ตอนที่ 2962

War sovereign Soaring The Heavens

ตอนที่ 2,962 : ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน

 

ได้ยินคำหยอกล้อของหวงเจียหลง ไป๋กังก็คลี่ยิ้มหน้าระรื่นออกมาทันที

 

เพราะเป็นอย่างที่หวงเจียหงกล่าวไว้ไม่มีผิด การที่มันค้นพบกระบี่อมตะจอมราชันแล้วส่งมอบให้เผ่าแบบนี้ นับเป็นความดีความชอบอันใหญ่หลวง! เผ่าพยัคฆ์เหินย่อมไม่มีทางเอาเปรียบมันแน่นอน!!

 

ต้องทราบด้วยว่าเผ่าพยัคฆ์เหินสาขาคฤหาสน์เฉวียนโยวที่มันจากมานั้น ก็มีอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันในความครอบครองแค่เพียงชิ้นเดียวเท่านั้น!

 

จากเรื่องนี้ก็บอกให้รู้ได้ชัดเจน ว่าอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันมีความหมายกับเผ่าพยัคฆ์เหินสาขาคฤหาสน์เฉวียนโยวมากแค่ไหน

 

ไม่ต้องกล่าวถึงกระบี่อมตะจอมราชัน!

 

ในแดนสวรรค์ใต้นั้นไม่มีปรมาจารย์หลอมอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันดำรงอยู่แม้แต่คนเดียว ทำให้อุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันไม่มีทางถูกสร้างขึ้นในแดนสวรรค์ใต้อย่างแน่นอน หากจะมีก็มีแต่นำเข้ามาจากที่อื่น หรือบังเอิญมีปรมาจารย์หลอมอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันผ่านมา

 

หาไม่แล้วก็คงหาได้จากหินดิบ ผ่านการเล่นพนันหินเท่านั้น

 

จึงกล่าวได้ว่าในแดนสวรรค์ใต้ ปกติแล้วหากผู้ใดได้อุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันมา ก็ไม่มีใครคิดจะขายกันเด็ดขาด ถึงแม้จะมีราคามหาศาลมากแค่ไหน แต่ก็ไม่มีใครคิดสิ้นคิดขายให้ขุมกำลังอื่น

 

กล่าวได้ว่าภายในแดนสวรรค์ใต้แห่งนี้ อุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันนั้น มีแต่อุปสงค์แต่ไร้อุปทาน

 

“เจ้าหนู!”

 

ในขณะที่กำลังเดินฟังทั้งสองหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน ต้วนหลิงเทียนที่เดินอยู่ข้างๆพลันได้ยินเสียงชราหนึ่งโพล่งดังขึ้นในหัว ทำให้เขาสะดุ้งตกใจไม่น้อย “อาวุโสเพลิงเทพโกลาหล?”

 

เขาย่อมจดจำได้ทันทีว่านี่คือเสียงของเพลิงเทพโกลาหล

 

“ผู้อาวุโสมีเรื่องอะไรหรือ?”

 

ต้วนหลิงเทียนเองก็ตระหนักได้ว่าสมควรมีเรื่องเร่งด่วนอะไรแน่ เพราะทุกครั้งที่เพลิงเทพโกลาหลหรือทองเทพสุดลั้บเป็นฝ่ายติดต่อมาหาเขานั้น ล้วนแล้วแต่ต้องมีเรื่องไม่ธรรมดาทั้งสิ้น

 

หากไม่ติดต่อเขา ก็ยังถือว่าไร้เรื่องราวใดๆ

 

เขาเองก็พอตระหนักได้ว่าทั้งคู่ไม่อาจสื่อสารกับเขาได้นาน เพราะเหมือนจะต้องใช้พลังบางอย่างเพื่อสื่อสารกับเขา พอใช้พลังไปแล้วก็จำต้องเข้าสู่ห้วงนิทราเพื่อพักฟื้น

 

“ข้าสัมผัสได้อย่างเลือนราง…กลิ่นอายของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินอยู่ไม่ไกลจากจุดนี้ มิหนำซ้ำมันยังตกอยู่ในสภาวะอ่อนแอเป็นอย่างยิ่ง”

 

“และเท่าที่สัมผัสได้ มันสมควรเป็นปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินขั้นที่ 1”

 

เพลิงเทพโกลาหลกล่าว

 

