตัวเอง เวลานี้เปลี่ยนมาเป็นภูตที่ไม่ว่าจะผิวหนังหรือเลือดเนื้อก็ล้วนไม่ใช่ของจริงผู้นี้ ใต้เท้าอิ่นกวานเจ้านี่มันยังไงกันนะ ในคุกแห่งนี้มีจิ้งจอกเจ็ดหางอยู่ตัวหนึ่งไม่ใช่หรือ? หากข้าจำไม่ผิดล่ะก็ ผู้ฝึกตนหญิงคนอื่นๆ ก็ยังมีอยู่อีกหลายคน นี่ยังไม่พอให้เจ้ากินอีกหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ใกล้จะตายอยู่แล้ว จะพูดจาให้น่าฟังสักสองสามคำไม่ได้เลยหรือ?”
ปีศาจใหญ่ที่ร่างจริงคือปลาหนีชิวสีดำเอ่ยเย้ยหยัน “อาศัยเจ้าน่ะหรือ? บวกกับดาบผุๆ เล่มนั้น? ยืดคอให้เจ้าฟัน เจ้าจะฟันขาดหรือ?”
เฉินผิงอันผลักดาบออกมาชุ่นกว่าๆ “จะลองดูไหมล่ะ?”
ปีศาจใหญ่ชิงชิวหายตัวเข้าไปในเมฆหมอกทันที
ซวงเจี้ยงกุมท้องหัวเราะก๊าก
สตรีฉางมิ่งขอตัวออกไปข้างนอก ในคุกแห่งนี้มีสิ่งสกปรกและปราณชั่วร้ายเข้มข้นเกินไป นางจึงไม่ยินดีจะเดินเที่ยวต่ออีก
มาถึงจุดที่เหนี่ยนซินอยู่ เฉินผิงอันก็รอให้นางดึงเส้นแนวนอนเส้นหนึ่งออกมาเสร็จแล้วถึงเอ่ยว่า “ขอยืมมีดอาคมของเจ้าหน่อย”
เหนี่ยนซินส่งมีดอาคมที่อยู่ในมือไปให้เฉินผิงอันโดยตรง
เฉินผิงอันรีบมีดอาคมมาแล้วก็ยิ้มเอ่ยว่า “ที่บ้านเกิดของพวกเรา เวลาส่งกรรไกร ส่งมีดผ่าฟืนให้คนอื่นล้วนหันปลายมีดเข้าหาตัวเอง”
เหนี่ยนซินแสร้งทำเป็นได้ยิน ถามว่า “แน่ใจแล้วหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ จากนั้นก็หยิบยันต์กระดาษเขียวที่บรรจุตัวอักษรของยันต์ทองตำราหยกออกมาก่อน เพราะว่าตัวอักษรพวกนั้นหนักเกินไป แผ่นกระดาษยันต์จึงบ้างก็ยุบบ้างก็นูนไม่ราบเรียบ
เขาดึงดาบแคบ ‘พิฆาต’ ที่เทวบุตรมารนอกโลกเก็บรักษาอย่างดีมานานหลายปีออกมา ใช้มันกรีดฝ่ามือข้างซ้ายของตัวเอง ถูยันต์ทั้งแผ่นให้เต็มไปด้วยเลือดสด พอจะมองเห็นได้เลือนๆ ว่าเลือดสดเหล่านั้นมีเส้นสีทองสอดแทรกอยู่
จากนั้นเฉินผิงอันก็เอามือข้างหนึ่งคลี่กางกระดาษยันต์ มืออีกข้างถือมีดสั้นแทงทะลุหัวใจ เอาแก่นเลือดหัวใจที่ผู้ฝึกลมปราณมองเป็นพลังที่แท้จริงหยดจากปลายมีดลงบนกระดาษยันต์ จากนั้นก็ใช้คาถาน้ำหล่อหลอมวัตถุของศาลเทพวารีจวนปี้โหยวมาบังคับหยดเลือดให้ตวัดเขียนตัวอักษรแบบบรรจงขนาดเล็กเหมือนเขียนยันต์ เป็นระเบียบงดงาม เปี่ยมล้นไปด้วยพลัง สุดท้าย ‘เขียนออกมา’ เป็นหนังสือคลายสัญญาบทหนึ่ง เนื้อหากระชับเรียบง่าย ความหมายตื้นเขิน แต่ถ้อยคำที่ใช้กลับถูกต้องแม่นยำ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่ลงชื่อในช่วงท้ายยังดึงเอาแสงวิญญาณแห่งชะตาชีวิตเสี้ยวหนึ่งออกมาจากสามจิตเจ็ดวิญญาณ กรอกเทเข้าไปในชื่อ ‘เฉินผิงอัน’ นี้
