บทที่ 2227 ชนะ ชนะ ชนะ

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เมื่อเห็นเหมียวอี้ออกจากทัพใหญ่ ประมุขชิงก็ตะโกนอย่างโมโหว่า “หนิวจัญไรอย่าหนีนะ!”

เขานึกว่าเหมียวอี้ไม่กล้าสู้กับเขาซึ่งๆ หน้า เสียงตะโกนนี้มีพลังมาก ทำให้คนไม่น้อยมองมา

หนีเหรอ? เหมียวอี้ที่ออกจากทัพใหญ่ได้ไม่ไกลนักพลันหยุด หันตัวกลับมาช้าๆ ยอดฝีมือที่ติดตามคุ้มกันทยอยกันมาถึงข้างหลังเขาแล้ว

ภายใต้การบัญชาการของชิงเยว่ กำลังพลซ้ายขวาฝั่งละห้าสิบล้าน รวมเป็นทัพใหญ่หนึ่งร้อยล้านย้อนออกมา อ้อมหลังพวกเหมียวอี้ไปตั้งกระบวนทัพ ตั้งกระบวนทัพเป็นรูปใบพัดอย่างกระชับแน่นและลำดับความสำคัญได้ชัดเจน

เหมียวอี้ที่สวมเกราะรบหยุดยืนอยู่กลางอากาศ เขามีสีหน้าเรียบเฉย โบกกระบี่เก้าเตาออกมา ชี้ไปยังชิงและพุทธะที่บุกสังหารเข้ามาในขบวนรบตลอดทาง เขาหมุนคมกระบี่ แล้วก็เก็บกระบี่วิเศษเอาไว้อีก ก่อนจะเอาสองมือไขว้หลังเงียบๆ

กำลังรอ เขาก็แค่ยืนรออยู่ตรงนี้ ยืนรอมือเปล่า รอให้ชิงและพุทธะสังหารเข้ามา ในสีหน้าท่าทางสุขุมเยือกเย็นเผยความอวดดีเล็กน้อย

เมื่อเห็นสถานการณ์ดังนี้ ชิงและพุทธะที่โจมตีสังหารมาถึงริมขอบขบวนรบเหมือนจะตระหนักอะไรได้ รีบหยุดกระทันหัน แกว่งไกวดาบและกระบี่ต้านกำลังพลที่ล้อมโจมตีรอบๆ ซัดกำลังพลที่ดันทุรังโจมตีไม่หยุดจนคว่ำไปตามๆ กัน ไม่กล้าออกจากขบวนรบ

ทว่ากำลังพลที่ล้อมโจมตีมีมากเกินไป โถมเข้ามาใส่ทั้งสองราวกับกระแสน้ำ ทั้งยังมีเชือกมัดเซียนยั้วเยี้ยโยนเข้ามา

ทั้งสองเหนื่อยล้าที่จะรับมือ ดาบและกระบี่กวัดแกว่งเหมือนเงาผี ฟันเชือกมัดเซียนที่โยนเข้ามาเป็นกองจนระเบิดขาด ฝุ่นโลหะตลบอบอวล

เหมียวอี้ยื่นมือปัดเบาๆ ชิงและพุทธะลดความกดดันลงทันที

พอทั้งสองร่ายอิทธิฤทธิ์ปัดเป่าฝุ่นโลหะที่ตลบอบอวล ก็พบว่ากำลังพลที่โจมตีอยู่รอบๆ กำลังจ้องมองอย่างดุร้าย ถอยออกไปแล้ว หลีกทางเป็นช่องโหว่ให้ต่อสู้

ไม่มีใครขัดขวางพวกเขา ปล่อยให้เขาไปทำศึกตัดสินกับเหมียวอี้ ส่วนเหมียวอี้ก็กำลังรอให้พวกเขามาทำศึกตัดสินกับเขาเช่นกัน

