บทที่ 1758 ใครหน้าไหนก็ไม่ขาย + ตอนที่ 1759 ปุ๋ยไม่ไหลไปที่นาของบุคคลภายนอก

ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น

ตอนที่ 1758 ใครหน้าไหนก็ไม่ขาย

 ลูกชิ้นปลาในฮ่องกงก็เหมือนของเสียบไม้ที่ขายตามข้างถนนในเมืองฉงชิ่ง ลูกชิ้นปลาเองก็สามารถพบได้ตามตรอกซอกซอยทุกพื้นที่และยังมีร้านเก่าแก่จำนวนไม่น้อย น้ำจิ้มล้วนได้มาจากการสืบทอดของบรรพบุรุษ ร้านที่โอหยางซานซานกินก็เป็นร้านเก่าแก่ชื่อดัง ธุรกิจดีมาก

โอหยางสยงเห็นในมือของโอหยางซานซานถือลูกชิ้นปลาสามไม้กินด้วยความเอร็ดอร่อย เขาจึงขมวดคิ้วแน่นเป็นปม มีสีหน้าคลางแคลงใจ

ช่วงกลางคืนเขาเองก็มักจะไปกินลูกชิ้นปลาที่ร้านเก่าแก่ด้านล่างอยู่บ่อยครั้ง รสชาติดีจริงๆ สมกับที่เป็นร้านเก่าแก่ชื่อดังที่สืบทอดมานานหลายสิบปี และลูกชิ้นปลาที่ร้านนี้ขายก็ล้วนเป็นลูกชิ้นปลาทำมือแบบต้นตำรับ เนื้อปลาเยอะ ไม่เหมือนร้านลูกชิ้นปลาร้านอื่นที่ต้องการจะประหยัดต้นทุน แป้งเยอะกว่าเนื้อ รสชาติไม่ละมุนเท่าร้านนี้

ตอนนี้โอหยางซานซานกำลังรีบกินลูกชิ้นปลาจนหมดไปแล้วสองไม้ ในมือจึงเหลืออยู่เพียงหนึ่งไม้ ดูเหมือนว่าจะชอบกินมันมาก

คิ้วของโอหยางสยงขมวดมุ่นกว่าเดิม ความกลัวในใจซัดมาเป็นระลอก…

โอหยางซานซานขึ้นรถจากไปแล้วเขาถึงได้ปิดม่านลงด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก ซ้ำยังมีท่าทีหวาดกลัวด้วย

ทำไมถึงเป็นแบบนี้?

นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?

โอหยางสยงรีบไปที่ตู้เสื้อผ้า หยิบกระเป๋าเดินทางออกมา ยัดเสื้อผ้าเข้าไปในกระเป๋าเดินทางอย่างรวดเร็ว อยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว เขาต้องรีบไปจากที่นี่

“ก๊อก ๆ”

ประตูถูกเคาะอีกครั้งเสียงเป็นจังหวะมาก แต่โอหยางสยงกลับตกใจจนตัวสั่น มือถือกระเป๋าเอาไว้ไม่อยู่จนร่วงลงพื้น

รายการโทรทัศน์ที่เหมยเหมยและคนอื่น ๆเข้าร่วมได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในท้องถิ่น ทางสถานีโทรทัศน์ฉายซ้ำอยู่หลายรอบ เรตติ้งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เหมยเหมยสยงมู่มู่และคนอื่น ๆต่างก็ยิ่งโด่งดังกว่าเดิม

เดิมทีสยงมู่มู่มาที่ฮ่องกงเพื่อร่วมงานกับทางคลื่นวิทยุ แต่ไม่กี่วันมานี้ไม่ว่าจะเป็นทีวีหรือวิทยุต่างก็แห่มาเชิญชวนเขาเข้าร่วมรายการ สยงมู่มู่ไม่ได้สนใจต่อสิ่งเหล่านี้สักเท่าไรแต่สุดท้ายเขาก็ตอบรับคำเชิญจากรายการทีวี และเตรียมออกรายการทอล์คโชว์ของเซี่ยเข่ออิ๋งพร้อมกับเหมยเหมย