“เมื่อครู่ข้าเองก็รู้สึกเหมือนสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังคุ้นเคยบางประการ แต่ไม่อาจยืนยันได้ว่าเป็นอะไร…ที่แท้ก็เป้นปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินนั่นเอง”

 

ทันทีที่เพลิงเทพโกลาหลกล่าวจบ เสียงของทองเพสุดลี้ลับก็ดังขึ้นสืบต่อ ยังกำชับอีกด้วยว่า “เจ้าหนู เจ้าต้องขยันให้มาก พยายามหาทองเทพสุดลี้ลับขั้นแรกมาให้ข้าให้จงได้…ถึงตอนนั้นข้าจะพัฒนากลายเป็นทองเทพสุดลั้บขั้นที่ 3 ได้อย่างราบรื่น”

 

“ถึงตอนนั้นความสามารถในการรับรู้ของข้าก็จะได้เทียบเท่ากัเพลิงเทพโกลาหลขั้นที่ 3…”

 

กล่าวถึงท้ายประโยค น้ำเสียงของทองเทพสุดลี้ลับฟังดูไม่มีความสุขอยู่บ้าง คล้ายไม่พอใจที่เพลิงเทพโกลาหลกลายเป็นขั้น 3 ได้สักพักแล้ว แต่มันยังคงรั้งอยู่ในขั้นที่ 2 ไม่ก้าวหน้า…จึงอดบังเกิดความรู้สึกด้อยกว่าไม่ได้!

 

อย่างเช่นตอนนี้

 

เพลิงเทพโกลาหลกลับสัมผัสได้ทันทีว่าเป็นกลิ่นอายของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน ทว่ามันกลับทำได้แค่รู้สึกว่ากลิ่นอายช่างให้ความรู้สึกคุ้นเคยเท่านั้น แต่ไม่อาจระบุได้ว่าเป็นอะไร

 

“ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน!?”

 

ต้วนหลิงเทียนประหลาดใจไม่น้อย “นั่นคืออะไรหรือ?”

 

“มันก็คือ 1 ในเทพแห่งธาตุทั้ง 5 เหมือนพวกเรา”

 

เพลิงเทพโกลาหลกล่าวสืบต่อ “ตัวข้าเพลิงเทพโกลาหล ทองเทพสุดลี้ลับ ปฐพีแรกกำเนิดฟ้าดิน พฤกษาเทพครองสวรรค์ วารีเทพชำระโลกา…หรือก็คือ ไฟ ทอง ดิน ไม้ น้ำ รวมทั้งสิ้น 5 ธาตุ!”

 

ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนคิดจะถามเรื่องราวเพิ่มเติม เพลิงเทพโกลาหลที่คล้ายรู้ว่าต้วนหลิงเทียนคิดจะถามอะไร ก็เป็นฝ่ายกล่าวออกมาเสียก่อน “ข้ารู้ว่าตัวเจ้ามีข้อสงสัยและใคร่รู้เกี่ยวกับ 5 เทพธาตุอย่างยิ่ง หากทว่าตอนนี้เจ้าไม่จำเป็นรู้เรื่องราวอะไรให้มากนัก”

 

“เพราะตอนนี้ต่อให้เจ้าจะรู้มากเกินไป มันก็มิมีอะไรดีกับเจ้าเลย…เจ้าเพียงแค่รู้ไว้ว่า ตราบใดที่พวกเรายังสามารถยกระดับพัฒนาต่อไปได้ สำหรับเจ้าแล้วล้วนแต่เป็นเรื่องดีไม่มีผลเสียอันใด”

 

“กระทั่งหากวันหนึ่งเจ้าสามารถช่วยยกระดับพัฒนาพวกเราไปให้ถึงขั้นสมบูรณ์ได้ล่ะก็…ถึงตอนนั้นให้เจ้ากวาดตามองไปทั่วมหาสหัสโลกธาตุ ทว่าตัวตนที่จะเทียบเทียมเจ้าได้นั้น…ล้วนเป็นไปไม่ได้ที่จักดำรงอยู่!”

 

กล่าวถึงท้ายประโยค น้ำเสียงของเพลิงเทพโกลาหลก็เปี่ยมล้นไปด้วยความมั่นใจถึงขีดสุด!

