ปีศาจใหญ่บนบัลลังก์เย่าเจี่ยที่ในการศึกก่อนหน้านี้ไม่เคยลงมือเลยสักครั้ง เวลานี้มันแหงนหน้ามองนักพรตผู้เฒ่าที่มาจากใต้หล้ามืดสลัวคนนั้น ว่ากันว่าอีกฝ่ายยังเป็นเจ้านครหนึ่งในสิบสองนครห้าหอเรือนของป๋ายอวี้จิงด้วยหรือ?
บนหอสูงราบเรียบแวววาวราวกับกระจกซึ่งตั้งอยู่บนขุนเขาห้อยกลับหัวใต้ฝ่าเท้าของปีศาจใหญ่เย่าเจี่ยส่องประกายแสงมลังเมลือง ระยิบระยับพร่าตา
ภูเขาห้อยกลับหัวที่ตัวภูเขาปริแตกสภาพไม่เหลือชิ้นดีลูกนี้มีขนาดไม่เป็นรองตราประทับตัวอักษรภูเขาที่เต๋าเหล่าเอ้อร์ทิ้งไว้ในใต้หล้าไพศาลลูกนั้นเลย ถูกขนานนามให้เป็นบัลลังก์แก่นทองแห่งใต้หล้าเปลี่ยวร้าง
หล่อหลอมขึ้นมาจากเศษซากชิ้นส่วนของสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำนับไม่ถ้วนในประวัติศาสตร์ของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง นี่จึงเป็นเหตุให้จำเป็นต้องใช้กระดูกของปีศาจใหญ่มาสร้างเป็นโซ่เส้นหนึ่งเพื่อเชื่อมเศษหินสีทองขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากันพวกนั้นเข้าไว้ด้วยกัน ผิวราบเรียบของหอสูงนั้นมองดูเหมือนเหรียญทองแดงแก่นทองที่ใหญ่ที่สุดในโลกเหรียญหนึ่ง
เย่าเจี่ยปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ที่สวมชุดคลุมยาวสีทองมายืนอยู่ที่นี่ แล้วก็ไม่ได้จงใจร่ายเวทอำพรางตาใดๆ กระนั้นก็ยังถูกแสงเจิดจ้าปกคลุมไว้ภายในจนมองไม่เห็นโฉมหน้าที่แท้จริง
ปีศาจใหญ่เย่าเจี่ยยืนอยู่ตรงใจกลางพื้นผิวกระจก บังคับให้ภูเขาใต้ฝ่าเท้าพุ่งวูบหายไปยังกลางอากาศเหนือสนามรบ ใช้บัลลังก์แก่นทองทั้งแห่งไปสกัดขวางพลานุภาพตะวันไหม้เกรียมที่สาดส่องออกมาจากกระจกมากสมบัติในมือของนักพรตเฒ่าผู้นั้น
ก่อนหน้านี้นักพรตเฒ่าใช้วิชาอภินิหารของกระจกมากสมบัติมาเชื่อมโยงกับดวงตะวันของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง เพ่งเล็งไปยังผู้ฝึกตนสำนักการทหารเผ่าปีศาจขอบเขตหยกดิบคนหนึ่ง ทั้งเผาไหม้เรือนกายที่แข็งแกร่งของอีกฝ่ายให้เกรียม ขณะเดียวกันก็ร่ายเวทกักตัวปีศาจตนนั้นเอาไว้ สุดท้ายให้เยว่ชิงตัวสำรองเซียนกระบี่บนยอดเขาสิบท่านใช้กระบี่พกอย่าง ‘สยบห้าขุนเขา’ มาตัดหัว คว้านร่างของเผ่าปีศาจให้เละ จากนั้นก็ใช้กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มอย่าง ‘น้ำพุร้อยจั้ง’ และ ‘กระจอกเมฆบนฟ้า’ สังหารดวงจิตต้นกำเนิดของเผ่าปีศาจที่คิดจะหลบหนีไปให้ตายคาที่ด้วย