ชิงและพุทธะที่หันมองไปรอบๆ กลับไม่กล้าก้าวข้ามไป เมื่อครู่นี้ยังสังหารอย่างโหดเหี้ยมอยู่เลย ตอนนี้ได้แต่ยืนโดดเดี่ยวอยู่อย่างนั้น

ทั้งสองเข้าใจแล้ว หนิวโหย่วเต๋อให้ทางเลือกพวกเขาห้าทาง

ทางที่หนึ่ง : ละทิ้งฝั่งนี้ ต่อไปค่อยสังหารเข้ามาในทัพฝ่ายศัตรู สังหารไปทางชิงเยว่ที่อยู่ในทัพกลางของฝ่ายศัตรู กำจัดผู้บัญชาการฝ่ายศัตรูทิ้งได้ผลกว่าทุ่มเทสังหารทหารพวกนี้ อย่างน้อยก็สร้างความชุลมุนได้บ้าง เพียงแต่ต่อให้ฆ่าชิงเยว่ทิ้งแล้วยังไงล่ะ? นักรบที่หนิวโหย่วเต๋อพามาด้วยมีมากมายดุจเมฆ ลองสุ่มเลือกมาสักคนก็สามารถบัญชาการทัพได้ สองทัพเข่นฆ่ากันถึงขั้นนี้แล้ว ขอเพียงผู้บัญชาการที่มาแทนไม่ใช่คนโง่ สถานการณ์รบโดยรวมก็ไม่เกิดเหตุไม่คาดฝันอะไร ที่จริงถ้าอยากจะฆ่าชิงเยว่ก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น เพราะสองเทพสตรีผู้พิทักษ์ของเผ่าหงส์คุ้มกันอยู่ข้างกายชิงเยว่

ทางเลือกที่สอง : ทั้งสองไปที่เรือมังกรอเวจี ทำศึกตัดสินกับตัวการใหญ่บนเรือมังกรอเวจี เห็นได้ชัดว่าหนิวโหย่วเต๋อจงใจปล่อยให้พวกเขาทำอย่างนี้ ทว่าทั้งสองก็รู้ว่าถ้าใช้กำลังปะทะกันตรงๆ ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของประมุขไป๋ ไม่อย่างนั้นปีนั้นคงไม่สิ้นเปลืองความคิดวางกับดักหรอก คงจัดการโดยตรงไปแล้ว

ทางเลือกที่สาม : สังหารกลับไป กลับไปที่ค่ายทัพของตัวเอง ร่วมเป็นร่วมตายกับกำลังพลของตัวเอง แต่แบบนั้นจะเปลี่ยนแปลงจุดจบอะไรไม่ได้ มาอย่างห้าวหาญ แต่หดหัวกลับไปอย่างเศร้าหมอง จะทนความรู้สึกได้อย่างไร?

ทางเลือกที่สี่ : ทั้งสองทิ้งกำลังพลของตัวเองและหลบหนีไปต่อหน้าฝูงชน ราชันสวรรค์กับประมุขพุทธะผู้สง่าผ่าเผยทิ้งพี่น้องของตัวเองหนีไป ตั้งแต่นี้ไปก็จะกลายเป็นที่หัวเราะเยาะของคนทั้งใต้หล้า และทำให้คนที่เคยทุ่มเทชีวิตรับใช้พวกเขารู้สึกละอาย มีตาแต่ไร้แวว ตั้งแต่นี้ไปต้องปิดบังชื่อแซ่ ไม่กล้าออกมาเจอคนอีกเลยทั้งชีวิต

ทางเลือกที่ห้า : สังหารเข้าไป ทำศึกตัดสินกับหนิวโหย่วเต๋อ!

เกาก้วนที่อยู่บนตึกเรือเห็นฉากนี้กับตาตัวเอง บนใบหน้าเผยความรู้สึกปลงอย่างที่เห็นไม่ได้บ่อยๆ : “สิ้นอนาคตแล้ว!”

