บทที่ 2234 ภายใต้สถานการณ์ภาพรวม

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เมื่อเฉาเฟิ่งฉือถูกจับ กำลังพลที่ดักซุ่มอยู่ใกล้ๆ ตลาดผีก็ยังไม่บุ่มบ่ามทำอะไรกับตึกศาลาสัตยพรต

เป็นเพราะตึกศาลาสัตยพรตคืออำนาจที่อยู่ในที่แจ้งของตระกูลเซี่ยโห้ว มีสายตาจับจ้องจำนวนมาก ถ้าแตะต้องตึกศาลาสัตยพรตอย่างเปิดเผย ก็กลัวว่าจะสะเทือนไปถึงอำนาจที่อยู่ตามที่ต่างๆ ของตระกูลเซี่ยโห้ว ขอเพียงควบคุมเฉาเฟิ่งฉือได้ก็พอแล้ว หากจะขุดรากถอนโคนอำนาจของตระกูลเซี่ยโห้ว ตึกศาลาสัตยพรตก็จะต้องเอาไว้ลงมือหลังสุด

หลังจากจัดการเฉาหม่านกับเฉาเฟิ่งฉือแล้ว ทัพใหญ่ที่เร่งไปตามแต่ละจุดอย่างลับๆ ก็มุ่งตรงไปหาเครือข่ายลับที่ตระกูลเซี่ยโห้วเคยวางไว้ตามแห่งต่างๆ เมื่อกำหนดเวลาเรียบร้อยแล้ว ก็แทบจะลงมือพร้อมกัน ขุดรากถอนโคนอำนาจหลักของตระกูลเซี่ยโห้วอย่างรวดเร็วปานฟ้าผ่าในรวดเดียว

ส่วนจำนวนสมาชิกที่พึ่งพาตระกูลเซี่ยโห้วและถูกตระกูลเซี่ยโห้วควบคุมก็ซับซับซ้อนเกินไป ถ้าจะให้จับให้หมดก็เป็นเรื่องเพ้อฝัน แต่การจับตัวคนที่เป็นแกนกลาง หลังจากควบคุมคนที่เป็นแกนกลางแล้วค่อยตรวจสอบสมาชิกที่ตระกูลเซี่ยโห้วควบคุมอยู่ทั้งหมดนั้นไม่ยาก เหมียวอี้เองก็ไม่ได้คิดจะจับทั้งหมด ขอเพียงควบคุมตัวหลักที่เชื่อมต่อแต่ละเครือข่ายไว้ด้วยกันได้ สมาชิกที่กระจัดกระจายกันอยู่ไม่มีข่าวกรองจากเครือใหญ่ขนาดใหญ่ของตระกูลเซี่ยโห้วสนับสนุน ก็จะกลายเป็นคนหูหนวกตาบอก ไม่เป็นโล้ไม่เป็นพาย เหมียวอี้ขออะไรนิดเดียวจากโครงสร้างสมาชิกที่ซับซ้อนเหล่านี้ นั่นก็คือควบคุมรายชื่อทั้งหมด และเตรียมจะให้เปิดโปงคนพวกนี้ออกมาให้หมดด้วย

หลังจากครั้งนี้ ตระกูลเซี่ยโห้วที่เป็นใหญ่อยู่หลังม่านมาหลายปี ผ่านมาหลายยุคสมัยก็ถึงจุดจบโดยสิ้นเชิงแล้ว จบลงเงียบๆ โดยไร้ลูกคลื่นใดๆ กลายเป็นอดีตไปอย่างเงียบเชียบจนแทบไม่มีใครสังเกตเห็น จนกระทั่งหลังจากนั้นหลายปีจึงมีคนมากมายนึกขึ้นได้ว่าทำไมตระกูลเซี่ยโห้วหายไปเงียบๆ และรูปสึกแปลกใจ

สาเหตุก็ไม่ได้ซับซ้อน เพราะหลายคนที่เข้าร่วมลงมือกับตระกูลเซี่ยโห้วก็ไม่รู้ว่าคนที่ตัวเองกำลังสู้ด้วยคือตระกูลเซี่ยโห้ว ยังนึกว่าเป็นการกวาดล้างพรรคพวกที่เหลือของชิงและพุทธะ ส่วนคนที่รู้ความจริงก็เงียบไว้

และการกวาดล้างพรรคพวกที่เหลือของชิงและพุทธะก็กำลังดำเนินไปพร้อมกัน

กำลังพลหนึ่งแสนเหาะลงมาจากฟ้า เหยียบลงกลางทะเลทรายรกร้างเปล่าเปลี่ยวที่มีคนอาศัยอยู่น้อย แม่ทัพที่นำกำลังพลมากำลังมองสำรวจไปรอบๆ

ผ่านไปครู่เดียว ด้านหลังเนินทรายตรงจุดไกลๆ มีชายคนหนึ่งโผล่ออกมา ถลันตัวเหาะเข้ามา แล้วกุมหมัดคารวะอย่างระมัดระวัง “กวนเหมิง ศิษย์สำนักเมฆม่วงคำนับนายท่าน”

แม่ทัพมองเขาศีรษะจดเท้า ถามว่า “คนของสำนักเมฆม่วงไปไหนแล้ว?”

กวนเหมิงหันตัวชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง “โอเอซิสกลางทะเลทรายที่มีรัศมีประมาณหนึ่งลี้ ซึ่งอยู่ห่างจากตรงนี้ประมาณแปดร้อยลี้ขอรับ ลึกลงไปใต้ดินร้อยจั้งจะมีพื้นที่ว่างใต้ดินที่ขุดไว้ คนของสำนักเมฆม่วงหลบอยู่ใต้นั้น ทางเข้าคือก้นทะเลสาบ”

“นำทาง!” แม่ทัพคนนั้นกล่าวเสียงต่ำ

“เชิญขอรับ!” กวนเหมิงพี่ค่อนข้างตื่นเต้นกล่าวอย่างนอบน้อม

เป็นอย่างที่กวนเหมิงบอกไว้ โอเอซิสกลางทะเลทรายที่มีรัศมีประมาณหนึ่งลี้อยู่จริงๆ น้ำในทะเลสาบสีเขียวมรกตใสเหมือนกระจก รอบข้างมีพืชทะเลทรายเขียวชะอุ่ม

ลำแสงหลายสายยิงออกจากด้านหลังเนินทราย ศิษย์สำนักเมฆม่วงหลายคนที่หลบสังเกตการณ์อยู่ในเหาะหนีเงียบๆ แต่กลับถูกลำแสงยิงร่วง จะเห็นได้ว่าทุกคนมีวรยุทธ์ไม่สูง

คาดว่าเสียงระเบิดตูมตามคงสะเทือนไปถึงคนที่ซ่อนอยู่ใต้ดิน พอแม่ทัพหลักโบกมือ กำลังพลนับหมื่นก็พุ่งลงในทะเลสาบโดยตรง ตามหาคนและสังหารทิ้ง

และรอบๆ โอเอซิสก็ถูกทัพใหญ่ล้อมไว้ กำลังฟังเสียงต่อสู้ที่ดังมาจากก้นทะเลสาบ

เสียงต่อสู้ดังเพียงครู่เดียวเท่านั้น ผ่านไปไม่นาน กลางทะเลสาบก็ปรากฏกำลังพลกลุ่มใหญ่ ลูกศิษย์สำนักเมฆม่วงที่นำโดยเจ้าสำนักเถียนชงยอมแพ้ทั้งหมด ไม่ยอมแพ้คงไม่ได้ เพราะรู้ว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ ถ้าต่อต้านต่อไปก็จะตายกันหมดแน่

ริมทะเลสาบ ศิษย์สำนักเมฆม่วงรวมทั้งสมาชิกในครอบครัวอยู่ด้วยกัน มีทั้งชายหญิงเด็กและคนชรา มีจำนวนเกือบสามพันคน ทั้งหมดถูกควบคุมเอาไว้ครบ แต่ละคนมีท่าทางตกใจกลัว เด็กน้อยตกใจจนร้องไห้งอแง ถูกผู้ใหญ่ปิดปากเอาไว้แน่น กลัวว่าจะยั่วโมโหทัพใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า

แม่ทัพหลักยืนอยู่ตรงหน้าเจ้าสำนักเถียนชง กล่าวเสียงเย็นว่า “ช่างใจกล้านัด สำนักเมฆม่วงเล็กๆ บังอาจช่วยทรราชต่อต้านทัพสวรรค์ ช่างเบื่อไหนที่จะมีชีวิตอยู่ต่อแล้วจริงๆ!”

เถียนชงมีสีหน้าเศร้าโศกเสียใจ ตอนแรกหนิวโหย่วเต๋อเป็นกองทัพกบฏ ประมุขชิงต่างหากที่เป็นทัพสวรรค์ ตอนนี้ประมุขชิงกลายเป็นทรราชแล้ว หนิวโหย่วเต๋อกลายเป็นทัพสวรรค์ จะอธิบายอะไรอีกก็ไม่มีประโยชน์ เขาคุกเข่าทันที แล้วกล่าวอย่างจนปัญญาว่า “ผู้น้อยไม่รู้สภาพดินฟ้าอากาศ สมควรตายหมื่นครั้ง ไม่ว่าความผิดอะไรก็ล้วนเป็นความผิดของข้าน้อย ขอให้นายท่านเมตตาไว้ชีวิตคนอื่น!”