เยว่ชิงมีโอกาสได้พักหายใจหายคอบ้างเล็กน้อย เขากวาดตามองไปรอบด้าน ไม่มีเผ่าปีศาจตนใดมาเข้าร่วมการเข่นฆ่าครั้งนี้ เท้าหนึ่งของเขาเหยียบศีรษะปีศาจตนนั้นเอาไว้ สะบัดข้อมือเบาๆ สลายคราบเลือดที่อยู่บนตัวกระบี่ทิ้งไป
สะใจ
เยว่ชิงขี่กระบี่มุ่งหน้าไปทางทิศใต้
เซียนกระบี่ใหญ่ที่พลังพิฆาตสูงอย่างถึงที่สุดผู้นี้เคยเอ่ยถ้อยคำดูแคลนควันธูปสายเหวินเซิ่งอย่างเปิดเผย แล้วก็เคยเป็นฝ่ายไปขอบคุณและขออภัยอิ่นกวานหนุ่มต่อหน้า
เปิดเผยตรงไปตรงมา
นักพรตเฒ่าผงกศีรษะเล็กน้อย เซียนกระบี่ใหญ่เยว่เกรงใจแล้ว
จากนั้นเขาก็ขมวดคิ้ว ขยับมุมของกระจกมากสมบัติในมืออยู่หลายที ทว่าแสงกระจกยังคงถูกกระชากเข้าไปหาบัลลังก์แก่นทองนั้นอยู่เหมือนเดิม นักพรตเฒ่าถอนหายใจอยู่ในใจ ตบะและขอบเขตของเขาล้วนไม่ได้อยู่ในขั้นสูงสุดแล้ว นี่เป็นเรื่องที่น่าจนใจอย่างยิ่ง
บัลลังก์สีทองใต้ฝ่าเท้าของปีศาจใหญ่เย่าเจี่ยถูกลาวาที่ไหลทะลักออกมาจากกระจกมาสมบัติกรอกเทเข้าใส่ หยดน้ำสีทองจึงไหลพรั่งพรูออกมาจากผิวกระจกอย่างต่อเนื่องแล้วสาดยิงไปอย่างบ้าคลั่ง ว่องไวเหมือนกระบี่บิน ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกกระบี่หรือเผ่าปีศาจที่หากโดนของเหลวนั้น ร่างก็จะเหลือแต่โครงกระดูกที่ค้างอยู่ท่าเดิม ตายคาที่ทันที
เย่าเจี่ยยิ้มถาม “นักพรตเฒ่าอย่างเจ้า ทั้งๆ ที่ยังมีอายุขัยเหลืออีกมาก แต่กลับจะเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่ สนุกนักหรือ?”
นักพรตเฒ่าที่มีชื่อเสียงบารมีสูงส่งในใต้หล้ามืดสลัวท่านนี้มีวัตถุแห่งชะตาชีวิตที่สำคัญที่สุดสองชิ้น กระจกมากสมบัติในมือ พื้นผิวกระจกได้ปริแตกเกิดเป็นรอยร้าวนับไม่ถ้วนเหมือนใยแมงมุมที่ถักทอเป็นรัง ทุกครั้งที่เกิดรอยร้าวเสี้ยวเล็ก ร่างเซียนทองที่เดิมทีสามารถเรียกได้ว่าผ่องแผ้วไร้มลทินของนักพรตเฒ่าก็จะมีเส้นสีดำเส้นหนึ่งผุดขึ้นมา คอยขัดเกลาตบะของเขาให้เสื่อมถอย ทำให้อายุขัยไหลหายไปอย่างชัดเจนจนมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ส่วนแส้ปัดฝุ่นอันนั้นก็ยิ่งถูกทำลายไปเกินครึ่ง เหลือแค่ด้ามเท่านั้น
นักพรตเฒ่าชูกระจกในมือขึ้นสูง ลูบหนวดยิ้มเอ่ยว่า “สนุกกับแม่เจ้าสิ”