 

“ขั้นสมบูรณ์…ร่างสุดท้ายงั้นหรือ อาวุโสเพลิงเทพโกลาหลท่านก็คิดไปได้…แต่หากพวกเรามีวันนั้นจริง ในมหาสหัสโลกธาตุแห่งนี้ เกรง่วาคงไม่มีใครสามารถต่อกรรับมือเจ้าหนูผู้นี้ได้อีกต่อไป”

 

แม้ช่วงแรกๆเสียงของทองเทพสุดลี้ลับจะอ่อนจางคล้ายไม่ได้หวังอะไรมากมาย แต่ช่วงท้ายกลับเผยให้เห็นความหวังอันแรงกล้าประการหนึ่ง

 

เห็นได้ชัดว่ากระทั่งตัวมันเองก็อยากยกระดับพัฒนาไปสู่ขั้นสมบูรณ์ กลายเป็นร่างสุดท้ายที่ว่า…

 

แต่เป็นธรรมดาว่ามันรู้ดี…สิ่งนี้ช่างยากเย็นเหลือเกิน

 

“มองไปทั่วมหาสหัสโลกธาตุ ไร้ผู้ใดต่อกรกับข้าได้?”

 

ร่างต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะท้านไปทันใด เมื่อได้ยินวาจาประโยคนี้ของเพลิงเทพโกลาหลและทองเทพสุดลี้ลับ

 

เขาย่อมรู้เป็นธรรมดา ว่ามหาสหัสโลกธาตุที่ทองเทพสุดลี้ลับกับเพลิงเทพโกลาหลพูดถึงหมายความว่าอะไร มันไม่ใช่แค่นับรวมระนาบโลกียับระนาบเทวโลกทั้งมวล แต่ยังรวมถึงระนาบลี้ลับที่แยกตัวออกไปเป็นอิสระจากระนาบเทวโลก…ดินแดนแห่งทวยเทพทั้งหลาย!

 

“ท่านผู้อาวุโส แล้วปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินอยู่ที่ไหนหรือ?”

 

พอฉุกคิดถึง ‘’ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน’ ที่เพลิงเทพโกลาหลเอ่ยขึ้นก่อนหน้า ต้วนหลิงเทียนก็รีบถามออกไปด้วยความสนใจ เพราะอยากรู้ว่าเขาจะสามารถรับปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินนั่นมาด้วยได้อีกไหม

 

ตอนนี้ในร่างเขามีเพลิงเทพโกลาหลกับทองเทพสุดลี้ลับอยู่ในร่างแล้ว และทั้งคู่ก็มีส่วนช่วยเหลือเขาอย่างมาก หากเขาได้ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินมาด้วย แม้ตอนนี้เขาจะยังไม่รู้ว่ามันช่วยอะไรเขาได้ แต่ต้องให้ผลเลิศล้ำบางอย่างแก่เขาแน่นอน

 

“เจ้าย้อนกลับไปยังที่ๆเจ้าพึ่งจากมาก่อนเถอะ”

 

เพลิงเทพโกลาหลกล่าว

 

“ย้อนกลับไป…ในย่านซีฟางงั้นเหรอ?”

 

ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะตกใจอยู่บ้าง จากนั้นก็หยุดร่างลงอย่างกะทันหัน

 

“น้องต้วน?”

 

“เสี่ยวเทียน”

 

ขณะเดียวกันพอพบว่าอยู่ๆต้วนหลิงเทียนก็หยุดลงกลางถนน หวงเจียหลงกับไป๋กังก็อดไม่ได้ที่จะสงสัย ต่างพากันหยุดเท้าลง ค่อยหันไปมองทักต้วนหลิงเทียนความงุนงง

 

“พี่เจียหลง..อาไป๋ ข้าอยากกลับไปเดินเล่นในย่านซีฟางอีกสักพัก”

 

ต้วนหลิงเทียนมองไปยังหวงเจียหลงกับไป๋กังด้วยรอยยิ้มพลางกล่าวอ้างอย่างขอไปที

 

“ย้อนกลับไปเดินเล่นที่ย่านซีฟาง?”

 

ไป๋กังอึ้ง หวงเจียหลงก็ตกใจอยู่บ้าง ทว่าจากนั้นมันก็เริ่มคลี่ยิ้มสนุกสนานเอ่ยยถามว่า “ฮั่นแน่! น้องต้วน…เจ้ากำลังคิดจะกลับไปลองเสี่ยงโชคอีกใช่หรือไม่!?”

