บทที่ 682.2 ฝึกบำเพ็ญตบะอย่างยากลำบากเพื่อสิ่งใดกัน

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เฉินผิงอันขึ้นมาบนบันใดแล้วก็ม้วนชายแขนเสื้อข้างซ้ายขึ้นเบาๆ

ซวงเจี้ยงนั่งยองอยู่ด้านข้าง เอ่ยว่า “เห็นไหม แขนข้างนี้ของบรรพบุรุษอิ่นกวานมีความรู้มากมายจริงๆ สตรีธรรมดาทั่วไปตาถั่ว บางทีอาจจะมองไม่ออกว่านี่สอดคล้องกับคำกล่าวอันสูงส่งลี้ลับว่ากิ่งทองใบหยก ด้านในล้วนมีแต่ประกายแสงศักดิ์สิทธิ์ที่สูงส่งแท้จริงของการบรรลุมรรคา ทำให้พวกเทพธิดาบนภูเขาที่มองออกน้ำลายสอด้วยความอยากได้ วันหน้าบรรพบุรุษอิ่นกวานเดินทางไกลไปทั่วทิศก็ต้องสวมชุดคลุมอาคมหลายๆ ตัวถึงจะได้ ไม่อย่างนั้นหนี้รักยวนยางจะต้องมีเยอะมากแน่นอน หากจะให้ข้าแนะนำนะ ลำพังเพียงแค่บังแขนข้างนี้คงยังไม่ได้ผล ด้วยหน้าตา รูปร่าง การพูดการจา และบุคลิกลักษณะของบรรพบุรุษอิ่นกวานก็ล้วนต้องเลียนแบบสิงกวานผู้นั้น ไม่อย่างนั้นพวกเทพธิดาทั้งหลายแต่ละคนจะต้องหลงรักท่านทันทีที่ได้เห็น จิตใจแกว่งไกว วิญญาณหลุดออกจากร่าง บนทะเลสาบหัวใจเหมือนมีกวางน้อยวิ่งเข้าชนกระโดดโลดเต้น ริ้วคลื่นกระเพื่อมจนใบหน้าแดงก่ำ แน่นอนว่าบรรพบุรุษอิ่นกวานต้องไม่มีทางหวั่นไหว แต่ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องที่น่ารำคาญใจ ก็เหมือนเรื่องผูกพันธะสัญญานั่นแหละ”

เฉินผิงอันถาม “เฒ่าหูหนวกต้องคอยฟังเจ้าพร่ำพูดแบบนี้น่ะหรือ?”

ซวงเจี้ยงหัวเราะคิกคัก “หลานชายคนนั้นฝึกฝนจิตใจได้ไม่มากพอ คือเศษสวะไร้ประโยชน์”

เหนี่ยนซินมาถึงก็ช่วยเฉินผิงอันนำตราประทับอาคมห้าอสนีชิ้นนั้นมาผลัดเปลี่ยน ‘ถ้ำสวรรค์’ ย้ายจากศาลภูเขามายังบนยอด ‘ขุนเขา’ ลูกหนึ่งที่อยู่ตรงกลางฝ่ามือ

การเข่นฆ่าของผู้ฝึกตนที่ขอบเขตสูสีกัน ความต่างเพียงเสี้ยววินาทีก็คือการตัดสินเป็นตาย

ไม่เพียงแต่สามารถทำให้เฉินผิงอันร่ายวิชาอสนีนี้ได้รวดเร็วยิ่งกว่าเดิม ยังสามารถทำให้เฉินผิงอันปรับตัวกับการเชื่อมโยงกันของวัตถุแห่งชะตาชีวิตห้าชิ้นได้เร็วขึ้น เมื่อร่ายเวทคาถา ห้าอสนีมารวมตัวกัน พลานุภาพสวรรค์เกริกก้อง โชควาสนานับพันนับหมื่น

