เฉินผิงอันถาม “นอกจากเย็บผ้าจะช่วยหล่อหลอมโชคชะตาบู๊แล้ว ยังมีวิธีการอื่นที่เห็นผลในทันทีอีกหรือไม่?”
ผู้ฝึกยุทธคนหนึ่ง หากสามารถฝ่าขอบเขตได้ด้วยคำว่าแข็งแกร่งที่สุด แน่นอนว่าย่อมต้องเป็นเกียรติอย่างใหญ่หลวง เท่ากับว่าได้รับการยอมรับจากวิถีวรยุทธของหนึ่งใต้หล้า เพียงแต่ว่าการฝ่าทะลุขอบเขตเช่นนี้เป็นแค่การเปรียบเทียบกับผู้ฝึกยุทธรุ่นเดียวกันในยุคสมัยเดียวกันเท่านั้น ทุกขอบเขตที่ฝ่าไปได้ของเฉาสือล้วนแข็งแกร่งที่สุดทั้งหมด น้ำหนักเยอะมาก โชคชะตาบู๊จึงเยอะมาก ขนาดอวี้เจวี้ยนฟูก็ยังเป็นรองอยู่เยอะ ปีนั้นในหุบเขาผีร้ายของอุตรกุรุทวีป เฉินผิงอันได้เจอกับคนประหลาดที่ภูเขากระจกวิเศษ เขาเรียกตัวเองว่าหยางฉงเสวียน ภายหลังเฉินผิงอันถึงได้รู้สถานะของอีกฝ่ายว่าที่แท้เขาคือลูกหลานสกุลหยางแห่งตำหนักนภากาศ คือพี่ชายของบัณฑิตคนนั้น แล้วก็เคยเป็นขอบเขตร่างทองที่เลื่อนขั้นมาโดยขอบเขตหกที่แข็งแกร่งที่สุด
ลองมาคิดดูแล้วเฉินผิงอันก็รู้สึกว่าน่าสนใจอย่างมาก เฉาสือ อวี้เจวี้ยนฟู และยังมีหยางฉงเสวียน ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวสามคนที่ตนเคยพบเจอมาล้วนเคยเป็นขอบเขตหกที่แข็งแกร่งที่สุดมาช่วงระยะเวลาหนึ่งทั้งสิ้น
ซวงเจี้ยงลุกขึ้นนั่ง พูดอย่างอ่อนระโหยโรยแรงว่า “ไม่มีหรอก การเย็บผ้าของเหนี่ยนซินแม่นยำมากแล้ว แต่ข้ากลับพอจะมีวิธีในการหล่อหลอมอยู่บ้าง น่าเสียดายที่อะไรที่มากเกินไปก็ไม่ดี ข้าทำการค้าอย่างยุติธรรมมาโดยตลอด จะไม่มีทางพูดจาเหลวไหลชักชวนให้คนเชื่อถือ ปล่อยให้เงินมาบังตาบังใจตัวเองเด็ดขาด”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ด่าคนไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อม”
ซวงเจี้ยงกระโดดผลุงขึ้น ยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งมาลอยค้างไว้เหนือหัว “สวรรค์เป็นพยาน หากท่านบรรพบุรุษอิ่นกวานยังใส่ร้ายข้าเช่นนี้ เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะตบตัวเองให้ตายด้วยฝ่ามือเดียวเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง?!”
เฉินผิงอันผายมือข้างหนึ่งบอกเป็นนัยว่าเชิญตามสบาย
ซวงเจี้ยงกำลังจะเปิดปากพูดก็มองเห็นเจ้าลูกกระต่ายน้อยคนหนึ่ง จึงโบกชายแขนเสื้อเป็นวงกว้าง คว้าร่างอีกฝ่ายมาไว้ข้างกาย ถลึงตาเอ่ยอย่างโกรธเกรี้ยว “เจ้าตะพาบน้อย กล้าบังอาจลอบมองแผ่นหลังอันองอาจของท่านบรรพบุรุษอิ่นกวานข้าหรือ เจ้าไม่ใช่สาวน้อยหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูเสียหน่อย!”