 

“ก็ทำนองนั้นล่ะ”

 

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า

 

“เสี่ยวเทียน พวกเรากลับไปก่อนค่อยกลับมาเที่ยวเล่นวันอื่นไม่ดีกว่าหรือ?”

 

ถึงแม้จะมีเผ่าพยัคฆ์เหินอยู่เบื้องหลัง แต่ด้วยความที่ในมือยังถือเผือกร้อนอย่างกระบี่อมตะจอมราชันเอาไว้ ไป๋กังก็ไม่อาจสบายใจอยู่ได้ มันคิดนำกระบี่อมตะจอมราชันไปซ่อนไว้ยังที่ปลอดภัย และรอคอยให้คนของเผ่าพยัคฆ์เหินมาถึงก่อนค่อยว่ากัน

 

มีแต่มันนำกระบี่อมตะจอมราชันไปซ่อนแล้วเท่านั้น ถึงจะมั่นใจได้ว่าชีวิตมันมีหลักประกัน เพราะคงไม่มีใครสิ้นหวังถึงขั้นเข่นฆ่ามันที่เป็นคนของเผ่าพยัคฆ์เหิน เพียงเพื่อเสียงจะคุ้ยศพมันที่อาจไม่มีกระบี่อมตะจอมราชันแน่นอน…

 

แต่หากกระบี่อมตะจอมราชันยังอยู่ในมือมันแบบนี้ ไม่ว่าผู้ใดเข่นฆ่ามันทิ้งไป ก็ย่อมได้รับกระบี่อมตะจอมราชันไปครองทั้งสิ้น! และย่อมไม่ขาดยอดฝีมือขอบเขตราชาอมตะที่คิดจะเสี่ยงดูสักคราเป็นแน่!!

 

เพราะท้ายที่สุดแล้วนี่ก็คืออุปกรณ์อมตะระดับจอมราชัน!

 

ในฐาะนะที่มันเป็นพยัคฆ์เหินลายทองแดง ซึ่งเป็นคนของเผ่าพยัคฆ์เหิน หากไม่ใช่เรื่องสำคัญ…คงไม่มีใครเสี่ยงจะลงมือกับมันให้เป็นการล่วงเกินเผ่าพยัคฆ์เหินอย่างไร้จำเป็น

 

ทว่าหากกระทำเพื่ออุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันแล้ว ชีวิตของพยัคฆ์เหินลายทองแดงเช่นมันยังจะสลักสำคัญอะไร? เหล่ายอดฝีมือขอบเขตราชาอมตะย่อมมีเหตุผลมากพอให้ลองเสี่ยงดูสักครา!!

 

“อาไป๋ หรือไม่ท่านกับพี่เจียหลงกลับไปก่อนก็ได้…เดี๋ยวข้าค่อยตามกลับไปทีหลัง และพวกท่านก็ไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่องความปลอดภัยอะไรข้าหรอก”

 

ต้วนหลิงเทียนกล่าว “และถึงจะมีเรื่องอะไรจริงๆ ข้าก็สามารถส่งข้อความให้พี่เจียหลงได้ทุกเมื่อ”

 

“นี่…”

 

ในขณะที่ไป๋กังยังคงลังเลด้วยไม่รู้จะทำอย่างไรดี ก็คล้ายมีสายยมหอบหนึ่งกรรโชกผ่านไปเบื้องหน้าพวกมันทั้ง 3 พอรู้ตัวอีกทีเบื้องหน้าก็มีร่างชายชราในชุดดำสนิทปรากฏขึ้นแล้ว

 

“ผู้เฒ่าโม่!”

 

เห็นผู้ที่พึ่งลุมาถึง ลูกตาหวงเจียหลงก็ส่องแสงสว่าจ้าทันที

 

เพราะคนที่พึ่งมาถึงก็คือผู้เฒ่าโม่นั่นเอง!