คนที่เข้าร่วมด้วยยังมีอู่เชา เพราะเขาเองก็มีชื่อเสียงเหมือนกัน

ทอล์คโชว์ผ่านไปได้ด้วยดี เซี่ยเข่ออิ๋งไม่ได้ถามคำถามที่ล่อแหลมจนเกินไป สองชั่วโมงในการบันทึกและออกอากาศเป็นที่น่าพอใจมาก บรรยากาศดูเข้ากันได้เป็นอย่างดี เมื่อรายการออกอากาศไปสิ่งที่ผู้คนในท้องที่ให้ความสนใจมากที่สุดคือความสัมพันธ์ระหว่างเหมยเหมยกับพวกเขาทั้งสามคน

ลูกพี่ลูกน้องรวมถึงเพื่อนที่โตมาด้วยกัน นี่แสดงให้เห็นถึงความสำคัญในการคบเพื่อนที่ดีสักคน

คนใกล้ชาดติดสีแดง คนใกล้หมึกติดสีดำ[1] คำพูดของคนโบราณมีเหตุผลเสมอ ดังนั้นเหมยเหมยพวกเขาทั้งสามคนจึงกลายเป็นแบบอย่างที่ดีเยี่ยมสำหรับพ่อแม่ในท้องถิ่นที่จะใช้สอนลูก ๆ โดยมักจะพูดกันเช่นนี้ว่า ‘ดูนั่นสิ…พวกเขาเป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่เด็กที่เติบโตมาด้วยกัน เพื่อนแบบนี้แหละที่จะเป็นเพื่อนสนิทที่แท้จริง ลูกดูสิว่าเพื่อนที่ลูกคบมีแต่พวกเพื่อนเกเรหรือเปล่า? คบคนดีก็ดีตาม คบคนชั่วก็ชั่วตาม รีบไปตัดขาดความสัมพันธ์กับเพื่อนพวกนั้นเลยนะ ต่อไปนี้ต้องคบเพื่อนที่คะแนนดี ๆเท่านั้น!’

เหมยเหมยไม่รู้เลยว่าตัวเธอเองกลายเป็น ‘ลูกของคนบ้านอื่น’ เธอไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเก่งมากมายขนาดไหน เพียงแค่คลำทางของตัวเองเจอก็เท่านั้น

รายการเพิ่งบันทึกเสร็จ หลินฮ่านเหวินก็จัดงานแจกลายเซ็นให้เธอและอู่เชาซึ่งเนืองแน่นด้วยผู้คน เธอเซ็นจนมือแทบหักแต่ในใจกลับรู้สึกดีเหลือเกิน

ในระยะเวลาสั้น ๆชื่อเสียงของเธอก็โด่งดังไปทั่วฮ่องกง ซ้ำยังดึงดูดผู้คนมากมายให้อยากร่วมงานกับเธอ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์ที่ต้องการซื้อลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ของหนังสือเธอ

“อาเหวินบอกพวกเขาไปเลยว่าลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ของฉันจะไม่ขายให้ใครหน้าไหนทั้งนั้น!” พอมีคนถามเยอะ เหมยเหมยจึงต้องพูดออกไปอย่างเด็ดขาด

หลินฮ่านเหวินพูดอย่างลำบากใจ “ถ้าเป็นคนอื่นก็ยังพอไหวฉันยังพอช่วยเธอตอบกลับไปได้ แต่หัวหน้าของเข่ออิ๋งก็อยากถ่ายทำและคนที่เป็นแกนนำเลยก็คือโจวจื่อหัว!”

ทั้งสองคนเป็นบุคคลใหญ่โตที่เขาและภรรยาต่างก็ไม่อาจล่วงเกินได้

……………………………………………………………

ตอนที่ 1759 ปุ๋ยไม่ไหลไปที่นาของบุคคลภายนอก

พอเหมยเหมยได้ยินว่าโจวจื่อหัวเป็นแกนนำก็พลันคิ้วขมวดแน่น ทำไมผู้มีอิทธิพลคนนี้ถึงได้ให้ความสนใจกับการถ่ายทำละครได้ล่ะ?