ที่แท้ก็คือเด็กหนุ่มโยวอวี้ เพราะว่าเฒ่าหูหนวกยังต้องกลับมาที่คุก ครั้งนี้เฒ่าหูหนวกไปเข่นฆ่าบนหัวกำแพงเมืองจึงไม่ได้พาเด็กหนุ่มที่มีศักดิ์เป็นเจ้านายของตนผู้นี้ไปด้วย
เฉินผิงอันหันหน้ามายิ้มเอ่ย “โยวอวี้ หากไม่ยุ่งอยู่กับการฝึกตนก็มานั่งลงพูดคุยกันได้”
เด็กชายผมขาวรีบช่วยปัดชายแขนเสื้อให้เด็กหนุ่มทันใด ยิ้มกล่าว “โยวอวี้ มัวยืนอึ้งอยู่ทำไมเล่า รีบไปนั่งข้างกายบรรพบุรุษอิ่นกวานสิ นี่เป็นเกียรติอันใหญ่หลวงเพียงใด หากเปลี่ยนมาเป็นเฒ่าหูหนวก เวลานี้คงจะน้ำตาไหลนองหน้าคุกเข่าโขกหัวขอบคุณไปนานแล้ว”
โยวอวี้มานั่งอยู่ใกล้ๆ กับเฉินผิงอัน เด็กหนุ่มมีท่าทางระมัดระวังตัวเล็กน้อย อีกทั้งยังไม่ใช่คนที่พูดเก่ง จึงไม่เอ่ยอะไรเลยสักคำ
แล้วนับประสาอะไรกับที่ข้างกายอิ่นกวานหนุ่มยังมีเด็กชายผมขาวคนนั้นอยู่ ผู้อาวุโสหูหนวกบอกว่าไอ้หมอนี่คือเทวบุตรมารนอกโลกขอบเขตบินทะยานตนหนึ่ง พบหน้ากันแค่ทำตัวตามสบายก็พอแล้ว หรือจะต่อยตีกันก็ยังไม่เป็นปัญหา ถึงอย่างไรก็ขัดขวางอะไรไม่ได้อยู่แล้ว
ผู้อาวุโสหูหนวกพูดถึงขนาดนี้แล้ว เด็กหนุ่มจะยังทำตัวตามสบายอีกได้อย่างไร?
เฉินผิงอันถามเรื่องบางอย่างจากโยวอวี้ เด็กหนุ่มตอบทุกคำถาม บ้านอยู่ที่ไหน ผู้ถ่ายทอดมรรคาคือใคร กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเป็นอย่างไร ก่อนหน้านั้นในศึกใหญ่ไม่ได้สังหารเผ่าปีศาจ แค่คอยช่วยหอกระบี่หอภูษาทำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อยู่บนหัวกำแพงเมือง เขาล้วนไม่ได้ปิดบัง เพราะถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็คือใต้เท้าอิ่นกวาน โยวอวี้จึงไม่คิดจะหลบซ่อนเรื่องใด แล้วนับประสาอะไรกับที่อิ่นกวานหนุ่มจากต่างถิ่นที่เรื่องราวเต็มไปด้วยสีสันผู้นี้มีเรื่องเล่าลือมากเหลือเกิน ยิ่งเป็นพวกคนที่อายุน้อยก็ยิ่งชอบพูดคุยกัน โยวอวี้มีเพื่อนอยู่คนหนึ่ง และเพื่อนของเขาก็มีแม่นางน้อยที่รักซึ่งเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก นางจึงมักจะถามเพื่อนคนนั้นของเขาว่า หากข้าอยู่ที่ใต้หล้าไพศาล