ผู้ฝึกลมปราณผลัดเปลี่ยนตำแหน่งการวางวัตถุที่ผ่านการหลอมกลางมาก่อนไม่ใช่เรื่องง่าย จำเป็นต้องบุกเบิก ‘เส้นทางพักม้า’ ไว้หนึ่งเส้น แน่นอนว่าย่อมทำร้ายไปถึงเส้นเอ็นและกระดูก เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับการเย็บผ้าสลักชื่อจริงแล้วยังถือว่าเป็นเรื่องเล็กอยู่ดี

เฉินผิงอันไม่เพียงแต่ไม่ต้องกังวลว่าเหนี่ยนซินจะใช้เข็มเย็บผ้าปักตรึงดวงวิญญาณ ยังสามารถใช้ความคิดและพูดคุยได้ด้วย เขาจึงถามว่า “ตราประทับอาคมห้าอสนีชิ้นนี้ ทำมาจากวัสดุอะไร?”

วัสดุของมันแปลกประหลาด ลวดลายคล้ายลายไม้ที่งดงาม แต่เนื้อกลับเหมือนหยกสีมรกต

เหนี่ยนซินรู้แค่ว่านี่คือไม้ไหวสายฟ้าผ่าชิ้นหนึ่ง

ไม้ฟ้าผ่า วัตถุประเภทนี้ไม่ได้หายากนักในใต้หล้าไพศาล ในหมู่ชาวบ้านล้วนมีอยู่ ตระกูลคนรวยมีฐานะยังจะทุ่มเงินก้อนใหญ่ซื้อมาแล้วไปเชิญให้นักพรตของอารามเต๋ามาช่วยแกะสลักเป็นแผ่นไม้ เอาไว้ให้พวกเด็กๆ ในตระกูลพกติดตัว สามารถหลบเลี่ยงสิ่งชั่วร้ายสกปรกและเสนียดจัญไร ก็เหมือนการ ‘เชิญเทพทวารบาลองค์หนึ่ง’ มาไว้บนร่าง

เฉินผิงอันถามไปแล้วไม่ได้คำตอบจึงหันไปมองเทวบุตรมารที่มีท่าทางมั่นใจเต็มเปี่ยม

ไม่เสียแรงที่ซวงเจี้ยงคือขอบเขตบินทะยาน มีความรู้กว้างขวาง มันยิ้มเอ่ยว่า “เป็นไม้ไหวสายฟ้าผ่าก็จริง แต่ก็มีความแตกต่างอยู่มาก”

กล่าวมาถึงตรงนี้ ซวงเจี้ยงก็แสร้งทำเป็นคิดหนัก

เฉินผิงอันเอ่ย “เงินเกล็ดหิมะหนึ่งเหรียญ”

แม้ว่าจะเป็นขาของยุง แต่ได้เงินมาจากเฉินผิงอันเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย ซวงเจี้ยงจึงตบศีรษะตัวเอง ทำท่ากระจ่างในฉับพลัน “ไม่ใช่ฟ้าผ่าธรรมดาทั่วไป ยิ่งไม่ใช่ไม้ไหวทั่วไป หากเป็นไม้ฟ้าผ่าทั่วไปที่วัสดุดีเยี่ยม ระดับขั้นสูงมาก สิบหกคำที่กล่าวว่า ‘รวบรวมห้าอสนี สยบหมื่นอาคม กำจัดห้าช่องโหว่ แกนกลางแห่งฟ้าดิน’ นี้ น่าจะแยกกันสลักไว้สี่ด้านถึงจะถูก ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางแบกรับปณิธานที่แท้จริงของเวทอสนีนี้ได้เลย เคล็ดลับของมันนั้นอยู่ที่ว่า ไม้ไหวชิ้นนี้เคยเป็นเรือนที่พักแห่งหนึ่ง คล้ายคลึงกับพื้นที่มงคลขนาดจิ๋ว ภูตผีมารวมตัวกันเป็นถ้ำ จิ้งจอกและงูมากองตัวกันเป็นโพรง นี่จึงเป็นเหตุให้ผู้บรรลุมรรคาที่เชี่ยวชาญเวทห้าอสนีที่แท้จริงคนหนึ่งต้องใช้วิธีการที่เฉียบขาดอำมหิตในการกำจัดปีศาจปราบมารอย่างสุดฝีมือ ถึงจะสามารถสร้างโชควาสนาใหญ่เทียมฟ้านี้ขึ้นมาได้ จากนั้นก็ถูกคนเอาไม้ไหวชิ้นนี้มาจากในซากปรักหักพัง มาแกะสลักเป็นตราประทับ สลักเป็นอักษรฉงเหนี่ยวสิบหกคำ อีกทั้งยังเป็นแค่อักษรที่สลักอยู่เบื้องล่างตราประทับอาคมซึ่งเป็นหนึ่งใน ‘แกนกลางฟ้าดิน’ ด้วย”