เขาอยู่ข้างกายประมุขชิงมาหลายปี คนบนเรือมังกรอเวจีไม่มีใครสะเทือนใจกับภาพเหตุการณ์ตรงนี้ยิ่งกว่าเขาแล้ว

ประมุขไป๋เงียบงัน จ้องฉากตรงหน้าอย่างเงียบๆ

เฉิงไท่เจ๋อที่ฟังคำสั่งอยู่ในทัพกลางเห็นฉากนี้แล้วกล่าวอย่างปลงอนิจจังว่า “ฝ่าบาทมีความเด็ดเดี่ยวที่จะปกครองใต้หล้าจริงๆ เปลี่ยนแปลงสถานการณ์ในใต้หล้าไม่ได้อีกแล้ว!”

เถิงเฟย ลั่วหม่าง หวงฮ่าวและกูอวี้เฉิงพยักหน้า มองชิงและพุทธะที่ลอยโดดเดี่ยวอยู่ท่ามกลางทัพใหญ่ที่ดุร้ายแล้วก็รู้สึกสะท้อนใจเช่นกัน

หยางชิ่งรู้ว่าเฉิงไท่เจ๋อแค่พูดให้น่าฟังก็เท่านั้นเอง ความเด็ดเดี่ยวที่จะปกครองใต้หล้า เห็นได้ชัดว่าเหมียวอี้ต้องการจะสร้างความอัปยศให้ชิงและพุทธะต่อหน้าคนในใต้หล้า ไม่อยากให้สุดท้ายแล้วทั้งสองทิ้งภัยแฝงเร้นเอาไว้ อยากจะใช้วิธีการนี้บีบให้ทั้งสองตาย

เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว หยางชิ่งเองก็ต้องยอมรับ ว่าเหมียวอี้ควบคุมสถานการณ์บนสนามรบได้เหนือชั้น เมื่อมีทัพใหญ่อยู่ในมือ กองบัญชาการได้อย่างอิสระ เป็นวิธีการที่เอาแน่เอานอนไม่ได้อย่างแท้จริง เมื่อมาถึงสนามรบก็ทำได้อย่างสบายมือ บีบให้ชิงและพุทธะอยู่ในสภาพจนตรอกได้โดยตรง แสดงว่าเหมียวอี้ขึ้นมาอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับชิงและพุทธะแล้ว

หยางชิ่งเองก็จำเป็นต้องทบทวนตัวเอง ก่อนหน้านี้ถ้าเปลี่ยนเป็นตัวเอง ก็คงไม่มีทางส่งกำลังพลหนึ่งพันล้านไปดักทัพใหญ่พันล้านของชิงและพุทธะแน่นอน ถ้าดำเนินการตามความคิดของเขา สถานการณ์ก็จะเป็นอีกอย่างหนึ่งแน่นอน สถานการณ์บางอย่างเดิมทีก็เหมือนดึงขนเส้นเดียวสะเทือนทั้งตัวอยู่แล้ว ถ้ามีอะไรเปลี่ยนแปลงนิดเดียว ก็ยังไม่รู้เลยว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร

ชิงและพุทธะที่อยู่ด้านนอก ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าอะไรที่เรียกว่าเปลี่ยนแปลงสถานการณ์อะไรไม่ได้อีก พอได้สติจากความเลอะเลือน ในใจก็เกิดความเศร้าวังเวง สายตานับไม่ถ้วนที่กำลังมองมาราวกับกำลังหัวเราะเยาะพวกเขา

หัวเราะเยาะอะไรน่ะเหรอ? ก็หัวเราะเยาะที่พวกเขากำลังเสแสร้งแกล้งทำ ต้องการเอาชีวิตหนิวโหย่วเต๋อไม่ใช่เหรอ? ไปสิ ทำไมไม่กล้าซะแล้วล่ะ?