เจ้าจะยอมลำบากเหนื่อยยากเพื่อไปหาข้าไหม? สหายของเขาเพิ่งเคยถูกถามเป็นครั้งแรกจึงตอบไปว่า เจ้าเองก็ไม่ได้อยู่ที่ใต้หล้าไพศาลสักหน่อย ผลคือนางไม่สนใจเขาไปหลายวัน ภายหลังสหายของเขาฉลาดขึ้นแล้ว เพียงแต่ว่าคำตอบในแต่ละครั้งกลับไม่ทำให้นางพอใจได้เสียที สุดท้ายเพื่อนของเขาจึงมาบ่นเอากับเขาว่า ข้าไม่ใช่อิ่นกวานผู้นั้นสักหน่อย จะไปเทียบอีกฝ่ายได้อย่างไร
คุยกันมากเข้า โยวอวี้ก็ค้นพบว่าที่แท้ใต้เท้าอิ่นกวานเข้ากับคนได้ง่ายมาก ยามที่ทั้งสองฝ่ายพูดคุยกัน ไม่ว่าใครจะเป็นคนพูด อิ่นกวานหนุ่มล้วนฟังอย่างตั้งใจ สายตาไม่เคยวอกแวก ไม่เคยทำท่าเหม่อลอยหรือตอบรับอย่างขอไปที
ซวงเจี้ยงรู้สึกว่าความยอดเยี่ยมของตนเป็นส่วนเกินจึงลุกขึ้นเงียบๆ ไปนั่งอีกฝั่งของบรรพบุรุษอิ่นกวาน
ไม่มีเด็กชายผมขาวนั่งคั่นกลาง โยวอวี้ก็ยิ่งผ่อนคลายมากขึ้น จึงเล่าเรื่องน่าอายของสหายออกมาด้วย
เฉินผิงอันหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ “โยวอวี้ คราวหน้าหากเจ้าเจอเพื่อนก็ให้เขาบอกแม่นางที่รักไปว่า ต้องแยกจากกันไปอยู่คนละใต้หล้า จะตัดใจได้อย่างไร แค่ลองคิดดูก็เสียใจแล้ว แต่หากต้องแยกจากกันจริงๆ ก็ให้นางรอเขา ต้องรอเขาให้ได้”
โยวอวี้ถามเบาๆ “จะสำเร็จจริงหรือ?”
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ พยักหน้ารับเบาๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
โยวอวี้จึงพยักหน้ารับอย่างแรง รู้สึกว่าสามารถทำได้
ซวงเจี้ยงโน้มตัวมาด้านหน้า ใช้สองนิ้วจิ้มมาข้างหน้ามั่วซั่ว บอกเป็นนัยให้เด็กหนุ่มรีบไสหัวไป อย่าได้ถ่วงเวลาการฝึกตนของท่านบรรพบุรุษอิ่นกวาน
ผลคือโดนเฉินผิงอันต่อยลงบนหน้าโดยที่เขาไม่ได้หันหน้ากลับมามองด้วยซ้ำ
เด็กหนุ่มกลั้นยิ้ม ลุกขึ้นยืนแล้วขอตัวจากไป
เฉินผิงอันเองก็ลุกขึ้นเอ่ยลากับเด็กหนุ่ม
เฉินผิงอันเดินลงบันไดกลับไปยังชั้นล่างของคุกอีกครั้ง ซวงเจี้ยงก็มาเดินอยู่เบื้องหน้าพลางพร่ำพูดไปด้วยว่า “บรรพบุรุษอิ่นกวานระวังขั้นบันไดนะขอรับ”
เฉินผิงอันถาม “เจ้าคิดว่าเลื่อนเป็นขอบเขตถ้ำสถิตอยู่ที่นี่ดีกว่า หรือควรจะออกไปข้างหน้าแล้วค่อยเลื่อนขั้นก็ยังไม่สาย?”