เฉินผิงอันเบี่ยงศีรษะเพ่งตามองตราประทับอาคมที่ ‘เดิน’ อยู่ท่ามกลางเส้นชีพจร จากศาลภูเขาไปที่บ่า จากนั้นก็ไล่มาตามแขน ก่อนจะถูกเหนี่ยนซินชักนำให้ย้ายไปลงหลักปักฐานที่กลางฝ่ามือ ขั้นตอนนี้ก็เหมือนการไถคราดพลิกดิน ขุดร่องคันนา แต่ดินที่ว่ากลับเป็นเลือดเนื้อเส้นเอ็นและกระดูกของผู้ฝึกตนแทน

ซวงเจี้ยงนั่งเท้าคางอยู่ด้านข้าง เอ่ยเนิบช้าว่า “หกด้านของตราประทับอาคมมีวิธีการสร้างที่เก่าแก่ ล้วนมีอักขระและภาพสัญลักษณ์สลักอยู่ ถือเป็น ‘ตราประทับหกเต็ม’ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ‘ตราประทับจันทร์เต็มดวง’ ที่หาได้ยากมาก ดวงจันทร์เต็มดวงแล้วก็กลายเป็นจันทร์เสี้ยว ไม่อย่างนั้นตราประทับประเภทนี้จะเผด็จการเกินไปหน่อย และป่านนี้ภูเขาน้อยใหญ่ก็คงต้องรีบหามาครอบครองกันคนละชิ้นแล้ว ดังนั้นหากบรรพบุรุษอิ่นกวานคิดจะใช้วัตถุชิ้นนี้รับมือกับศัตรูที่แข็งแกร่ง ค่าใช้จ่ายจึงไม่น้อย ง่ายที่จะทำให้เวทคาถาของตราประทับสายฟ้าลดน้อยลง แสงศักดิ์สิทธิ์หม่นหมองลง ปณิธานที่แท้จริงเสื่อมถอยลง โชคดีที่ภายหลังสามารถเอามาซ่อมแซมได้ ยกตัวอย่างเช่นใช้เศษชิ้นส่วนร่างทองของสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำ สรุปก็คือบรรพบุรุษอิ่นกวานไม่ขาดสิ่งของพวกนี้ โชคชะตาฟ้าช่างเข้าข้างท่านจริงๆ!”

ซวงเจี้ยงรำคาญที่ต้องคอยจ้องมองตราประทับอาคมชิ้นนั้น เพราะมันง่ายที่จะทำให้บรรพบุรุษอิ่นกวานเสียสมาธิ มันจึงประกบสองนิ้วบิดหมุนเบาๆ ตราประทับก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าเฉินผิงอัน ขนาดเท่าฝ่ามือ ปรากฏในสายตาอย่างชัดเจน

มันใช้ความคิดบิดหมุนตราประทับอาคมเบาๆ พลางพูดจ้อว่า “สี่ด้านของตราประทับมีภาพเหมือนของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิ้นสามสิบหกองค์ เทพสายฟ้า เจ้าแม่ฟ้าแลบ พ่อปู่วาโย เทพพิรุณ ขุนนางเมฆ หลิงกวาน และยังมีภาพเก่าแก่โบราณของพวกคนบนสวรรค์กับตำหนักเทพต่างๆ ล้วนมีอยู่ในตราประทับอาคมชิ้นนี้ เก้าคือจำนวนตัวเลขที่ใหญ่ที่สุด นี่ก็คือข้อพิสูจน์ที่ดีที่สุดของ ‘ตราประทับจันทร์เต็มดวง’ อาจารย์หลอมวัตถุทั่วไปไม่กล้าทำอะไรเหลวไหลเช่นนี้จริงๆ”

