บทที่ 2225 เสมือนเทพเสมือนปราชญ์

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เดิมทีนึกว่าเรื่องในอดีตเลือนรางเสมือนควัน ทว่าจิตมารฝั่งลึก ฝุ่นปลิวกระจายออกไป เรื่องในอดีตปรากฏชัดเจนขึ้นมาอีกครั้ง

แค่คำว่าพระปีศาจหนานโปคำเดียว ก็ทำให้ศีลแปดควบคุมความรู้สึกไม่ได้อีกแล้ว สองมือประนมตรงหน้าอก หลับตาสวดมนต์ เหมือนอยากจะควบคุมอารมณ์ตัวเองอย่างสุดกำลัง ทว่ายิ่งควบคุมจิตมาร มันก็ยิ่งรุนแรงขึ้น ยิ่งสะท้อนกลับโหดร้ายขึ้นด้วย ร่างกายสั่นเทิ้มอย่างควบคุมไม่อยู่ สั่นจนมีแสงดาบลอยออกมา

“อา!” ศีลแปดพลันกางแขนสองข้าง บนใบหน้าดุร้ายเผยความจนใจสุดขีด เงยหน้าส่งเสียงคำรามอย่างเจ็บปวด ทั้งตัวระเบิดเป็นแสงดาวระยิบระยับนับไม่ถ้วน

ในคลังสมบัติ แสงดาวลอยเลื้อยไปทั่วทุกที่ ราวกับหิ่งห้อยนับไม่ถ้วนกำลังโบยบิน จุดแสงเริ่มจางไปทีละนิด สุดท้ายทั้งหมดก็หายไปท่ามกลางความลึกลับ ศีลแปดที่อยู่ในคลังสมบัติหายไปอย่างไร้ร่องรอย…

พระปีศาจหนานโปย่อมรู้ว่าไป๋เหนียงจื่อถูกตัวเองโจมตีจนสาหัส ดวงตาที่จ้องไป๋เหนียงจื่อฉายแววกระหายอีกครั้ง

ทลายมิติ ตัดข้ามดราราจักร ถ้าสามารถครอบครองวิชานี้ได้ หลังจากนี้ดาราจักรอันกว้างใหญ่ก็จะหดเล็กลงแล้ว สามารถไปมาในดาราจักรได้อย่างอิสระ ไม่ต้องเดินทางไกลข้ามประตูดวงดาวหลายแห่งอีกแล้ว มหาเคล็ดวิชาอัศจรรย์เช่นนี้ เป็นมหาเคล็ดวิชาระดับสูงสุดจริงๆ จะไม่ให้เขาใจเต้นได้อย่างไร ที่จริงเมื่อเดินมาถึงระดับของเขาแล้ว เคล็ดวิชาทั่วไปไม่ดึงดูดความสนใจของเขาอีกต่อไป

อาศัยความสามารถของเขา ขอเพียงไป๋เหนียงจื่อตกอยู่ในมือเขา เขาก็ย่อมหาทางขุดวิชานี้ออกมาจากสมองของไป๋เหนียงจื่อได้อยู่แล้ว

เมื่อเห็นไป๋เหนียงจื่อสาหัสจนยากจะขัดขืน การจะจับตัวนั้นง่ายดายมาก พระปีศาจหนานโปก็ย่อมไม่ปล่อยไป ถลันตัวออกมา ต้องการจะจับในรวดเดียว

ไม่ง่ายเลยกว่าจะมีคนที่สามารถประลองกับพระปีศาจหนานโปได้ เมื่อเห็นว่ากำลังจะตกอยู่ในมือพระปีศาจหนานโป ก็มีคนไม่น้อยกังวลจนหัวใจจุกคอหอย

ทว่ายังไม่ทันเข้าใกล้ไป๋เหนียงจื่อ พระปีศาจหนานโปก็หยุดชะงัก มองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าระแวดระวัง สังเกตได้ถึงคลื่นผิดปกติท่ามกลางความลึกลับ。

ไป๋เหนียงจื่อที่มุมปากมีรอยเลือดกำลังเอามือประคองหน้าอก นางประนมมืออย่างช้าๆ มองบนฟ้าด้วยสีหน้าเคารพเลื่อมใส

พระปีศาจหนานโปที่มองไปรอบๆ พลันมองไปทางไป๋เหนียงจื่ออีก แล้วถลันตัวออกมาอีกครั้ง ยื่นมือเข้าไปคว้าไป๋เหนียงจื่อ