ซวงเจี้ยงเอ่ย “เรื่องนี้จะทำตามใจอย่างไรก็ได้”
สะพานแห่งอมตะของเฉินผิงอันถูกสร้างขึ้นใหม่ได้อย่างมั่นคงแล้ว การเลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลางจึงสามารถทำได้ทุกที่ทุกเวลา
หากจะบอกว่าในฐานะผู้ฝึกยุทธ การที่เฉินผิงอันต้องหล่อหลอมโชคชะตาบู๊ที่อยู่บนร่างก็คือการเปิดภูเขา ถ้าอย่างนั้นข้ามผ่านธรณีประตูใหญ่ของการฝึกตนเลื่อนเป็นขอบเขตถ้ำสถิต ก็คือการเปิดจวน
จะกลายเป็นเทพเซียนห้าขอบเขตกลางอยู่ในฟ้าดินของคุก หรือออกไปจากคุกก็ล้วนทำได้ทั้งนั้น
การเปิดจวนของขอบเขตถ้ำสถิตคนหนึ่ง อยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบเคียงกับการเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตเดินทางไกลได้ติด โดยเฉพาะอย่างยิ่งอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ เกรงว่าก็คงเหมือนการขว้างหินก้อนเล็กๆ ลงไปในทะเลสาบ ไม่มีใครให้ความสนใจ
แต่หากเฉินผิงอันไม่ได้เป็นผู้ฝึกกระบี่ เขาก็ไม่มีทางกล้าเปิดจวนเลื่อนสู่ขอบเขตถ้ำสถิตโดยพลการแน่นอน เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก กำแพงเมืองปราณกระบี่มีปราณกระบี่เข้มข้นเกินไป!
สำหรับผู้ฝึกลมปราณที่ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่แล้ว การสยบกำราบจากมหามรรคามีอยู่ทั่วทุกหนแห่ง และมีแต่จะยิ่งทำให้ผู้ฝึกลมปราณรู้สึกว่าแบกรับภาระหนักเป็นเท่าทวี
ดังนั้นหากไม่ใช่ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่างจากต่างถิ่นซึ่งเป็นผู้ฝึกกระบี่ เรื่องตลกจากการเดินขึ้นหัวกำแพงเมืองไปหาประสบการณ์ก็เคยมีอยู่มากมายนับไม่ถ้วน หากไม่ระวังให้ดี ดีไม่ดีอาจร้ายแรงถึงชีวิต
ข้างกายต้องมีองค์รักษ์ มีผู้ถวายงานคอยให้การปกป้องคุ้มกันอยู่ตลอดเวลา ในสายตาของผู้ฝึกกระบี่ในท้องถิ่นแล้วล้วนถือเป็นลูกกระต่ายน้อยที่ยังไม่หย่านมทั้งสิ้น
ดังนั้นการที่ใต้หล้าไพศาลมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อกำแพงเมืองปราณกระบี่ ก็หาใช่เพราะเกิดจากอคติตามธรรมชาติของผู้ฝึกลมปราณจากใต้หล้าไพศาลฝ่ายเดียวเท่านั้น