ใช้ท่วงท่าที่เปี่ยมไปด้วยมาดแห่งเซียนพูดจาต่ำช้าหยาบคายอย่างถึงที่สุด
ยากจะจินตนาการได้ว่าท่านผู้นี้คือเทพเซียนผู้เฒ่าผู้สง่างามที่เคยเอ่ยประโยคว่า ‘ยามที่ดอกท้อบานสะพรั่ง หากบนดอกท้อมีนกขมิ้นเกาะอยู่ด้วยจะยิ่งชวนให้คนเคลิบเคลิ้ม ไม่กล้ากะพริบตา มีเพียงจิตใจที่หวั่นไหว’
ยิ่งมิอาจจินตนาการได้ว่า ยามที่นักพรตเฒ่าทำการถ่ายทอดมรรคาอยู่ในนครของป๋ายอวี้จิงอันเป็นบ้านของตัวเอง เซียนเหรินและเกาเจินจำนวนมากจากหออื่นนครอื่นจะพากันมานั่งลงบนเบาะเพื่อรับฟัง ฟังแล้วก็ได้ประสบการณ์ความรู้มากมาย
เย่าเจี่ยไม่ถือสา และไม่เอ่ยอะไรอีก
ปล่อยให้ทั้งสองฝ่ายผลาญกำลังกันไปแบบนี้นี่แหละ ก็แค่เผาผลาญเศษชิ้นส่วนร่างทองของสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้ำบางส่วนเท่านั้น ทว่าเจ้านักพรตเฒ่าจมูกโคผู้นี้กลับต้องสูญเสียมหามรรคาและอายุขัยไปอย่างรวดเร็ว
คุณความชอบไม่เล็กจากการที่สังหารหนึ่งในอริยะจากสามลัทธิของกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้นี้ ข้าเย่าเจี่ยพร้อมน้อมรับไว้แล้ว
ตามสัญญาที่กำหนดไว้ ภูเขาทัวเยว่อนุญาตให้นำพื้นที่ทวีปหนึ่งของใต้หล้าไพศาลออกมา สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำที่ได้รับการแต่งตั้งให้สืบทอดตามระบบที่ถูกต้องจากราชวงศ์ จากสำนักศึกษาสถานศึกษาของลัทธิขงจื๊อใต้หล้าไพศาล รวมไปถึงเทวรูปร่างทองในศาลเถื่อนเล็กใหญ่ทั้งหลายที่อยู่บนอาณาเขตแห่งนั้น ล้วนจะถูกขุนเขาแห่งนี้นำมาหลอมรวมกันในเตาเดียว จะไม่มีใครที่เหลือรอดชีวิตอีกแม้แต่คนเดียว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังได้ยินมาว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาลจำนวนมากจุติมาเกิดใหม่ในใต้หล้าไพศาล นั่นก็ยิ่งเป็นกุญแจสำคัญในการพิสูจน์มรรคาของเย่าเจี่ย จับหลอมไปพร้อมกัน มันก็จะสามารถเป็นดั่งดวงตะวันที่ลอยอยู่กลางนภา เป็นดั่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สูงส่งที่สุดที่หลุบตาลงต่ำมองปวงประชา เป็นอมตะไม่เสื่อมสลายอย่างแท้จริง ต่อให้มหามรรคาของเจ้าจะหมุนเวียนผลัดเปลี่ยน หรือจะเป็นคำกล่าวที่บอกว่าตาข่ายสวรรค์ห่างแต่ไม่รั่ว บวกกับการไหลรินของแม่น้ำแห่งกาลเวลา ก็ล้วนต้องอ้อมผ่านมันไปทางอื่น!