โดดเดี่ยวอยู่ตรงนี้ จะบุกก็ไม่บุก จะถอยก็ไม่ถอย ราชันสวรรค์กับประมุขพุทธะผู้สง่าภูมิฐาน ไม่น่าเชื่อว่าจะถูกขู่ให้ตกใจแล้ว ความองอาจห้าวหาญก่อนหน้านี้กลายเป็นเพียงการวางมาดแล้ว ยังไม่ต้องพูดถึงว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร อันดับแรกเลยคือพวกเขาเองก็ยังรู้สึกว่าอัปยศมาก

ทัพใหญ่ของชิงและพุทธะก็อยากจะเข้ามาช่วย แต่ช่วยไม่ได้ที่ถูกล้อมไว้ ต่อให้ยอดฝีมือบางส่วนจะสังหารฝ่ามาช่วยได้ แต่คนน้อยก็เปล่าประโยชน์อยู่ดี

“หนิวโหย่วเต๋อ กล้าสู้ตายกับข้าสักตั้งหรือเปล่า!” ประมุขชิงพลันโบกกระบี่ชี้ไปที่เหมียวอี้

“เจ้าหนูขี้ขลาด เจ้าคู่ควรด้วยหรอ?” เหมียวอี้ตอบเสียงเรียบ

ประมุขชิงโมโหจนแทบกระอักเลือด ตะคอกกลับว่า “พูดจาอวดดีนะ กล้าตัวต่อตัวกับข้าหรือเปล่า?”

“ไม่ต้องมัวเสแสร้งแกล้งทำแล้ว ตรงหน้ามีสองทางเลือกให้พวกเจ้า ทิ้งกำลังพลแล้วหนีไป อาจจะยังพอถูไถใช้ชีวิตไปได้ วิงวอนยอมจำนนต่อเจิ้น เจิ้นจะไว้ชีวิตพวกเจ้า ทรัพย์สินเกียรติยศก็ไม่ตระหนี่ที่จะประทานให้พวกเจ้า” เหมียวอี้กล่าว

คำพูดนี้ทำให้คนไม่น้อยปวดประสาท ยิ่งไม่ต้องพูดถึงชิงและพุทธะเลย โมโหจนวิญญาณแทบจะหลุดออกจากร่างแล้ว

ทั้งสองสบตากัน ในดวงตาเริ่มฉายแววทั้งเศร้ทั้งฮึกเหิม มองไปที่เหมียวอี้พร้อมกัน

ไม่มีคำพูดปลุกใจอะไรทั้งนั้น ไม่มีเสียงคำรามอันเดือดดาลอะไรด้วย ทั้งสองถือดาบและกระบี่พุ่งเข้าไปหาเหมียวอี้ทันที

และข้างหลังเหมียวอี้

ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์สิยล้านคันง้างสาย

ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หนึ่งล้านคันง้างสาย

ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์สบล้านคันง้างสาย

ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หนึ่งร้อยล้านคันง้างสาย

ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์นับไม่ถ้วนมีลำแสงหมุนวน ลูกธนูแหลมคมนับไม่ถ้วนเล็งไปยังสองคนที่พุ่งเข้ามา เสียงระเบิดดังสะเทือนเลือนลั่น กลายเป็นลำแสงนับไม่ถ้วนยิงรวมไปที่ทิศทางเดียว

รอบกายประมุขพุทธะปรากฏเงารอยแยกมิติ รอบกายประมุขชิงมีไอสีเขียวลอยวนด้วยความเร็วสูง ร่างกายถลันหลบ ต้องการจะหลบฝูงธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ที่หนาแน่น ขณะเดียวกันก็โยนของวิเศษออกมาต้านเป็นกอง

ทว่าลำแสงที่ยิงเข้ามามีมากเกินไป

“ฆ่า!” สุดท้ายทั้งสองก็คำรามเสียงเดือดดาลปนคับแค้น

เสียงฆ่านี้ถูกกลบอย่างรวดเร็ว เงาร่างของทั้งสองถูกลำแสงนับไม่ถ้วนที่พุ่งเข้ามากลบมิด