พวกลูกรักแห่งสวรรค์ที่มีชาติกำเนิดจากตระกูลเซียนชนชั้นสูง ยิ่งเป็นคนที่อายุน้อยเท่าไร อยู่ที่บ้านเกิดยิ่งเคยชินกับการป้อยอจากคนข้างกายมากเท่าไร พอมาถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่พูดถึงการพูดจาไม่เข้าหูกัน ลำพังเพียงแค่สายตาที่บ้างก็เย็นชาบ้างก็ดูแคลนจากพวกเซียนกระบี่ผู้ฝึกกระบี่ที่ได้เห็นก็มากพอจะทำให้พวกเขาสะอึกอึ้ง กลายมาเป็นภาพที่ยากจะลืมเลือนได้ตลอดชีวิตแล้ว
การผลักไสของกำแพงเมืองปราณกระบี่ นับตั้งแต่ปราณกระบี่แห่งฟ้าดิน ไปจนถึงโชควาสนาบนวิถีกระบี่ที่เกิดจากการรวมตัวกันของปณิธานเซียนกระบี่ยุคโบราณ ล้วนไม่เป็นมิตรกับใต้หล้าไพศาลอย่างมาก ส่วนทัศนคติที่ผู้ฝึกกระบี่มีต่อใต้หล้าไพศาลก็ยิ่งย่ำแย่อย่างถึงที่สุด
อิ่นกวานเซียวสวิ้นกับเซียนกระบี่สองคนที่กุมอำนาจของสายอิ่นกวานอย่างลั่วซาน จู๋อาน จางลู่ชายฉกรรจ์กอดกระบี่ที่เฝ้าประตูใหญ่ มาจนถึงผู้มีพรสวรรค์อายุน้อยอย่างพวกผังหยวนจี้ ฉีโซ่ว มีใครบ้างที่ไม่มีใจเป็นศัตรูต่อใต้หล้าไพศาล ซึ่งนี่ไม่ได้เรียบง่ายเพียงแค่เพราะไม่มีความรู้สึกดีอันใดด้วยเท่านั้น ถึงอย่างไรเซียนกระบี่อย่างซุนจวี้เฉวียนก็มีน้อยยิ่งกว่าน้อย ผลคือพอเอาเข้าจริง เมื่อต้องเจอกับตัวอ่อนกระบี่รุ่นเยาว์ของราชวงศ์เส้าหยวนแห่งแผ่นดินกลางที่เซียนกระบี่ขู่เซี่ยพามา ก็กลายเป็นว่าความประทับใจที่ซุนจวี้เฉวียนมีต่อพวกเขาเปลี่ยนมาเป็นรังเกียจไปจนได้
ในบรรดาลูกศิษย์และนักเรียนของเฉินผิงอัน เผยเฉียนนั้นไม่จำเป็นต้องใช้เหตุผลใดๆ พอมาถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ยิ่งกว่าปลาได้น้ำ กลมกลืนเป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง
ชุยตงซานขอบเขตสูงจึงไม่แยแส
อันที่จริงคนที่ปรับตัวไม่ได้มากที่สุดคือเฉาฉิงหล่างที่เป็นผู้ฝึกลมปราณแล้ว ทว่าในช่วงเวลาที่ได้มาอยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ หลังจากที่เด็กหนุ่มข้ามผ่านประตูใหญ่มาก็ไม่เคยทำให้คนนอกรู้สึกว่าเขาไม่เป็นตัวของตัวเองแม้แต่น้อย
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงรู้สึกมาโดยตลอดว่ามีสามเรื่องที่ตนยากจะหาศัตรูมาทัดเทียม มีพรสวรรค์เลิศล้ำค้ำฟ้ายิ่งกว่าการเป็นร้านผ้าห่อบุญเสียอีก!
หาภรรยา
ตั้งชื่อ
รับลูกศิษย์
เฉินผิงอันพลันถามขึ้นมาอีกว่า “เลื่อนเป็นขอบเขตถ้ำสถิตจะทำให้พลังพิฆาตของกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มของข้าเพิ่มมากขึ้นหรือไม่? โดยเฉพาะอย่างยิ่งฟ้าดินเล็กของนกในกรง จะสามารถเดินข้ามบันไดขั้นใหญ่ไปได้หรือไม่?”