ปีศาจใหญ่ยื่นมือข้างหนึ่งออกมาแล้วยกขึ้นช้าๆ ริมขอบด้านนอกสุดของผิวกระจกปรากฏตัวอักษรสีทองร้อยเรียงกันเป็นเส้น ตัวอักษรเหล่านั้นใหญ่มาก ทุกตัวล้วนเป็นสีทอง แต่ละตัวคือการแสดงออกของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ร่างทองที่สูงหลายสิบจั้งตนหนึ่ง ในบรรดานั้นมีอักษรเจ็ดคำว่าตะวัน จันทรา ทอง ไม้ น้ำ ไฟ ดินที่เหมือนจะเป็นตาค่ายกล สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่จำแลงออกมากจึงใหญ่โตมโหฬารมากเป็นพิเศษ ร่างสูงร้อยจั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ก่อกำเนิดบนสองคำว่า ‘ตะวัน จันทรา’ ที่ด้านหลังต่างก็มีวงแสงเรืองรองที่เกิดจากการรวมตัวกันของแก่นดวงอาทิตย์ แก่นดวงจันทร์สาดส่องเจิดจ้า ลาวาสีทองแต่ละเส้นขยับเคลื่อนไม่หยุดนิ่งราวกับชุดของนางฟ้าบนภาพวาดฝาผนังที่พลิ้วไสว
นักพรตเฒ่าพลันลุกขึ้นยืน พูดกลั้วหัวเราะเสียงดังกังวาน “ในอนาคตหากมีผู้ฝึกกระบี่ไปเยือนใต้หล้ามืดสลัว จำไว้ว่าต้องไปเป็นแขกที่นครของข้าผู้เป็นนักพรตด้วย! ที่นั่นทัศนียภาพงดงามอย่างถึงที่สุด เทพธิดาก็ยิ่งงามเพริศพริ้ง! ได้อยู่ร่วมกับทุกท่านมานานหลายปี ข้าผู้เป็นนักพรตยินดี ยินดียิ่งแล้ว!”
เอ่ยประโยคนี้จบ เรือนกายของนักพรตเฒ่าก็หลอมละลายอยู่ในจิตวิญญาณ สุดท้ายกลายเป็นแสงรุ้งที่พร่างตาเส้นหนึ่งซึ่งพุ่งหายเข้าไปในกระจกมากสมบัตินั้นก่อน สุดท้ายกระแทกออกมาแล้วพุ่งเข้าชนบัลลังก์แก่นทองโดยตรง
ขนาดปีศาจใหญ่เย่าเจี่ยก็ยังไม่อาจบังคับบัลลังก์ให้หลบเลี่ยงรุ้งเส้นนั้นได้พ้น ได้แต่เบิกตามองดูจิตวิญญาณของนักพรตเฒ่าเป็นดั่งหิมะที่หลอมละลายหายไปในบัลลังก์แก่นทอง
จากนั้นผิวกระจกตลอดทั้งผืนก็ปรากฏรอยปริร้าวที่นักพรตเฒ่าใช้จิตวิญญาณของตนฉีกกระชากออกมา คำสั่งเสียสุดท้ายที่แท้จริงของเขามีเพียงสามคำ
เชิญปล่อยกระบี่
เซียนกระบี่ใหญ่หมี่ฮู่ปล่อยกระบี่อย่างเต็มกำลัง เลียบตามเส้นแตกนั้นไป ฟันให้บัลลังก์แก่นทองขาดออกเป็นสองท่อน
หลังจากผ่านศึกนี้ไป ปีศาจใหญ่เย่าเจี่ยที่วัตถุแห่งชะตาชีวิตได้รับความเสียหายก็ได้แต่ถอยออกจากสนามรบ พยายามสุดกำลังที่จะซ่อมแซมภูเขาแก่นทองที่เสียหายใหญ่หลวงให้กลับคืนมาดีดังเดิม
……
ตรงประตูของกระโจมเจี่ยจื่อ
ชายฉกรรจ์เคราดกยืนเคียงบ่าอยู่กับผู้เฒ่าชุดเทา
หลิวชาเอ่ยว่า “เฉินซี น่าหลันเซาเหว่ย ต่างก็ดูผิดปกติ”