เฉินผิงอันยื่นมีดอาคมคืนให้เหนี่ยนซิน
เหนี่ยนซินรับมีดอาคมไปแล้วก็ขมวดคิ้วเอ่ย “หากรู้แต่แรกว่าจะเป็นแบบนี้คงไม่เปิดเผยเรื่องนี้แก่เจ้าแล้ว”
ก่อนหน้านี้ครั้งแรกที่นางได้พบอิ่นกวานหนุ่มก็สงสัยอย่างยิ่งว่าทำไมเขาถึงได้มีความพัวพันที่แยกได้ไม่ชัดเจนกับเผ่าพันธุ์เจียวหลงมากถึงขนาดนั้น ภายหลังจึงตั้งใจสืบเสาะ บวกกับการพูดคุยกับเทวบุตรมารนอกโลก ทำให้นางสาวเอาความลับที่น่าตะลึงพรึงเพริดเรื่องหนึ่งออกมาได้ บนร่างของเฉินผิงอันมีพันธะสัญญาอย่างหนึ่งที่ถูกซ่อนไว้อย่างลึกล้ำ ทั้งสองฝ่ายมีสถานะเท่าเทียมกัน ไม่ใช่นายบ่าว แต่ชีวิตของทั้งสองฝ่ายกลับเกี่ยวพันกัน ประสิทธิผลของมันเหมือนหนังสือพันธะสัญญายามที่ผู้ฝึกตนบนภูเขาผูกสมัครเป็นคู่รักเทพเซียนกัน แน่นอนว่าหนังสือสัญญาฉบับนี้ของเฉินผิงอันไม่ได้เกี่ยวข้องกับความรักใดๆ อีกทั้งอีกฝ่ายที่เป็นคนเขียนสัญญายังยึดครองผลประโยชน์ไปหมด แทบไม่มีพันธนาการใดๆ เลย
เฉินผิงอันหน้าซีดขาว แต่กลับรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก ตัดขาดบุญคุณความแค้นผลกรรมที่ใหญ่มากอย่างหนึ่งทิ้งไปได้แล้ว
ทั้งเพื่อตัวเองที่หวังจะให้จิตใจสงบสุข แล้วก็เพื่อให้ลูกศิษย์คนนั้นของตนลงมือได้อย่างสุดกำลังความสามารถในแจกันสมบัติทวีป
ซวงเจี้ยงนั่งคุกเข่าอยู่ด้านข้าง เอ่ยอย่างเสียดายว่า “การค้าครั้งนี้ของบรรพบุรุษอิ่นกวานขาดทุนย่อยยับแล้ว ไม่ควรทำอะไรฉับไวขนาดนี้ หากเปลี่ยนมาเป็นข้า ข้าจะต้องรีดไถขู่เข็ญอีกฝ่ายให้เต็มคราบไปเลย”
เฉินผิงอันยื่นกระดาษแผ่นนั้นส่งไปให้เทวบุตรมารนอกโลก เอ่ยว่า “ก็เพราะว่าข้ารู้ช้าเกินไป ไม่อย่างนั้นก็คงทำอย่างนี้ไปนานแล้ว ซวงเจี้ยง ฝากเจ้ามอบให้เฒ่าหูหนวกที พอเขาออกไปจากคุกแล้วก็ให้นำความไปบอกแก่เว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะ ให้ช่วยนำไปส่งที่แจกันสมบัติทวีป ต้องนำไปมอบให้กับคนที่ชื่อชุยตงซานคนเดียวเท่านั้น”
ซวงเจี้ยงกลับหัวเราะคิกคักเอ่ยว่า “ให้เหนี่ยนซินไปมอบให้เฒ่าหูหนวกดีกว่ากระมัง พวกเขาสองคนเพิ่งรับกันเป็นญาตินะ”
เฉินผิงอันกระตุกมุมปาก ยังคงค้างอยู่ในท่าเดิม
รู้อยู่แล้วว่าเทวบุตรมารนอกโลกตนนี้รู้รากฐานของกระดาษยันต์สีเขียวที่มีประกายแสงเข้มข้นแผ่นนี้นานแล้ว