ซวงเจี้ยงมีสีหน้ากระอักกระอ่วนอีกครั้ง
นั่นเป็นเพราะในสายตาของขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งแล้ว การเลื่อนขอบเขตเล็กน้อยแค่นี้สามารถมองข้ามไปได้เลย
ส่วนฟ้าดินเล็กของนกในกรงเล่มนั้น เกี่ยวข้องกับขอบเขตสูงต่ำของเฉินผิงอันก็จริง แต่ก็เกี่ยวข้องน้อยมาก
นอกจากนี้ศัตรูของเฉินผิงอัน นอกจากปีศาจใหญ่ห้าขอบเขตบนห้าตนที่มีอวิ๋นชิง ชิงชิวเป็นหนึ่งในนั้นแล้ว ผู้ฝึกกระบี่เผ่าปีศาจที่เหลือล้วนเป็นขอบเขตก่อกำเนิด เขาจะกลายเป็นห้าขอบเขตกลางหรือไม่ก็ไม่ได้มีความหมายมากสักเท่าไร
แต่ในเมื่อบรรพบุรุษอิ่นกวานใส่ใจการ ‘เลื่อนขั้น’ น้อยนิดนั้นขนาดนี้ ซวงเจี้ยงจึงรีบใช้ความคิด เค้นหัวสมองพยายามเอ่ยถ้อยคำน่าฟังที่ซาบซึ้งกินใจ ล้อมคอกเมื่อวัวหายให้กับตัวเอง “แน่นอนว่าต้องเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม! ความต่างหนึ่งขอบเขตระหว่างขอบเขตห้ากับขอบเขตถ้ำสถิต ถึงอย่างไรก็ไม่เหมือนทั่วไป แล้วนับประสาอะไรกับที่กระบี่บินสองเล่มนั้นของบรรพบุรุษอิ่นกวานไม่เคยมีปรากฎมาก่อนในประวัติศาสตร์ แล้วก็จะไม่มีเกิดขึ้นในอนาคต คอยช่วยเหลือกันและกัน ได้ครบทั้งโจมตีและป้องกัน…”
เฉินผิงอันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ฝ่าขอบเขตที่นี่แล้วกัน เจ้าช่วยข้าดูร่องรอยในหัวใจ หาสถานที่ที่เป็นทายาทของช่องโพรงลมปราณสิบแห่งให้ข้าที หากหาได้ต่ำกว่าห้าแห่งลงไปหรือได้ห้าแห่ง เท่ากับเงินร้อนน้อยครึ่งเหรียญ แต่หากห้าแห่งขึ้นไปจะคิดเป็นหนึ่งเหรียญเงินร้อนน้อย หากเจ้าหาได้ครบสิบแห่ง แต่กลับบอกกับข้าว่ามีหกแห่งก็ไม่เป็นไรเหมือนกัน แต่หากหาไม่เจอเลยสักแห่ง ถ้าอย่างนั้นก็อย่าโทษว่าข้าเป็นเถ้าแก่รองที่ทำการค้าล่ะ”
ซวงเจี้ยงตบอกเสียงดังสนั่นฟ้า “หากหาไม่เจอเลยสักแห่งคงไม่มีหน้ามาพบบรรพบุรุษอิ่นกวาน ถึงเวลานั้นข้าจะหิ้วหัวมาพบท่านด้วยตัวเอง!”
แล้วจู่ๆ ซวงเจี้ยงก็เอ่ยเตือนว่า “บรรพบุรุษอิ่นกวานมีพรสวรรค์ล้ำเลิศเกินกว่าใคร ดังนั้นจำไว้ว่าอย่าฝ่าทะลุขอบเขตเร็วเกินไปนัก ไม่ใช่ว่าฝ่าทีเดียวไปสองขอบเขตกลายเป็นขอบเขตชมมหาสมุทรโดยตรงล่ะ! ไม่อย่างนั้นข้ามาครั้งนี้คงเสียเที่ยวแล้ว!”