“นอกจากสิบหกตัวอักษรด้านล่างของตราประทับแล้ว เดิมทีควรมีขอบอักขระสวรรค์ เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงถูกตัดออกไป ทำลายรูปโฉมของมันไป แล้วก็เป็นเหตุให้พลานุภาพของตราประทับห้าอสนีชิ้นนี้ถูกลดทอนลงไปด้วย ไม่อย่างนั้นวัตถุชิ้นนี้ก็ควรกลายไปเป็นวัตถุที่ถูกตั้งบูชาไว้ในศาลบรรพจารย์ของตระกูลเซียนอักษรจง สยบกำราบขุนเขาสายน้ำ ดึงเอาโชคชะตามา ถึงขั้นอาจกลายเป็นตราประทับอาคมชิ้นหนึ่ง”

ซวงเจี้ยงทอดถอนใจ “ไม่มีขอบอักขระสวรรค์ที่สำคัญอย่างถึงที่สุด ระดับขั้นก็จะลดลงฮวบฮาบ น่าเสียดายจริงๆ!”

เป็นคนมิอาจหวังความสมบูรณ์แบบในทุกเรื่อง ทว่าในด้านของการเก็บสะสมสิ่งของกลับตรงข้ามกันพอดี

เฉินผิงอันเอ่ย “สามารถเพิ่มขอบอักขระสวรรค์ด้วยตัวเองได้หรือไม่? ต่อให้พลานุภาพจะไม่เพิ่มขึ้นแม้แต่น้อย แต่ก็ใช้ข่มขู่คนอื่นได้ อีกอย่างวันใดที่ยากจนข้นแค้นไม่เหลือเงินแล้วจริงๆ หากแกะสลักตราประทับหกเต็มได้ครบถ้วนก็จะเป็นคนละราคากันใช่หรือไม่”

ซวงเจี้ยงสะท้อนใจอยู่ในอก เห็นไหมล่ะ บรรพบุรุษอิ่นกวานที่เป็นเช่นนี้จะไม่ให้คนนับถือได้อย่างไร? จะไม่ให้สหายฉางมิ่งผู้นั้นเลื่อมใสศรัทธาได้อย่างไร?

แค่คิดอะไรขึ้นมาสักอย่างก็ราวกับต้องการจะกำจัดห้าช่องโหว่อย่างไรอย่างนั้น บรรพบุรุษอิ่นกวานเป็นตัวอ่อนในการฝึกตนที่ดีจริงๆ

น่าเสียดายที่ไม่ได้อยู่ใต้หล้ามืดสลัว ไม่ได้เจอบรรพบุรุษอิ่นกวานเร็วกว่านี้ ไม่อย่างนั้นเวลานี้เฉินผิงอันก็ต้องเรียกตนว่าท่านบรรพบุรุษแล้ว แค่ลองจินตนาการภาพก็รู้สึกงดงามยิ่งแล้ว

ซวงเจี้ยงหัวเราะเฮอๆ อย่างโง่งมอยู่สองสามที เช็ดมุมปากแล้วรีบหันหน้าไปทางอื่น ยกมือปิดหน้า ขยี้แรงๆ แล้วค่อยหันกลับมา ทำหน้าตาจริงจัง พูดด้วยสีหน้านอบน้อมว่า “แม้ว่าบรรพบุรุษอิ่นกวานจะเชี่ยวชาญเรื่องการแกะสลัก แต่ขอบอักขระฟ้านี้ ท่านทำไม่ได้จริงๆ”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ไม่ได้รู้สึกผิดหวัง กลับกันยังรู้สึกโล่งอก

หากโชคดีเกินไปก็คือภัยใหญ่หลวงที่น่ากังวล จำเป็นต้องหันกลับมาทบทวนสภาพการณ์ของตนให้ดีแล้ว

เหนี่ยนซินเอ่ย “เรียบร้อยแล้ว”