ซวงเจี้ยงชูมือสองข้างขึ้น “เจ้าอย่าได้หยั่งเชิงข้าอีกเลย ถึงอย่างไรตีให้ตายข้าก็ไม่มีทางแตะต้องยันต์แผ่นนี้ ไม่อย่างนั้นหากไม่ระวังอาจถูกเจ้าเล่นงานจนตบะเสียหายไปอีกร้อยปี”
ยามที่เทวบุตรมารไม่เรียกว่าท่านปู่อิ่นกวาน ท่านบรรพบุรุษอิ่นกวาน คำพูดที่เอ่ยก็มักจะเป็นคำพูดจากใจจริงเสมอ
เฉินผิงอันถึงได้มอบยันต์ให้แก่เหนี่ยนซิน
ร่างของเหนี่ยนซินวูบหายไป นำมันไปมอบให้แก่เฒ่าหูหนวก ชั่วพริบตาก็หวนกลับมา นางเอ่ยว่า “โชคดีที่ไปเร็ว เฒ่าหูหนวกกำลังจะออกจากคุกพอดี”
คำพูดบางอย่างเหนี่ยนซินลองคิดดูแล้วก็ยังไม่ได้เอ่ยออกมา เดิมทีคิดจะเกลี้ยกล่อมเฉินผิงอันว่าเรื่องของการสังหารปีศาจ การเย็บผ้า เขาควรจะทำเวลาเสียหน่อย เพียงแต่ว่าคำพูดมารออยู่ตรงปากแล้ว เหนี่ยนซินกลับไม่ได้พูดออกมา
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ เขาไปที่สิ่งปลูกสร้างลักษณะเหมือนศาลาแห่งนั้น นั่งกอดเข่าอยู่เพียงลำพัง
ซวงเจี้ยงยืนอยู่บนขั้นบันไดที่ห่างไปไกล มองคนที่อยู่ในศาลา
สถานที่แห่งนี้คือการแสดงออกของสภาพจิตใจคนหนุ่ม
ดังนั้นเฉินชิงตูจึงไปที่ศาลาได้ แม้กระทั่งเหนี่ยนซินที่หากยินดีก็ไปได้เช่นกัน เพราะในส่วนลึกของหัวใจเฉินผิงอัน เขายอมรับคนบนเส้นทางวิถีมารอย่างเหนี่ยนซิน มีเพียงเขาที่เป็นเทวบุตรมารนอกโลกเท่านั้นที่ไม่ได้รับอนุญาตอย่างเด็ดขาด
ฟ้ากลมแผ่นดินเหลี่ยมศาลาหนึ่งหลัง
จุดที่หยัดยืนคือหลักการเหตุผลน้อยใหญ่ที่เฉินผิงอันยอมรับจากใจจริง
เสาสี่ต้นของศาลาแบ่งออกเป็นเส้นสายรากฐานสี่เส้นที่เฉินผิงอันประสบพบเจอมาบนเส้นทางการเดินทางในชีวิตแล้วค่อยๆ นำมาปรับใช้กับตัวเอง
ส่วนด้านบนของหลังคาคือสัญลักษณ์ของเซียนกระบี่ใหญ่ที่เฉินผิงอันคิดถึงอยู่ตลอดเวลา
คนหนุ่มมองชีวิตคนว่า คนที่เขาพบเจอก็เหมือนแขกที่เข้ามาหยุดพักชั่วคราวในศาลาหลังหนึ่ง ไม่ช้าก็เร็วต้องแยกจากเขาไป บางคนก็บอกกล่าว บางคนก็ไปโดยไม่ร่ำลา
ส่วนเขาก็หยุดอยู่ที่เดิม เหมือนศาลาหลังหนึ่งที่ยินดีทำเรื่องเล็กๆ อย่างการบังฝนบังลมให้กับคนอื่น
ซวงเจี้ยงตะโกนขึ้นมาเสียงดัง “บรรพบุรุษอิ่นกวาน แม่นางที่ท่านรักรู้เรื่องพันธะสัญญานี้หรือไม่?”
เฉินผิงอันคืนสติในทันใด แสร้งพูดอย่างเยือกเย็นว่า “สัญญานี้เกี่ยวผายลมอะไรกับข้าด้วย”
ซวงเจี้ยงกระโดดขึ้นสูง ชูนิ้วโป้งให้ “บรรพบุรุษอิ่นกวาน ยามที่ท่านผู้อาวุโสเอ่ยถ้อยคำของวัวสันหลังหวะอย่างเต็มไปด้วยเหตุด้วยผลก็ช่างมีมาดของบัณฑิตจริงๆ!”
——