 

“ผู้เฒ่าโม่ท่านมาได้จังหวะเหมาะยิ่งนัก…เจ้าหนูทั้ง 2 ข้าต้องฝากท่านดูแลแล้ว”

 

เมื่อเห็นผู้เฒ่าโม่มาถึง ไป๋กังก็เร่งฝากฝังเรื่องราวกับผู้เฒ่าโม่ แล้วเร่งรุดกลับไปยังพระราชวังหลวงทันที หมายนำกระบี่อมตะจอมราชันไปซ่อนก่อนที่องค์ชาย 9 แห่งประเทศตันจี้จะแพร่กระจายเรื่องราวออกไป

 

ถึงแม้ตอนนี้ไป๋กังจะเชื่อว่าฮ่องเต้ตันจี้สมควรได้รับทราบเรื่องราวทั้งหมดจากองค์ชาย 9 แล้ว แต่มันก็ยังเชื่ออีกว่าอาศัยแค่ฮ่องเต้ตันจี้ คงไม่กล้าผลีผลามลงมือทำอะไรเป็นแน่

 

ฮ่องเต้ตันจี้นั้น…พลังฝีมือก็ไม่ได้แตกต่างอะไรจากฮ่องเต้ฝูชิวมากนัก และที่รั้งอยู่เป็นเจ้าแผ่นดินก็เพราะยากจะก้าวหน้าอันใดได้อีก

 

ตัวตนเช่นนี้ถึงจะได้รับกระบี่อมตะจอมราชันไปครอง แต่พลังฝีมือก็ใช่จะเพิ่มพูนก้าวกระโดดอะไรมากมาย สุดท้ายย่อมไม่มีกำลังมากพอจะรักษากระบี่อมตะจอมราชันเอาไว้กับตัวได้นาน

 

นอกจากนี้หากอีกฝ่ายคุ้มคลั่งคิดเสี่ยงปล้นชิง ก็เสมือนละทิ้งประเทศตันจี้อย่างสิ้นเชิง

 

เพราะสุดท้ายแล้วอีกฝ่ายก็ไม่ใช่ผู้ฝึกตนอิสระ

 

จากที่กล่าวมาทั้งหมด นับว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่ฮ่องเต้ตันจี้จะคิดสั้น ถึงขั้นมาปล้นชิงกระบี่อมตะจอมราชันไปจากมือไป๋กัง

 

อย่างไรก็ตามฮ่องเต้ตันจี้ไม่กล้าลงมือเพื่อแบกรับความเสี่ยงใหญ่หลวง แต่ไม่ใช่ว่าผู้ฝึกตนอิสระขอบเขตราชาอมตะของประเทศตันจี้จะไม่กล้าเสี่ยง!

 

ผู้ฝึกตนอิสระเหล่านี้มีหลายคนที่ตัวคนเดียว ไร้ชนักปักหลังหรือสิ่งใดให้กังวล

 

ถึงแม้พวกมันบางคนอาจจะมีห่วงเรื่องศิษย์หรือมิตรสหายอยู่บ้าง แต่อย่างดีก็แค่พาทุกคนอพยพหลบหนีออกจากประเทศตันจี้ ไปจากเขตคฤหาสน์เฉวียนโยว หรือแม้แต่ไปให้พ้นจากแดนสวรรค์ใต้!

 

ดังนั้นไป๋กังจึงรู้ดีแก่ใจ ว่าตอนนี้มีเพียงแต่มันต้องนำกระบี่อมตะจอมราชันไปซ่อนไว้ในที่ๆไม่มีใครหาได้พบเท่านั้น ถึงจะสะกดความมุ่งร้ายและจิตละโมบของทุกคนลงได้

 

ไป๋กังฝากฝังเรื่องราวจบก็เร่งรุดจากไปอย่างไม่รอช้า ทำให้ผู้เฒ่าโม่อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วอยู่บ้าง แต่ไม่นานก็คลายออก

 

“ผู้เฒ่าโม่”

 

ต้วนหลิงเทียนเองก็ประสานมือทักทายผู้เฒ่าโม่เช่นกัน

 

“ผู้เฒ่าโม่ ท่านไฉนมาได้จังหวะนักเล่า?”