หลังจากที่เฉินผิงอันตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดก็หยุดเดินทันที แล้วเริ่มหลับตาทำสมาธิ
จิตใจจมจ่อมอยู่ภายในกาย ความคิดเคลื่อนไหวเล็กน้อย สะพานแห่งอมตะก็ผุดขึ้นมา เขาเดินขึ้นไปบนสะพาน แล้วข้ามสะพานด้วยฝีเท้าเนิบช้า
ถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลสามร้อยกว่าแห่งในฟ้าดินเล็กร่างกายมนุษย์พากันเปิดอ้าอย่างพร้อมเพรียง ปราณวิญญาณกรอกเทเข้ามาประหนึ่งกระแสน้ำที่ไหลบ่าท่วมทะลักสู่ภายใน
ไม่เพียงเท่านี้ ดวงจิตของเฉินผิงอันย้อนกลับมาบนสะพานแห่งความเป็นอมตะ แหงนหน้ามองไป สีหน้ายิ่งเคร่งขรึม คอยจับตามองภาพบรรยากาศการเปิดฟ้าดินครั้งแรกตามที่ซวงเจี้ยงเล่าให้ฟัง
แล้วก็จริงดังคาด หากไม่เป็นเพราะเทวบุตรมารนอกโลกเตือนไว้ก่อน ไม่ว่าตัวเฉินผิงอันจะระมัดระวังรอบคอบแค่ไหนก็คงไม่อาจค้นพบเบาะแสเส้นนั้นได้
ชั่วพริบตานั้นพอจะมองเห็นได้อย่างเลือนรางว่ามีเส้นยาวเส้นหนึ่งปริออกบนฟ้า นับแต่นี้ฟ้ากับดินแยกจาก บนฟ้ามีดวงตะวันจันทราดารา แผ่นดินมีขุนเขาสายน้ำ เริ่มการคุมเชิงกันระหว่างบนกับล่าง
เพียงแต่เฉินผิงอันยังรู้สึกสงสัยเล็กน้อย ตามหลักแล้วดวงตะวันดวงจันทราลอยอยู่กลางนภา เดิมทีก็ควรอยู่ห่างจากพื้นดิน แต่ระยะห่างระหว่างฟ้าและดินในฟ้าดินเล็กร่างกายมนุษย์ของตนคล้ายจะไม่ใหญ่มากนัก
หรือจะบอกว่าผู้ฝึกลมปราณทุกคนล้วนเป็นแบบนี้เหมือนกันทั้งหมด?
ไม่เพียงเท่านี้ การเคลื่อนโคจรของดวงดาวบนม่านฟ้ายังเหมือนเศษกระจกแตกหลายชิ้น เรื่องราวและบุคคลทั้งหลายพากันพุ่งมาแล้ววูบหายไป
ราวกับว่าแค่เฉินผิงอันเอื้อมมือออกไปก็คว้าจับ ไขว่คว้าเอาคนและเรื่องราวในอดีตมาได้แล้ว
แต่เฉินผิงอันกลับสะกดความคิดนี้เอาไว้ในใจ เพียงแค่ยืนอยู่ที่เดิม บังคับตัวเองอย่างเข้มงวดไม่ให้ยื่นมือออกไปเด็ดขาด
เฉินผิงอันฝืนรักษาสติเสี้ยวหนึ่งเอาไว้ บอกกับตัวเองเงียบๆ ว่า เรื่องราวในอดีต คนที่จากไปไกล ไม่ว่าตนจะคิดถึงมากแค่ไหน สุดท้ายแล้วก็ไม่อาจตามกลับคืนมาได้
เด็กชายผมขาวที่ยอมให้ด่ายอมให้ใช้แรงงาน เมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับการหาเงินจึงไม่กล้าเพิกเฉย พยายามทะยานลมเดินทางไกลไล่ตามกระแสปราณวิญญาณที่ไหลบ่าเหล่านั้นไป เทวบุตรมารที่สวมต่างหูงูเขียว สวมชุดคลุมอาคมหรี่ตาลง จ้องนิ่งไปยังการเคลื่อนไหวน้อยนิดที่ปรากฎขึ้นยามกระแสน้ำกระแทกเข้าใส่ประตูใหญ่ของช่องโพรงลมปราณจำนวนมาก
ภาพเหตุการณ์ผิดปกติจางหายไป
เฉินผิงอันถอยออกมาจากดวงจิต
ผลคือเห็นว่าเทวบุตรมารตนนั้นมายืนอยู่ตรงหน้าตัวเอง ในอ้อมอกกอดศีรษะเอาไว้
เฉินผิงอันทำอะไรไม่ได้ ได้แต่เริ่มออกเดินอีกครั้ง
ซวงเจี้ยงเอาหัววางกลับไว้บนคอ หัวเราะฮ่าๆ เอ่ยว่า “บรรพบุรุษอิ่นกวาน หกแห่ง หกแห่ง หนึ่งเหรียญเงินร้อนน้อย!”