ท่ามกลางเสียงระเบิดตูมตาม ลูกธนูดาวตกนับไม่ถ้วนลอยกลับมา

เงาของชิงและพุทธะที่อยู่ในมิติสั่นไหว เกราะรบบนตัวระเบิดกลายเป็นผุยผง ของวิเศษกองใหญ่ที่ถูกโยนออกมาแหลกกลายเป็นผงทั้งหมด

ดาบและกระบี่ที่ปกป้องส่วนศีรษะของทั้งสองห้อยลงอย่างไรเรี่ยวแรง

ลูกธนูลายดอกที่เสียบอยู่บนตัวประมุขพุทธะถูกเขาร่ายอิทธิฤทธิ์ตรึงเอาไว้,ไว้ ไม่อย่างนั้นก็จะบาดเจ็บเป็นครั้งที่สอง เขายังนับว่าดีหน่อย บนตัวประมุขชิงมีลูกธนูเสียบอยู่สิบกว่าดอก รัดเกล้าบนศีรษะก็ไม่รู้ว่าหายไปไหนแล้ว ผมที่ยุ่งเหยิงสั้นยาวไม่เท่ากัน

ทั้งสองเสื้อผ้าขาดหลุดลุ่ย เลือดออกปากออกจมูก สะบักสะบอมเกินทน

ทั้งสองอาศัยเคล็ดวิชาและและวรยุทธ์ที่แข็งแกร่ง แต่สุดท้ายก็หลบไม่พ้นการโจมตีหมู่จากธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์จำนวนมหาศาล

การโจมตีจากธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์มหาศาลขนาดนี้ อานุภาพการโจมตีที่กรอกเข้ามาต่อเนื่องเหมือนลูกคลื่นเหนือกว่าขีดจำกัดการต้านทานของทั้งสอง ระเบิดทำลายการต้านทานของทั้งสองแล้ว

อย่าว่าแต่พวกเขาเลย ถ้าใช้ขบวนโจมตีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์อีกครั้ง เกรงว่าแม้แต่พระปีศาจหนานโปก็ยังต้องชั่งน้ำหนักและหลบไป ไม่กล้าดันทุรังต้านทานเลย นี่ก็เป็นสาเหตุว่าทำไมก่อนหน้านี้พระปีศาจหนานโปให้ฝั่งนี้ยอมสวามิภักดิ์ ไม่ว่าจะเป็นฝั่งชิงพุทธะหรือเหมียวอี้ก็ไม่มีเหตุผลให้สนใจ ถ้าสู้กันขึ้นมาจริงๆ เกรงว่าสองฝ่ายนี้จะร่วมมือกันรับมือกับพระปีศาจหนานโปก่อน บางทีพระปีศาจหนานโปอาจจะมีวิธีการอื่นแก้ไขสถานการณ์ แต่ถ้าไม่ถึงคราวจนตรอก ไม่ว่าฝั่งไหนก็ไม่ยอมสวามิภักดิ์ต่อพระปีศาจหนานโปง่ายๆ

ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ เมื่อเห็นทั้งสองยังดันทุรังประคับประคองไว้ได้ ไม่ว่าจะเป็นเหมียวอี้หรือคนอื่น ต่างก็แอบตกใจไม่หยุด ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นที่โดนโจมตีแบบนี้ เกรงว่าคงตายจนไม่เห็นแม้แต่เถ้ากระดูกด้วยซ้ำ ไม่น่าเชื่อว่าสองคนนี้จะยังมีชีวิตอยู่

แต่ก็สามารถมองออกได้อย่างชัดเจน ว่าทั้งสองสูญเสียความสามารถที่จะสู้ต่อแล้ว กำลังอันเข้มแข็งเสื่อมทรุดจนเป็นม้าตีนปลาย ได้แต่ดันทุรังทนไว้ สายตานั้นค่อนข้างพร่าเลือน ราวกับถูกทำให้สะเทือนจนเลอะเลือนไป เลือดซึมออกจากปากและจมูกไม่หยุด