คนเย็บผ้ามาอย่างรีบร้อนแล้วก็จากไปอย่างรีบร้อน ไม่อืดอาดชักช้าแม้แต่น้อย

ตอนนี้เรื่องเดียวที่สามารถรั้งนางไว้ได้ก็คือ เฉินผิงอันเปลี่ยนความคิด ไม่คิดถึงเรื่องต้องห้ามระหว่างชายหญิงเหมือนคนสมองมีรูอีก ผู้ฝึกตนคนหนึ่งจะต้องรักษาตัวให้บริสุทธิ์ผุดผ่องดั่งหยกไปไย คร่ำครึจนเหมือนหนอนหนังสือเฒ่าแล้ว เพียงแต่เหนี่ยนซินก็ไม่อาจบังคับฉีกกระชากเสื้อผ้าของเฉินผิงอันได้ กลับกันคือนึกตำหนิซวงเจี้ยงที่ความสามารถไม่มากพอ หากตอนแรกมันสามารถอาศัยปีศาจจิ้งจอกเจ็ดหางตัวนั้นทำเรื่องบางอย่างกับเฉินผิงอันได้มากขึ้น การเย็บผ้าของนางตอนนี้ก็อาจจะไม่มีความบกพร่องในความสมบูรณ์แบบเช่นนี้แล้ว แต่จะว่าไปแล้วหากถูกปีศาจจิ้งจอกตนหนึ่งมอมเมาจิตใจ คนหนุ่มก็ไม่มีทางเดินเข้ามาในคุกแห่งนี้ ไม่อาจกลายเป็นอิ่นกวานแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้

เฉินผิงอันยกฝ่ามือขึ้นช้าๆ เรียกตราประทับอาคมห้าอสนีชิ้นนั้นออกมา ทันใดนั้นห้าอสนีก็มารวมตัวกัน โดยรอบฝ่ามือข้างหนึ่งที่ขาวสะอาดดุจหยกเหมือนมีฟ้าดินขนาดเล็กอยู่บนฝ่ามือ ท่ามกลางสายฟ้าแลบเสียงฟ้าร้องคำรณ ก้อนเมฆมารวมตัวกัน สายน้ำถือกำเนิด พอจะมองเห็นเรือนกายอันพร่าเลือนของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามสิบหกองค์ที่ควบคุมเวทอาคมแตกต่างกันไปได้อย่างเรือนลาง

เฉินผิงอันหันหน้าไปมองเทวบุตรมารนอกโลก ยิ้มตาหยีกวักมือเอ่ย “มาๆๆ ให้บรรพบุรุษได้ลูบหัวสุนัขเล็กๆ ของเจ้าสักหน่อยสิ”

ซวงเจี้ยงทอดถอนใจอย่างเศร้าสร้อย เอียงศีรษะยืดคอยาวไปหาแต่โดยดี จากนั้นก็เอ่ยอย่างจริงใจว่า “บรรพบุรุษอิ่นกวาน ข้าไม่ถนอมชีวิต ทุกวันตามติดอยู่ข้างกายท่านด้วยความจงรักภักดี พร้อมกระโจนเข้าสู่ความตายอย่างกล้าหาญเช่นนี้ ท่านต้องเห็นค่าข้าให้มากนะ”

เฉินผิงอันหมุนข้อมือตบตราประทับอาคมห้าอสนีชิ้นนี้ลงบนศีรษะของเทวบุตรมารนอกโลกอย่างแรง

เสียงปังดังสนั่นหวั่นไหว ร่างของเทวบุตรมารหายวับไปจากตำแหน่งเดิม ชายแขนเสื้อของเฉินผิงอันโบกสะบัด พายุพัดผมตรงจอนหูให้ปลิวไสว เห็นเพียงว่าเทวบุตรมารไปปรากฏตัวอยู่ไม่ห่างจากด้านล่างของขั้นบันได ก่อตัวขึ้นมาใหม่อีกครั้ง บนชุดคลุมอาคมยังคงมีเศษซากของสายฟ้าหลงเหลืออยู่ เป็นเหตุให้สองตาของมันเหลือกค้าง ร่างชักกระตุก เหมือนคนเมาเหล้าที่ยื่นมือสองข้างมาคลำทางข้างหน้าแล้วเดินโงนเงนขึ้นมาบนบันได