ไป๋เหนียงจื่อมองเขาด้วยแววตาสงบนิ่ง ไม่หลบหลีกใดๆ ไม่เห็นความหวาดกลัวใดๆ ไม่ตื่นตระหนกหวาดกลัว

แสงดาวระยิบระยับนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน ราวกับเป็นม่านใหญ่ผืนหนึ่ง ราวกับมิติผืนนี้กำลังกะเพื่อมพร้อมกัน แทรกอยู่ตรงกลางระหว่างไป๋เหนียงจื่อกับพระปีศาจหนานโป

พระปีศาจหนานโปที่พุ่งอยู่ท่ามกลางม่านแสงดาวระยิบระยับ จู่ๆ ก็ช้าลง เหมือนถูกผูกมัดไว้ด้วยพลังอะไรสักอย่างที่มองไม่เห็น ความเร็วที่พุ่งไปข้างหน้าช้าลงเรื่อยๆ ที่พุ่งก็ยิ่งช้า เหมือนถูกแรงต้านอะไรสักอย่างที่แข็งแกร่งมาก

“นะโมอามิตตาพุทธ!”

เสียงเอ่ยนามพระพุทธเจ้าดังก้องในดาราจักร เมื่อได้ยินก็รู้สึกเหมือนตัวเองตัวเล็กลงทันที นามพระพุทธเจ้านี้ราวกับเป็นดาราจักรไร้ขอบเขต กว้างใหญ่ไพศาล ตัวที่อยู่ในนั้นเล็กน้อยราวกับฝุ่นผง

แทบจะทุกคนมองไปรอบๆ ไม่รู้ว่ามีคนตั้งมากมายเท่าไรสั่นสะท้านกับเสียงพุทธะอันยิ่งใหญ่นี้ แต่กลับไม่รู้ว่าเสียงมาจากไหน

“คุณชายไป๋ เป็นอาจารย์ของไป๋เหนียงจื่อหรือเปล่า?” อู๋ฉางที่ยืนอยู่บนหัวเรือกันกลับมาถาม

ประมุขไป๋ไม่ได้ตอบ เพียงหรี่ตาเล็กน้อยพลางพึมพำ”นะโม หนานอู๋…”

นะโม หนานอู๋? สองคำนี้ดึงดูดความทรงจำอะไรสักอย่างของพระปีศา ดวงตาเผยแววสงสัยหวาดระแวง นามพระพุทธเจ้าทั่วไปจะกล่าวเพียง ‘อามิตตาพุทธ’ มีเพียงสำนักที่ติดอยู่ในความทรงจำของเขาถึงจะเอ่ยว่า ‘นะโมอามิตตาพุทธ’

ไม่ใช่แค่เขา อวี้หลัวช่าก็เผยสีหน้าตกตะลึงเช่นกัน เหมือนนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ นางไม่ได้ยินคำว่า ‘นะโมอามิตตาพุทธ’ มานานมากแล้ว

พระปีศาจหนานโปที่เหมือนได้รับแรงต้านกลับไม่ยอม ใบหน้าเริ่มบูดบึ้งทีละน้อย อาศัยพลังอิทธิฤทธิ์ที่แข็งแกร่ง ดิ้นรนพุ่งไปหาไป๋เหนียงจื่ออย่างสุดชีวิต เพียงแต่ร่างกายเหมือนตกอยู่ในแหล่งน้ำ เวลาจะขยับก็เปลืองแรงผิดปกติ

แล้วก็เหมือนจะเป็นเพราะเขาไม่ยอม จึงกระตุ้นให้จุดแสงดาวเล็กๆ โต้ตอบ

เห็นจุดแสงดาวเล็กๆ เริ่มก่อตัว กลายเป็นรูปร่างคนคนหนึ่งขนาใหญ่ ก่อตัวกลายเป็นพระขนาดใหญ่

ภาพเหตุการณ์ตรงหน้า กอปรกับเสียงเอ่ยนามพระพุทธเจ้า ทำให้ทุกคนในกองทัพพระ รวมทั้งอวี้หลัวช่าและประมุขชิงตกตะลึงถึงขีดสุด ในกองทัพพระมีไม่น้อยที่ถึงขั้นวู่วามประนมมือทำความเคารพ