อาศัยวรยุทธ์ของสองคนนี้ หากคิดจะหนี การโจมตีจากธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ส่วนใหญ่ก็อาจจะตามพวกเขาไม่ทัน

แต่พวกเขาไม่ได้หนี ท่ามกลางสถานการณ์ที่สิ้นหวังและเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ พวกเขาเลือกที่จะปะทะซึ่งๆ หน้าเพื่อช่วงชิงโอกาสรอดชีวิตเส้นสุดท้าย

ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หนึ่งร้อยล้านง้างอีกครั้ง ต้องการจะโจมตีชุดที่สอง

เหมียวอี้ยกมือห้าม ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ที่มีลำแสงลอยวนเวียนอยู่ข้างหลังทยอยวางลง

เหมียวอี้เอียงหน้าเบาๆ สบตากับประมุขไป๋ที่อยู่บนเรือมังกรอเวจีแล้ว

เมื่อหันกลับมาอีกครั้ง ก็ยื่นมือรับธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์คันหนึ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย ง้างลูกธนูไว้บนสาย ไม่ได้ใช้อานุภาพของธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ ใช้เพียงวิธีการธรรมดายิงออกไป

ลูกธนูดอกหนึ่งแวบผ่าน ทะลุศีรษะของประมุขชิงแล้ว

จากนั้นก็ง้างลูกธนูอีกดอก ยิงออกไป ทะลุศีรษะประมุขพุทธะอีก

ทั้งสองไร้กำลังที่จะต้านทานแล้ว ร่างกายที่มีเลือดสาดออกมากำลังพลิกหมุนอยู่กลางอากาศ ทั้งสองล้วนเบิกตาโพลง ตายตาไม่หลับ

เกาก้วนเอียงหน้ามองไปทางประมุขไป๋ ส่วนประมุขไป๋ก็มองฉากนี้อย่างสงบนิ่ง ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ

“ชนะแล้ว! ชนะแล้ว! ชนะแล้ว…”

ทัพใหญ่ที่อยู่ข้างหลังเหมียวอี้โบกอาวุธ เปล่งเสียงตื่นเต้นดีใจราวกับภูเขาร้องทะเลคำราม ชั่วพริบตาเดียวก็บ้าคลั่งเหมือนกระแสคลื่น

ถึงแม้ศึกใหญ่ยังไม่จบ แต่สำหรับทัพใหญ่ของเหมียวอี้ ก็นับว่าชนะแล้ว

พอทัพใหญ่ของชิงและพุทธะที่ถูกล้อมเห็นฉากนี้ ก็มีคนไม่น้อยเผยสีหน้าเศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง รู้อย่างลึกซึ้งว่าเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ไม่ได้แล้ว ขวัญกำลังใจทหารแทบจะพังทลายในชั่วพริบตาเดียว ไม่รู้แล้วว่าจะสู้ไปเพื่ออะไร

เมื่อเห็นสถานการณ์ดังนั้น ชิงเยว่ก็ส่งข่าวมาถาม ว่าต้องการให้ยอมสวามิภักดิ์หรือไม่?

เหมียวอี้ชำเลืองฝั่งประมุขไป๋อีกครั้ง แล้วตอบเสียงเรียบว่า : ฆ่า! อย่าให้เหลือแม้แต่คนเดียว!

“อะไรนะ? ฆ่าหมดเลยเหรอ?” พวกเฉิงไท่เจ่อได้ยินแล้วตกใจมาก ศัตรูขาดปณิธานที่จะต่อต้านแล้ว ถ้าสุ่มรับไว้แบบไม่คิดมากก็ได้กำลังพลหลายร้อยล้านเลย!

“เป็นประสงค์ของฝ่าบาท…อย่าให้เหลือแม้แต่คนเดียว!” ชิงเยว่ขมวดคิ้วพลางพยักหน้า