เฉินผิงอันรู้ดีว่าการลงมือครั้งนี้ของตนไม่มีความสามารถได้ถึงขั้นนั้น ตนยังไม่อาจฝึกเวทห้าอสนีของแท้ได้สำเร็จ ไม่มีคาถาชั้นสูงช่วยเหลือก็จะไม่มีปณิธานที่แท้จริงของมรรคกถาที่มากพอ จะสามารถทำให้เทวบุตรมารนอกโลกตนหนึ่งมีสภาพกระเซอะกระเซิงขนาดนี้ได้อย่างไร ดังนั้นจึงถามว่า “หากตบโดนผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่งเข้าอย่างจัง สามารถโจมตีขอบเขตอะไรให้ตายคาที่ได้ ขอบเขตชมมหาสมุทร? ขอบเขตประตูมังกร?”

ซวงเจี้ยงวิ่งเหยาะขึ้นบันไดมา เอ่ยว่า “หากไม่มีสมบัติอาคมปกป้องกาย ฝ่ามือนี้ของบรรพบุรุษอิ่นกวานตบลงไปโดยที่ตราประทับไม่เสียหายแม้แต่น้อย ขอบเขตประตูมังกรทั่วไปต้องตายคาที่อย่างแน่นอน!”

เฉินผิงอันถามอีก “หากข้ายอมจ่ายค่าตอบแทนอย่างไม่เสียดายล่ะ? ยอมสละตราประทับอาคมทิ้ง?”

ซวงเจี้ยงเอ่ย “ผู้ฝึกตนก่อกำเนิดทั่วไปก็ต้องทิ้งชีวิตไปครึ่งหนึ่ง ตั้งตัวเป็นศัตรูกับบรรพบุรุษอิ่นกวาน ขอแค่ชีวิตหายไปครึ่งหนึ่งก็เท่ากับว่าไม่เหลือชีวิตอยู่แล้ว”

เฉินผิงอันเอ่ยเบาๆ “ทั่วไป”

ซวงเจี้ยงกล่าวอย่างจนนใจ “น่าเสียดายอยู่บ้างจริงๆ วันหน้าหากบรรพบุรุษอิ่นกวานเข่นฆ่ากับผู้อื่น จำเป็นต้องจ่ายค่าตอบแทนสูงขนาดนี้เพื่อรับมือกับศัตรู ก็ต้องไม่ใช่ผู้ฝึกลมปราณทั่วไปอะไรแน่นอน”

เฉินผิงอันยิ้มพูด “พวกเราทำการค้าหนึ่งเหรียญเงินร้อนน้อยกัน”

ซวงเจี้ยงทำท่ากระเหี้ยนกระหือรือ ถูมือเอ่ยว่า “หากบรรพบุรุษอิ่นกวานจะพูดคุยเช่นนี้ แมลงง่วงนอนต้องตายเกลี้ยงแน่นอน”

เฉินผิงอันกล่าว “บนร่างของข้ามีสิ่งของอยู่ไม่น้อย อีกทั้งข้าก็ใกล้จะได้กลายเป็นเทพเซียนห้าขอบเขตกลางแล้ว เจ้าช่วยข้าทบทวนกระดานดูสักหน่อยว่าทำอย่างไรถึงจะได้รับผลประโยชน์มากที่สุด กุญแจสำคัญนั้นอยู่ที่ด่านเล็กใหญ่สามด่านอย่างถ้ำสถิต ชมมหาสมุทรและประตูมังกร การจับคู่กันระหว่างการหลอมกลางและหลอมใหญ่ให้วัตถุแห่งชะตาชีวิต รวมไปถึงกุญแจสำคัญส่วนสุดท้ายในการสร้างโอสถ”

ซวงเจี้ยงเอ่ย “เรื่องใหญ่ขนาดนี้ไม่สู้ให้ข้าเดินขึ้นบันไดสู่ที่สูงไปพร้อมกับบรรพบุรุษอิ่นกวานดีไหม?”