ไม่ควรจะทุ่มสุดชีวิตเช่นนี้ ไม่ควรถึงขั้นยอมสละชีวิตอย่างลืมตายเช่นนี้
ผู้เฒ่าชุดเทาพยักหน้ารับ
หันไปมองฉีถิงจี้กับเฒ่าหูหนวกล้วนปกติอย่างมาก แค่มองดูคล้ายลงมืออย่างเฉียบคมเท่านั้น ทว่ายังเหลือหนทางถอยไว้ให้ตัวเองบนสนามรบ อย่างมากสุดก็แค่ขอบเขตถดถอยไปหนึ่งขั้น
เจ้าประมุขของตระกูลใหญ่บนถนนไท่เซี่ยงทั้งสองท่านอย่างเฉินซีและน่าหลันเซาเหว่ยกลับวิ่งเข้าหาเส้นทางแห่งความตาย
ส่วนต่งซานเกิงผู้นั้น
ผู้เฒ่าเงยหน้ามองดวงจันทร์กลมโตที่อยู่ห่างจากฟ้าไปไกลและไม่ใกล้กับพื้นดิน ดูจากท่าทางนั้นต่งซานเกิงคงไม่คิดจะหวนกลับสู่หัวกำแพงเมืองแล้ว ไม่เพียงเท่านี้ ยามที่คนผู้นี้ตาย เชื่อว่าจะต้องเป็นทัศนียภาพที่ยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน
แม้ว่าจะเป็นฝ่ายของศัตรู แต่ผู้เฒ่าชุดเทากลับรู้สึกเสียดายในตัวต่งซานเกิงยิ่งนัก
องอาจห้าวหาญถึงเพียงนี้
ส่วนความเป็นความตายของเจ้าอารามดอกบัวผู้นั้น ผู้เฒ่าชุดเทาไม่สนใจแม้แต่น้อย แอบหล่อหลอมแก่นดวงจันทร์ครึ่งดวงลับหลังภูเขาทัวเยว่ เดิมทีก็เป็นการกระทำล้ำเส้นที่สมควรตายอยู่แล้ว ตอนนี้มาเจอกับต่งซานเกิง แม้จะได้ครอบครองฟ้าอำนวยดินอวยพร แต่นั่นกลับกลายมาเป็นกรงขังแห่งหนึ่งของเขา
หลิวชาเอ่ยถาม “ตามผลลัพธ์ใหม่ล่าสุดที่กระโจมเจี่ยจื่ออนุมานออกมา ศาลบุ๋นจะต้องมอบครึ่งหนึ่งของใต้หล้าแห่งนั้นให้กับผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่หรือ?”
ผู้เฒ่าชุดเทาพยักหน้า “เป็นการลงทุนก้อนใหญ่เลยล่ะ”
อิ่นกวานหนุ่มผู้นั้นใช้วิธีการจัดขบวนรบที่มีคุณความชอบสูงอย่างถึงที่สุดช่วยต่อลมหายใจเฮือกหนึ่งให้กับกำแพงเมืองปราณกระบี่ ขณะเดียวกันการที่ต้องเข่นฆ่าอย่างถูกจำกัดควบคุมกลับทำให้พวกผู้ฝึกกระบี่อัดอั้นกันมานานมากแล้ว ทว่าเจ้าคนที่หล่นลงมาจากฟ้าเนื่องจากไปเยือนใต้หล้ามืดสลัวแล้วก็หวนกลับมาผู้นั้นกลับสลายความอัดอั้นที่สุมแน่นเต็มอกของพวกผู้ฝึกกระบี่ให้หายไป
สายของหลี่เซิ่งมีอริยะมาเฝ้าพิทักษ์อยู่ที่นี่ สายของหย่าเซิ่งมีอาเหลียง เฉินฉุนอันผู้รอบรู้ สายของเหวินเซิ่งก็ยิ่งมีเซียนกระบี่จั่วโย่ว มีอิ่นกวานเฉินผิงอัน
บัณฑิตที่เดินทางมาจากทิศไกลเหล่านี้ล้วนกำลังใช้วิธีการของตัวเองมาอธิบายเหตุผล เพื่อให้ศาลบุ๋นของใต้หล้าไพศาลยอมตอบตกลงกับเรื่องนี้
……
บนสนามรบ ลี่ไฉ่หยุดเดิน