ซวงเจี้ยงใช้เสียงในใจเอ่ยชื่อช่องโพรงลมปราณทั้งหกแห่ง
เฉินผิงอันรู้ว่าต้องไม่ได้มีแค่หกแห่งแน่นอน เพียงแต่เขาไม่สนใจแม้แต่น้อย เลือกสถานที่ให้เป็นพื้นที่สืบทอดในการเปิดจวนก็หนีไม่พ้นการปูพื้นฐานให้กับขอบเขตชมมหาสมุทรต่อจากขอบเขตถ้ำสถิตเท่านั้น ไม่มีก็ไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่อะไร แน่นอนว่ามีคือดีที่สุด ดังนั้นเขาจึงยังมอบเงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญนี้ให้แก่ซวงเจี้ยง
ต่อจากนี้จึงจะเป็นภาระหน้าที่ของอิ่นกวานอย่างแท้จริง สังหารเผ่าปีศาจในคุกให้สิ้นซาก
ไม่ว่าจะใช้วิธีการใด สังหารปีศาจใหญ่ห้าขอบเขตบน รวมไปถึงผู้ฝึกกระบี่เผ่าปีศาจขอบเขตก่อกำเนิดห้าคนที่ทางที่ดีที่สุดคือใช้การถามกระบี่
จากนั้นถึงจะสามารถเย็บผ้าต่อเพื่อแบกรับชื่อจริงของปีศาจใหญ่ทั้งหมดที่กำหนดไว้ให้สำเร็จ
สิงกวานจะจากไปหรือยังอยู่ เฉินผิงอันไม่สนใจ ถึงอย่างไรเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสย่อมมีการจัดการอยู่แล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่อิ่นกวานอย่างเฉินผิงอันก็ไม่มีคุณสมบัติจะไปชี้ไม้ชี้มือบงการสิงกวานที่อำนาจขุนนางเท่าเทียมกันอยู่แล้ว
มีเพียงเรื่องเดียวที่เขาสนใจก็คือเด็กสาวซักผ้าที่จำแลงร่างมาจากบรรพบุรุษเงินฝนธัญพืชผู้นั้น อยากรู้ว่านางมีวิธีหาเงินอย่างไร จะมีวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตที่ต่างไปจากสหายฉางมิ่งที่อยู่ข้างกายตนชั่วคราวหรือไม่
เดินผ่านคุกแห่งหนึ่งที่ขังผู้ฝึกกระบี่เผ่าปีศาจขอบเขตก่อกำเนิด เจ้าคนผู้นั้นที่ถูกซวงเจี้ยงใช้วิชาอภินิหารลอบมองเวทลับปรากฏกายอีกครั้ง ถามว่า “เจ้านี่มันน่ารำคาญอะไรอย่างนี้? ทำไมไม่เลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบนโดยตรงไปเลยเล่า? มาเดินเตร่ไปเตร่มาอยู่หน้าข้าผู้อาวุโส คิดจะโอ้อวดอะไร? แน่จริงก็คลายรั้วออกตอนนี้เลยสิ เชื่อหรือไม่ว่าข้าผู้อาวุโสจะฟันเจ้าให้ตายด้วยกระบี่เดียว?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “มาเดิมพันกันหน่อยดีไหม? ยกตัวอย่างเช่นกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเจ้า? พวกเรามาสาบานกัน? เจ้าได้กำไรอยู่แล้ว ข้าใช้ชีวิตทั้งชีวิตไปเดิมพันกับครึ่งชีวิตของเจ้า หากข้าเป็นเจ้า ขอแค่พอจะมีความกล้าหาญอยู่บ้างย่อมต้องยอมเดิมพันด้วยแน่นอน”
——