เฉินผิงอันหัวเราะ “จำต้องมีลูกไม้มากมายแบบนี้ด้วยหรือ?”

แม้จะพูดแบบนี้ แต่กลับลุกขึ้นยืนอย่างฉับไว

ถือเสียว่าเป็นนิมิตหมายที่ดี

ในอดีตตอนที่ออกจากภูเขาห้อยหัวเดินทางไปท่องใบถงทวีปพร้อมกับลู่ไถ อีกฝ่ายเคยเปิดเผยความลับสวรรค์ ชี้แนะเฉินผิงอันว่ายามที่ผู้ฝึกตนเพิ่งจะเดินขึ้นเขา การหลอมใหญ่ให้แก่วัตถุแห่งชะตาชีวิตไม่ใช่ว่ายิ่งมากก็ยิ่งมีประโยชน์ ไม่จำเป็นต้องจงใจแสวงหาจำนวนที่มากมาย

การหลอมใหญ่ให้กับวัตถุแห่งชะตาชีวิตบนโลกนั้นแบ่งออกได้คร่าวๆ สามชนิด โจมตี ป้องกัน ช่วยเหลือ ยกตัวอย่างเช่นถ้วยรับน้ำค้างใบหนึ่ง เมื่อไปอยู่ในสถานที่ที่ใกล้ชิดกับสายน้ำก็จะสามารถช่วยให้ผู้ฝึกลมปราณดึงปราณวิญญาณมาได้เร็วขึ้น กิ่งหยางกิ่งหลิวกิ่งหนึ่งที่ตัดจากสวนน้ำค้างวสันต์เอามาปลูก เมื่ออยู่ในสถานที่ที่พืชหญ้าเขียวชอุ่มก็สามารถเพิ่มปราณวิญญาณให้มากขึ้นได้

และการหลอมกลางและหลอมใหญ่นั้นก็คือการที่ต้องขอ ‘อาหาร’ จากผู้ฝึกลมปราณมากิน ดังนั้นนอกจากจะต้องมีวัตถุแห่งชะตาชีวิตที่สามารถโจมตีและป้องกันได้แล้ว การมีวัตถุแห่งชะตาชีวิตที่คอยช่วยผู้ฝึกลมปราณเปิดต้นกำเนิดพลังงานก็เป็นสิ่งที่จำเป็นมากเหมือนกัน

นี่จึงเป็นเหตุให้ก่อนที่ผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่งจะสร้างโอสถ จำนวนของการสะสมปราณวิญญาณต้องดูที่ว่าบุกเบิกช่องโพรงไว้กี่มากน้อย รวมไปถึงขนาดของช่องโพรงแต่ละแห่งใหญ่หรือเล็ก หากเป็นบ้านหลังเล็กๆ กับบ้านหลังใหญ่ที่มีการแบ่งลานคั่นหลายตอน แน่นอนว่าต้องต่างกันราวฟ้ากับเหวอยู่แล้ว

คำว่าผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนก็คือต้องมีครบทั้งสองอย่าง เปิดช่องโพรงได้มาก อีกทั้งจวนของช่องโพรงยังใหญ่อีกด้วย

คำว่าเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่เป็นดั่งชั้นวางดอกไม้ ส่วนใหญ่ก็มักจะหมายถึงคนที่มีแต่ภูเขามีเรือนเสียเปล่า เพราะทุกแห่งทุกหลังล้วนแต่เป็นบ้านหลังเล็กในตรอกเล็ก ไม่เป็นโล้เป็นพาย มีหน้ามีตาแค่ชั่วครู่ชั่วยาม สุดท้ายแล้วความสำเร็จก็มีจำกัด ชีวิตนี้ได้แต่เตร็ดเตร่อยู่ตรงกึ่งกลางภูเขาเท่านั้น