ฝึกพุทธธรรมมาหลายปี ใครก็เรียกพุทธะ พุทธะ แต่ครั้งนี้เหมือนทุกคนจะได้เห็นพุทธะที่แท้จริงแล้ว เหมือนเพิ่งจะได้ยินถึงความยิ่งใหญ่ของเสียงแห่งพุทธะ

จุดแสงดาวเล็กๆ ยังคงก่อตัวต่อไป เค้าโครงพระรูปหนึ่งปรากฏชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

เหมียวอี้เริ่มเบิกตากว้าง อวี้หลัวช่าก็ค่อยๆ เบิกตากว้างเช่นกัน เพราะเค้าโครงของพระรูปนี้เหมือนกับคนคนหนึ่ง

ประมุขไป๋กับเทพพยากรณ์มองหน้ากันโดจิตใต้สำนึก

เมื่อจุดแสงดาวก่อตัวเต็มที่แล้ว พระที่ห่มจีรวรสีขาวพระจันทร์ปรากฏตัว ใบหน้าสง่างามผุดผ่อง ทั้งตัวเผยรัศมีสีหยกอ่อนจางๆ ให้กลิ่นอายเทพศักดิ์สิทธิ์อย่างอธิบายไม่ถูก เป็นศีลแปดนั่นเอง!

มือข้างหนึ่งที่อยู่ใต้กระบอกแขนเสื้อตัวโคร่งใหญ่ ยื่นนิ้วไปแตะตรงหว่างคิ้วของพระปีศาจหนานโป กลับทำให้พระปีศาจหนานโปถูกตรึงนิ่งอยู่ในความว่างเปล่าทั้งตัว ยากที่จะก้าวมาข้างหน้าได้อีก

อวี้หลัวช่างุนงง ในดวงตาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ เผยอปากเล็กน้อย

เหมียวอี้ก็ตกใจไม่เบาเช่นกัน จากนั้นก็ทำสีหน้าครุ่นคิดอีก เพราะเขารู้ว่าหลายปีมานี้ศีลแปดฝึกตนอยู่ที่ไหน ศีลแปดที่อยู่ตรงหน้าใช้นิ้วเดียวก็ทำให้พระปีศาจหนานโปที่เหิมเกริมไร้ขีดจำกัดหยุดนิ่งได้แล้ว จะไม่ให้เขาคิดไปทางนั้นก็คงยาก อย่าบอกนะว่าศีลแปดฝึกมหาเวทไร้ขอบเขตของสำนักหนานอู๋สำเร็จแล้ว?

ประมุขชิงกับประมุขพุทธะเผยสีหน้าตื่นตะลึง ใช้นิ้วเดียวก็ทำให้พระปีศาจหนานโปหยุดนิ่งได้แล้ว พลังอิทธิฤทธิ์ของพระรูปนี้ล้ำลึกจนเขย่าขวัญผู้คนจริงๆ อีกทั้งฉากปรากฏตัวของแสงดาวระยิบระยับนั่นก็ยิ่งอัศจรรย์พันลึก

พวกจั่วเอ๋อร์ที่ประคองอิ๋งเยว่ รวมทั้งกำลังพลสายตระกูลอิ๋งตกใจค้างแล้ว

“เป็นเจ้า…” พระปีศาจหนานโปที่พยายามดิ้นรนแทบจะตาถลน เขายังคิดอยู่เลยว่าหลังจากจับเหมียวอี้ได้แล้วจะสืบหาที่อยู่ของพระรูปนี้ เป็นเพราะหลายปีก่อนหน้านี้ พระรูปนี้ไม่ค่อยเป็นมิตร ใครจะคิดว่าพอเจอหน้ากันกลับกลายเป็นฉากอย่างนี้ ในใจเขาทั้งตกใจทั้งโมโห ใบหน้าบิดเบี้ยวเอ่ยถามอย่างยากลำบาก “มหาเวทไร้ขอบเขต…ของสำนักหนานอู๋…มีอยู่…จริงๆ ด้วย?”