 

หวงเจียหลงเอ่ยถาม

 

“พ่อเจ้ากังวลว่าไป๋กังกับพวกเจ้าจะเจอมือดีดักปล้นระหว่างทาง จึงคิดให้ข้ามาช่วยเหลือพวกกเจ้าอีกแรง…แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นพ่อเจ้าคิดมากเกินไป”

 

ผู้เฒ่าโม่กล่าว “อย่างไรเสียเรื่องราวก็พึ่งจะเกิดขึ้นได้ไม่ทันไร แม้จะเริ่มแพร่กระจายออกไปแล้ว แต่ยังไม่ได้รู้กันในวงกว้างแน่นอน ตอนนี้สมควรมีคนแค่หยิบมือที่รู้ว่าไป๋กังมีกระบี่อมตะจอมราชันไว้ในครอบครอง”

 

เมื่อผู้เฒ่าโม่มาถึง มันก็ติดตามต้วนหลิงเทียนกับหวงเจียหลงย้อนกลับไปยังย่านซีฟาง

 

และต้วนหลิงเทียนก็เดินไปตามทิศทางที่เพลิงเทพโกลาหลกล่าวบอก จากนั้นไม่นานก็เดินมาถึงร้านค้าหินดิบเล็กๆแห่งหนึ่งในย่านซีฟาง กล่าวไปก็ไม่ได้อยู่ห่างจากร้านค้าหินดิบขององค์ชาย 9 มากมายอะไร

 

“ยินดีต้อนรับท่านลูกค้า ร้านหินดิบเราแม้จะเป็นร้านเล็กๆ แต่ผู้ที่ได้รับโชคกลับไปนับว่าไม่ใช่น้อยๆ พวกท่านลองชมดูก่อนเถิดขอรับ ถูกใจหินดิบก้อนใดเพียงบอกข้าน้อยมา…หากท่านซื้อจำนวนมาก ข้าน้อยยังสามารถลดราคาให้ได้บางส่วนขอรับ”

 

ในร้านค้าหินดิบเล็กๆแบบนี้ ย่อมไม่มีพนักงานที่คอยออกมาดูแลแนะนำ มีก็แต่เจ้าของร้านที่เร่งก้าวอาดๆมาต้อนรับทั้ง 3 ด้วยใบหน้าแย้มยิ้มเท่านั้น

 

ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะไม่ค่อยสันทัดเรื่องราคามากมายอะไร แต่เมื่อมีหงเจียหลงอยู่เขาก็ไม่ต้องกลัวว่าจะโดนเจ้าของร้านเล็กๆแห่งนี้โก่งราคา

 

‘หรือว่าปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน จะอยู่ในหินดิบ?’

 

ขณะที่ต้วนหลิงเทียนนึกคิดไปในใจ เขาก็เดินตามคำชี้นำของเพลิงเทพโกลาหล จนในที่สุดก็พบหินดิบก้อนหนึ่งที่สมควรห่อหุ้มปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินเอาไว้

 

‘นั่นไง อยู่ในหินดิบจริงๆด้วย’

 

หินดิบที่ห่อหุ้มปกคลุมปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินเอาไว้ ก็มีรูปลักษณ์คล้ายสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ไม่ค่อยจะสมมาตรและใหญ่โตสักเท่าไหร่…

 

“ข้าเอาหินดิบก้อนนี้”

 

ต้วนหลิงเทียนหยิบหินดิบก้อนดังกล่าวขึ้นมาทันที และเพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัย เขาก็สุ่มเลือกหินดิบที่มีขนาดใหญ่กกว่าก้อนที่เขาต้องการเล็กน้อยอีก 2-3 ก้อน “แล้วก็ก้อนนี้ ก้อนนั้น นู่นด้วย…”

 

“หินดิบเหล่านี้ไม่ได้มีรูปทรงเป็นอาวุธอมตะใดๆ ถึงแม้ด้านในอาจจะมีวัตถุดิบหรืออุปกรณ์อมตะ แต่ก็สมควรเป็นอุปกรณ์อมตะขนาดเล็ก…ยิ่งไปกว่านั้นระดับก็อาจจะไม่ได้สูงมากมาย ราคาจึงค่อนข้างต่ำกว่าหินดิบรูปทรงอาวุธอยู่มาก”

 

หลังจากต้วนหลิงเทียนเลือกหินดิบที่ต้องการกับสุ่มเลือกมามั่วๆอีก 2-3 ชิ้น หวงเจียหลงก็กล่าวออกมาราวกับจะอธิบายเกล็ดความรู้ให้ต้วนหลิงเทียนฟัง

 

“สำหรับเรื่องราคา หินดิบเหล่านี้ปกติแล้วก็มีราคาอยู่ที่ราวๆ 300 ผลึกหินอมตะระดับสูงต่อชิ้น”

 

หวงเจียหลงกล่าวสืบต่อ