ห่างไปไกลร้อยจั้งปรากฏร่างของปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ที่ไอเซียนล้อมวนรอบกาย หวงหลวน
ปีศาจใหญ่ตนนี้ลอดทะลวงผ่านกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจตรงมาหาลี่ไฉ่ที่ฝ่าขบวนรบเข้ามาใจกลางกองทัพศัตรูเพียงลำพังโดยเฉพาะ
หวงหลวนยิ้มบางๆ ถามว่า “เจ้าชื่อลี่ไฉ่รึ? ได้ยินมาว่าเจ้าซื้อหอถิงอวิ๋นเอาไว้ บังเอิญนัก มันเป็นของในกระเป๋าของข้า เก็บกระบี่แล้วคุกเข่าลง มาเป็นบ่าวของข้าแล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”
หวงหลวนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วหรี่ตาเอ่ยว่า “อืม คำกล่าวว่าบ่าวนี้ สำหรับเซียนกระบี่หญิงคนหนึ่งแล้วไม่ค่อยน่าฟังเท่าไร ถ้าอย่างนั้นก็เป็นคนถือกระบี่แล้วกัน”
เรือนส่วนตัวแต่ละหลังที่พวกเซียนกระบี่ทิ้งไว้อย่างเรือนว่านเฮ้อที่ยามค่ำคืนจะต้องมีเสียงต้นสนพัดโชยตามลมดังเป็นระลอก จวนเซียนปลูกอวี๋ คลังเจี่ยจ้าง รวมไปถึงหอถิงอวิ๋นที่สลักแกะจากหยกทั้งหลังของลี่ไฉ่ เดิมทีพวกมันล้วนต้องกลายเป็นของเชลยศึกของเขา
เวลานี้บนร่างของลี่ไฉ่เต็มไปด้วยบาดแผล เพียงแต่ว่าสวมชุดคลุมอาคมตัวหนึ่งปิดบังเอาไว้ แต่หากดูจากแค่บนใบหน้าของนาง ก่อนหน้านี้ก็ถูกเผ่าปีศาจที่เป็นผู้ฝึกตนสำนักการหทารคนหนึ่งทุบโหนกแก้ม ผิวเนื้อฉีกเละ กระดูกขาวโผล่ออกมา
ลี่ไฉ่ถ่มเลือดคำหนึ่งทิ้ง กระตุกมุมปาก แสยะยิ้มเอ่ย “แม้แต่เรื่องที่ข้าซื้อหอถิงอวิ๋น เจ้าก็รู้ด้วยหรือ?”
หวงหลวนพยักหน้า “ผู้ฝึกกระบี่ที่รักตัวกลัวตาย อย่างไรก็ยังมีอยู่บ้าง”
ลี่ไฉ่เก็บกระบี่สอดเข้าฝักท่วงท่าคล่องแคล่วว่องไว ปณิธานกระบี่แผ่กระเพื่อมออกไป ริ้วคลื่นวงหนึ่งที่สูงเท่าตัวนางกระจายไปรอบด้าน พริบตานั้นกองทัพเผ่าปีศาจที่รุดหน้ามาจากทางด้านข้างสองฝากฝังของนางและปีศาจใหญ่หวงหลวนก็เหลือแต่ศีรษะที่กลิ้งหลุนๆ อยู่บนพื้น
หวงหลวนประกบสองนิ้วยื่นมือมาด้านหน้าแล้วส่ายเบาๆ สลายปณิธานกระบี่บริสุทธิ์ที่มองไม่เห็นขุมนั้นทิ้งไป “ในเมื่อเป็นม้าตีนปลายแล้วก็อย่ามัวเล่นลูกไม้อะไรอยู่อีกเลย”
ลี่ไฉ่ถาม “ถ้าอย่างนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าต่อให้สัตว์เดรัจฉานอย่างเจ้าไปถึงใบถงทวีปได้ ก็ยังจะต้องถูกคนแทงตายด้วยกระบี่เดียวอยู่ดี?”
หวงหลวนหลุดหัวเราะพรืด เอ่ยเตือนว่า “อันที่จริงตอนนี้ข้าอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก”
——