“งั้นคุณก็บอกไปว่าบทภาพยนตร์และโทรทัศน์ของฉันขายไปแล้ว” เหมยเหมยพูด

เธอรับปากกับเจ้าเสวียเอ๋อร์ไว้แล้วว่าจะให้เขาถ่ายทำเจ้าหญิงอัปลักษณ์จะคืนคำไม่ได้แน่นอน และเธอก็ไม่อยากให้ทางฝั่งฮ่องกงเป็นคนถ่ายทำด้วย ต่อให้จ้าวเสวียเอ๋อร์ไม่ถ่ายเธอก็จะหาบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์ในแผ่นดินใหญ่มาถ่าย

หลินฮ่านเหวินวิ่งกลับมาบอกเธออย่างรวดเร็ว “หัวหน้าของเข่ออิ๋งถามผมว่าคุณขายลิขสิทธิ์ภาพยนตร์และโทรทัศน์ให้กับบริษัทไหน ผมต้องบอกไหมครับ?”

“คุณบอกไปว่าบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์ฉางเฉิง”

บริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์ฉางเฉิงเป็นบริษัทใหม่ที่เปิดโดยจ้าวเสวียเอ๋อร์ เธอและสยงมู่มู่มีหุ้นอยู่ด้วย จ้าวเสวียเอ๋อร์อยากจะถ่ายทำหนังสือของเธอตั้งแต่เริ่มเปิดบริษัทแล้ว แต่เหมยเหมยไม่เห็นด้วย

เธอให้จ้าวเสวียเอ๋อร์ถ่ายทำละครทีวีเรื่องอื่นไปก่อน หากประสบความสำเร็จถึงจะแสดงให้เห็นว่าการจัดการและทรัพยากรของบริษัทจ้าวเสวียเอ๋อร์เติบโตขึ้นมากแล้ว เธอถึงจะวางใจยกหนังสือให้เขาถ่ายทำได้ ไม่งั้นเธอคงไม่ยอมถ่ายเพื่อเลี่ยงไม่ให้ถูกทำพัง

โชคดีที่จ้าวเสวียเอ๋อร์ไม่ทำให้เธอผิดหวัง ทำละครทีวีสองเรื่องติดต่อกัน เรื่องหนึ่งเป็นละครอิงประวัติศาสตร์ อีกเรื่อหนึ่งเป็นละครปัจจุบันในเมืองใหญ่ เรตติ้งดีมากและทำเงินได้ไม่น้อยเลย

พอได้จังหวะโอกาสจ้าวเสวียเอ๋อร์และผู้กำกับฟางชิงผิงถึงได้เริ่มคัดนักแสดงทั่วประเทศ โดยเฉพาะคนที่จะรับบทนางเอก เหมยเหมยไม่ต้องการใช้ดาราที่มีชื่อเสียง ความคิดของเธอตรงกับผู้กำกับฟางชิงผิง เพื่อทำให้เห็นถึงความสดใสของนักแสดงหน้าใหม่

ถึงอย่างไรเสียละครรักวัยรุ่นใส ๆก็ไม่ได้ให้ความสำคัญเรื่องฝีมือการแสดงเท่าไร หน้าตาดีสิถึงจะสำคัญที่สุด

หลินฮ่านเหวินคิดอยู่นานก็นึกบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์ฉางเฉิงไม่ออก เห็นได้ว่าบริษัทนี้ไม่ได้มีชื่อเสียงนัก ถ้าพูดถึงบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในแผ่นดินใหญ่ก็ต้องเป็นหัวหยู่อยู่แล้ว ซึ่งก็คือบริษัทของเหมยซูหาน

“เหมยเหมย ทำไมเธอไม่ร่วมมือกับหัวหยู่ล่ะ? ทรัพยากรของบริษัทนี้น่าจะมีพร้อมมากกว่าฉางเฉิงหรือเปล่า?”

“ฉางเฉิงเป็นบริษัทของพี่ชายคนที่สามของฉัน สร้างละครโทรทัศน์ที่ประสบความสำเร็จมาแล้วสองเรื่อง และพี่สามของฉันก็ได้ตัวผู้กำกับฟางชิงผิงมาแล้วด้วย ฉันมั่นใจในตัวฉางเฉิงมาก”

ตีเธอให้ตายเธอก็ไม่มีวันร่วมมือกับเหมยซูหาน แล้วเธอก็ยังเป็นเจ้าของหุ้นอีก 20% ในฉางเฉิงด้วย ทำไมจะต้องปล่อยให้ปุ๋ยไหลไปที่นาของคนอื่น[2]ล่ะ?