ผู้ฝึกตนอิสระแห่งป่าเขาจำนวนมาก ต่อให้มีวัตถุแห่งชะตาชีวิตไม่มาก แต่หากตั้งใจเปิดช่องโพรงแห่งชะตาชีวิตหนึ่งถึงสองแห่งแล้วทำการหลอมใหญ่ แล้วสามารถวนอยู่รอบรากฐานมหามรรคาส่วนนี้จนขัดเกลาออกมาเป็นเวทคาถาที่เหมาะสมได้ พลังการต่อสู้ก็จะโดดเด่นมากเหมือนกัน เมื่อมีการชดเชยแก้ไขตลอดทาง ต่อให้เดินอยู่บนเส้นทางเล็กของภูเขาแล้วจะยังต้องเดินโซซัดโซเซอยู่เหมือนเดิม แต่กระนั้นก็ยังสามารถขึ้นไปถึงบนยอดเขา หลุบตาลงมองกลุ่มเขาเล็กๆ ได้เช่นกัน

ช่องโพรงลมปราณสามแห่งของเฉินผิงอันเคยมี ‘ปราณกระบี่ที่เล็กมาก’ สามเส้นขดตัวอยู่ เขาได้เอามาบรรจุชูอี สืออู่และซงเจิน ไฮเหลยที่ผ่านการหลอมใหญ่มาแล้ว เพราะว่าสองอย่างหลังเป็นแค่กระบี่จำลองของเซียนกระบี่ อีกทั้งช่องโพรงลมปราณยังใหญ่มากเป็นพิเศษ ดังนั้นกระบี่จำลองสองเล่มจากภูเขาชังกระบี่จึงสามารถเบียดอยู่ในห้องเดียวกันได้โดยที่ไม่เป็นปัญหาแม้แต่น้อย อีกทั้งดูท่าแล้ว ยังเหมือนว่าหากเฉินผิงอันเอากระบี่จำลองอีกเล่มหนึ่งใส่เข้าไปก็ยังไม่เป็นปัญหาเช่นกัน

เพียงแต่ว่า ‘เสียงสวรรค์’ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่เผ่าปีศาจจากสำนักเจิงหรงเล่มนั้น รวมไปถึงกระบี่สั้นที่ซวงเจี้ยงมอบให้เฉินผิงอันเป็นของแลกเปลี่ยน ล้วนได้แต่หล่อเลี้ยงบำรุงความอบอุ่นไว้ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ด้วยกันเท่านั้น

เป็นเพราะไม่มีช่องโพรงลมปราณเหลือให้เอามาวางพวกมันจริงๆ อีกอย่างเฉินผิงอันก็ไม่รู้สึกว่าพวกมันเหมาะจะเอามาหลอมใหญ่

ซวงเจี้ยงเอ่ยเข้าประเด็นทันที “การบุกเบิกจวนของผู้ฝึกลมปราณก็เหมือนการเปิดถ้ำสวรรค์ รับเอาปราณวิญญาณแห่งฟ้าดินมาด้วยตัวเองคือขอบเขตถ้ำสถิต ช่องโพรงลมปราณสามร้อยหกสิบห้าแห่งในร่างกายมนุษย์ก็คือถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลก่อนกำเนิดสามร้อยหกสิบห้าแห่ง วันเดือนผลัดเปลี่ยน ทิวาราตรีสลับโคจร หยินหยางผสานรวม นี่ก็คือทรัพย์สมบัติที่มนุษย์มีมาตั้งแต่กำเนิด ไม่รู้ว่าภูตผีตั้งเท่าไรต้องอิจฉาแทบตาย เลื่อนเป็นขอบเขตถ้ำสถิต เปิดช่องโพรงเก้าแห่งก็สามารถเลื่อนเป็นขอบเขตชมมหาสมุทร ผู้ฝึกลมปราณหญิงต้องเปิดให้ได้สิบห้าแห่ง ทุกวันนี้ร่างของเจ้ามีวัตถุแห่งชะตาชีวิตครบห้าธาตุ ก็มีถ้ำสถิตห้าแห่งแล้ว หลังกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ นกในกรงและจันทร์ใต้บ่อก็มีการเปิดช่องโพรงอีกสองแห่ง ชูอี สืออู่มีอย่างละแห่ง ซงเจิน ไฮเหลยอยู่ในจวนแห่งเดียวกัน ดังนั้นก็เปิดช่องโพรงลมปราณได้สิบแห่งแล้ว”

——