ศีลแปดไม่ได้ตอบเขา เพียงจ้องเขาเงียบๆ ครู่หนึ่ง จู่ๆ นิ้วนั้นก็แตะที่หน้าผากของเขาเบาๆ สามที พร้อมขยับปากเสียงแห่งพุทธะที่ยิ่งใหญ่เหมือนเสียงธรรมชาติ “มิใช่มารมิใช่เคราะห์ ไม่ยึดติดไม่เพ้อฝัน ไร้ฝุ่นไร้ราคี ไม่สัมผัสไม่คล้อยตาม อย่ารักอย่าโกรธ ยากจะหาจุดเริ่มต้น ยากจะหาจุดจบ หยิบยื่นบุปผา เป็นเพียงฝันฉากหนึ่ง…”

เสียงแห่งพุทธะดังก้องอยู่ในดาราจักรอันไร้ขอบเขต เป็นประโยคสั้นๆ ไม่กี่ประโยคเท่านั้น แต่กลับเหมือนดังก้องอยู่ข้างหูทุกคนยาวนาน ทำให้คนฟังจิตใจกระเพื่อมเหมือนระลอกน้ำ

“อา…” จู่ๆ พระปีศาจหนานโปก็ร้องโหยหวนไม่หยุด

เริ่มตั้งแต่ที่เท้าของเขา สองเท้าบิดเกลียวเข้าด้วยกัน หมุนวนอย่างรวดเร็ว ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือเริ่มบิดขึ้นไปข้างบน ทั้งตัวบิดเบี้ยวจนไม่เหลือสภาพคน แต่กลับยังบินวนขณะที่บิด

เมื่อเสียงร้องโหยหวนเงียบลง ศีลแปดก็ใช้นิ้วแตะก้อนที่ยังหมุนวนด้วยความเร็วสูง บิดจนข้างในมีแสงสีทองวิบวับโผล่ออกมา บิดจนวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโปออกมา สุดท้ายวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็หมุนวนบิดเบี้ยวไปพร้อมกับก้อนวัตถุยุ่งเหยิงนี้ ทำให้แสงสีทองที่ปะปนอยู่ในวัตถุยุ่งเหยิงเหมือนเป็นเส้นไหมสีทองนับพันเส้น

พลังหมุนวนจากล่างขึ้นบนเหมือนจะเริ่มส่งผลกระทบต่อศีลแปดทีละนิด เริ่มตั้งแต่ปลายนิ้วของเขา ลุกลามไปทั้งร่างกายของเขา เหมือนแผ่ซ่านออกจากพื้นผิววัตถุยุ่งเหยิงที่กำลังถูกบิดออกมา ทั้งตัวศีลแปดกลายเป็นภาพที่ดูไม่สมจริง ทั้งตัวเปล่งแสงขมุกขมัว ขาวใสดุจหยก เหมือนจะโปร่งแสง ลักษณะเหมือนเทพศักดิ์สิทธิ์เข้าไปทุกที

ผ่านไปครู่เดียว วิญญาณศักดิ์สิทธิ์สีทองที่ลอยหมุนอยู่ใต้ปลายนิ้วมือก็เริ่มอับแสงลงทีละน้อยจนกระทั่งหายไป เริ่มมีสีเดียวกับก้อนวัตถุยุ่งเหยิงที่กำลังบิดตัวลอยหมุน

ตอนที่ศีลแปดหดนิ้วกลับมาช้าๆ วัตถุลอยหมุนที่ขาดแรงกดอัดก็เสียการควบคุมอย่างฉับพลัน การลอยหมุนกระจายออกไป ระเบิดกลายเป็นฝุ่นผงลอยหมุนกระจายหายไป

ฝุ่นผงเข้มข้นที่ระเบิดออกมา กระจายจางไปในดาราจักรอย่างช้าๆ จนกระทั่งหายไปอย่างไร้ร่องรอย

พระปีศาจหนานโปที่มีอานุภาพน่าเกรงขามมาทั้งชีวิตหายไปอย่างนี้แล้วเหรอ?

ประมุขชิงกับประมุขพุทธะสบตากันอย่างพูดไม่ออก สายตาตกตะลึง

กำลังพลสายตระกูลอิ๋งตะลึงค้าง เริ่มเผยสีหน้าหวาดกลัวทีละนิด

อวี้หลัวช่ากัดริมฝีปากเล็กน้อย มองศีลแปดด้วยแววตาสื่ออารมณ์หลากหลาย ที่จริงนางรู้สึกมาตลอดว่าศีลแปดเป็นคนไม่เอาไหน คาดว่าชาตินี้ว่าศีลแปดคงจะใช้ชีวิตไปวันๆ ตลอดไป ไม่ประสบความสำเร็จอะไร แต่ความไม่เอาไหนนี้ทำให้นางยินดี เพราะนางควบคุมได้สะดวก ดังนั้นนางจึงไม่เคยเรียกร้องให้ศีลแปดประสบความสำเร็จเท่าไรนัก