หลินฮ่านเหวินเพิ่งจะนึกขึ้นได้

ที่แท้ก็เป็นคนในครอบครัวนี่เอง ไม่แปลกเลย…

เขาบอกกับเจ้าของสถานีโทรทัศน์ไปแล้ว เจ้าของคนนี้ก็เป็นคนที่เข้าใจอะไรง่าย แม้จะนึกเสียดายแต่ก็ไม่ได้ดึงดันอะไร ถึงอย่างไรสำหรับสถานีโทรทัศน์ขนาดใหญ่ก็ไม่ได้มีผลอะไรมากหรอก เหตุที่อยากถ่ายทำหลัก ๆก็เป็นเพราะโจวจื่อหัว

กิจกรรมที่จัดขึ้นที่นี่โดยรวมเสร็จสิ้นแล้ว เหมยเหมยคิดไว้ว่าจะไปเดินเล่นทั้งวัน แล้วก็จะไปเที่ยวเล่นที่ดิสนีย์แลนด์กับโอเชียนปาร์ค จากนั้นค่อยกลับบ้าน

วันถัดมาเธอเตรียมจะไปชอปปิ้งที่ร้านขายเครื่องประดับเพื่อซื้อเครื่องประดับทองไปฝากเหยียนซินหย่า ป้าฟาง แล้วก็พวกฉีฉีเก๋อสักหน่อย เครื่องประดับทองในฮ่องกงมีหลากหลายรูปแบบและราคาก็ไม่แพงมาก ซื้อเยอะ ๆไปฝากคนอื่นก็ไม่เลว

แต่ช่วงเช้าตอนกำลังเตรียมตัวออกบ้านก็ได้รับสายจากโจวจื่อหัว บอกว่าอยากเชิญเธอไปดื่มชายามเช้า[3]

เหมยเหมยจึงจำต้องตอบรับนัด โดยให้เซียวเซ่อและคนอื่น ๆไปเดินเล่นก่อน ถ้าเธอดื่มชายามเช้าเสร็จจะตามไปสมทบ

สถานที่ที่โจวจื่อหัวนัดดื่มชายามเช้ายังคงเป็นที่ภัตตาคารป้าหวัง ชายามเช้าของที่นี่ยังถือเป็นเมนูทีเด็ดของท้องถิ่นด้วย คนรวยจำนวนมากจะมากินที่นี่ คนสามัญชนธรรมดาไม่มีปัญญามากินหรอก

โอหยางซานซานก็อยู่ด้วย นั่งชิดแนบแอบอิงอยู่กับโจวจื่อหัว วันนี้เปลี่ยนมาใส่ชุดกระโปรงสีดำยาวอีกตัว ยืดผมตรงแล้วก็แต่งหน้าอ่อน ๆ ดูสวยสดใสและน่าหลงใหลไม่เบา

“ลุงหัวมีธุระอะไรกับหนูเหรอคะ?” เหมยเหมยยิ้มพลางเอ่ยถาม และยังนั่งในตำแหน่งถัดจากหัวโต๊ะเหมือนเคบ

โจวจื่อหัวให้ความสำคัญกับหลักประเพณีมาก พวกหลักประเพณีเก่าแก่ทำนองนั้น เธอได้ยินมาว่าลูก ๆหลาน ๆของเขาต้องท่องหลักปฏิบัติของเยาวชนตั้งแต่เด็ก การอบรมสั่งสอนทางบ้านเข้มงวดมาก และโจวจื่อหัวจะไม่ปล่อยให้ลูก ๆหลาน ๆ เข้าแก๊งเลย ทุกคนล้วนเป็นพนักงานและนักธุรกิจที่ชอบธรรมหมด

ด้วยเช่นนี้โจวจื่อหัวจึงพึงพอใจต่อเหมยเหมยมาก ส่งยิ้มจางๆ พลางสั่งให้บริกรเสิร์ฟขนมและชา

………………………………………………………………….

[1] ตรงกับสำนวนไทยที่ว่า คบคนพาล พาลพาไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล

[2] มาจากสำนวนที่แปลว่า ปุ๋ยไม่ไหลไปที่นาของบุคคลภายนอก ตรงกับสำนวนไทยที่ว่า เรือล่มในหนอง ทองจะไปไหน

[3] คนจีนทางใต้จะนิยมเรียกการกินติ่มซำ(ของนิ่ง เช่น เกี๊ยวนึ่ง ขนมจีบ ตีนไก่ ซาลาเปา เป็นต้น)และดื่มชาในตอนเช้าว่า 早茶