ทว่าศีลแปดที่ปรากฏตัวกะทันหันในวันนี้ทำให้นางตกตะลึงจริงๆ พอลงมือก็กำจัดพระปีศาจหนานโปได้ทันที ทั้งยังกำจัดได้อย่างง่ายดายด้วย เมื่อก่อนก็แค่ไม่ก้าวหน้าเท่านั้น พอก้าวหน้าขึ้นมาก็ประสบความสำเร็จมหาศาล ลักษณะท่าทางที่เหมือนเทพเหมือนปราชญ์ทำให้นางทำอะไรไม่ถูก รู้สึกว่าหลังจากนี้ไม่รู้ควรจะเผชิยหน้าอย่างไร

และศีลแปดที่เปลี่ยนไปไม่เหมือนตัวจริงก็หันกลับมามองแวบหนึ่ง มองด้วยรอยยิ้มที่ลึกลับ ยิ้มบางๆ ให้อวี้หลัวช่า

ศีลแปดหันกลับไปมองเหมียวอี้อีก ประนมมือให้พร้อมรอยยิ้มบางๆ ท่ามกลางรัศมีขมุกขมัว บนตัวมีสิ่งที่เหมือนกลีบดอกไม้นับพันลอยขึ้นมา มีสิ่งที่คล้ายกลีบดอกไม้ขาวบริสุทธิ์ลอยขึ้นจากตัวเขาไม่หยุด สวยวิจิตรตระการตา สวยจนจิตวิญญาณตกตะลึง

ตามที่กลีบดอกไม้บนตัวหลุดออกมา ทั้งร่างของศีลแปดก็เปลี่ยนเป็นอ่อนจางทีละนิด

เหมียวอี้รู้สึกปวดใจเล็กน้อย เหมือนเขาจะรู้ศีลแปดประนมมือยิ้มให้เขา รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าครั้งนี้ศีลแปดกำลังจะจากไปแล้วจริงๆ จากไปตลอดกาล

“เจ้ารอง!” เหมียวอี้พลันตะโกนเรียกศีลแปดเสียงดัง

เสียงตะโกนนี้เรียกสติของทุกคน ทุกคนมองไปที่เขา

ชิงและพุทธะก็ยิ่งหวาดระแวงสงสัย สงสัยว่าเหมียวอี้เรียกพระที่มีมหาเวทไร้ขอบเขตว่า ‘เจ้ารอง’ หมายความว่าอะไร

เงายิ้มอ่อนของศีลแปดจางไปทีละนิด ทั้งตัวกลายเป็นกลีบดอกไม้บริสุทธิ์พุ่งขึ้นฟ้าไป ราวกับเป็นน้ำพุพุ่งไปในดาราจักร

ทุกคนเงยหน้ามอง แล้วก็เห็นเปลงเพลิงที่ลอยเต็มอากาศเหมือนฝนระเบิดอีก กลายเป็นฝุ่นแล้ว ฝุ่นแต่ละเม็ดกระจายไปราวกับแสงสว่างเลือนรางในความฝัน ฝุ่นขมุกขมัวเกลื่อนกลาดเป็นวงกว้าง เหมือนอบอวลอยู่ทั่วทั้ง

ไป๋เหนียงจื่อที่ประนมมือด้วยความเลื่อมใสเผยรอยยิ้มอิ่มใจ โค้งตัวเคารพให้ฝุ่นผงที่ระเบิดอยู่เต็มฟ้า

ทันใดนั้น ฝุ่นผงที่เปล่งแสงขมุกขมัวก็กระจายเป็นวงกว้าง เหมือนฝูงหิ่งห้อยนับไม่ถ้วนบินไปทั่วสี่ด้านแปดทิศ เหมือนจะอยู่ร่วมกับดาราจักรอันเวิ้งว้างไร้ขอบเขตนี้ไปชั่วนิรันดร์

ตรงหน้าของทุกคนมีแสงดาวร่วงโรย เหมียวอี้ยื่นฝ่ามือออกมา รับแสงหิ่งห้อยอันงดงามที่ลอยตกลงมา แสงหิ่งห้อยแทรกซึมเข้าในฝ่ามือเขาอย่างไร้อุปสรรคไร้เสียง ความรู้สึกอบอุ่นที่ไร้ความยินดียินร้ายรินไหลเข้ามาในหัวใจของเขาอย่างช้าๆ