ฝั่งนี้ก็ได้ยินเช่นกันว่ามีกำลังพลบุกโจมตีเข้ามา บอกว่าถ้ายอมสวามิภักดิ์จะพ้นความตาย ตอนนี้ถึงได้ยอมสวามิภักดิ์

“นายท่านโปรดไว้ชีวิต!” ทุกคนของสำนักเมฆม่วงร้องขอชีวิต ชายหญิงเด็กและคนชราคุกเข่ากันหมดแล้ว

เถียนชงกล่าวเสียงเรียบว่า “คนในครอบครัวของโจรกบฏกวนเหมิงอยู่ที่ไหน ส่งตัวมา!”

“นายท่าน…” เถียนชงพลันเงยหน้า

“หืม?” แม่ทัพหลักถลึงตาถาม รอบข้างมีเสียงอาวุธดัง กำลังพลที่ล้อมอยู่ยกธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขึ้นมาทันที ลูกธนูแหลมคมเล็งไปยังกลุ่มคนที่กำลังนั่งคุกเข่า

สุดท้าย เถียนชงก็ก้มหน้าอย่างจนใจ เพื่อที่จะปกป้องคนจำนวนมากกว่านี้ หรือเพื่อที่จะปกป้องตัวเอง ไม่มีใครพูดขอร้องให้คนในครอบครัวของกวนเหมิงอีก

“พวกเจ้ามันสัตว์เดรัจฉาน ต้องไม่ได้ตายดีแน่…”

กลุ่มผู้หญิงวัยกลางคนตกใจถึงขีดสุด ชี้หน้าด่าทุกคนของสำนักเมฆม่วง ด่าจนไม่มีใครกล้าเงยหน้า

ยังมีสาวน้อยอีกคนหนึ่ง รวมทั้งสตรีวัยกลางคนผู้นั้นถูกลากออกมาจากกลุ่มคน เป็นครอบครัวของกวนเหมิงนั่นเอง

พอแม่ทัพหลักโบกมือ กำลังพลก็กรูกันเข้ามา เก็บคนของสำนักเมฆม่วงใส่ในกระเป๋าทั้งหมด

ส่วนสองแม่ลูกที่กำลังตกใจจนร้องไห้ พอแม่ทัพหลักโบกมือ คนที่จับตัวพวกนางอยู่กลับปล่อยพวกนางไป

“พวกเจ้าไปรอข้างนอกก่อน!” แม่ทัพหลักกำชับกำลังพลที่ติดตามมา ทัพใหญ่เหาะขึ้นฟ้าไปทันที

ที่ริมโอเอซิส หลังจากเหลือเพียงสองแม่ลูกและแม่ทัพหลัก ด้านหลังเนินทรายที่อยู่ไม่ไกลก็มีคนคนหนึ่งปรากฏตัว สองแม่ลูกที่กำลังร้องไห้ถลึงตามอง ถ้าไม่ใช่กวนเหมิงแล้วจะเป็นใครไปได้อีก

กวนเหมิงถลันตัวเข้ามา กุมหมัดคารวะแม่ทัพหลัก “ขอบคุณนายท่าน!”

แม่ทัพหลักหยิบแผ่นหยกออกมาแผ่นหนึ่ง เขียนหนังสืออนุญาต ยืนให้เขาพร้อมบอกว่า “นี่คือหนังสืออนุญาต เบื้องบนสั่งมาว่า ถ้าพี่กวนทำภารกิจสำเร็จได้อย่างราบรื่น ก็ถือหนังสือนี้ไปรายงานตัวได้เลย ส่วนจะไปรายงานที่ไหน ข้าก็ไม่รู้ชัดเจนเหมือนกัน เบื้องบนบอกว่าพี่กวนรู้อยู่แล้ว สรุปก็คือตั้งแต่นี้ไปทุกคนล้วนเป็นคนของตัวเอง มีจุดไหนที่ล่วงเกินก็หวังว่าจะไม่ถือสา หลังจากนี้ก็ฝากเนื้อฝากตัวด้วย” เขาเองก็ไม่รู้ว่าฐานะที่แท้จริงของกวนเหมิงคือใคร ภายหลังจะมีบทบาทอะไร เอาเป็นว่าพูดให้น่าฟังไปก่อนนั้นไม่ผิด

กวนเหมิงรับแผ่นหยกเอาไว้ในมือ แล้วฝืนยิ้ม “นายท่านเกรงใจแล้ว”

มีเพียงเขาที่รู้ชัดอยู่แก่ใจ เขาเป็นคนทรยศของสำนักเมฆม่วงอย่างแท้จริง เป็นเพราะเมื่อก่อนทำเรื่องนอกลู่นอกทาง โดนบุคคลลึกลับจับจุดอ่อนได้ ครั้งนี้ก็ถูกบีบให้ทรยศสำนักเมฆม่วงอีก จะให้ไปรายงานตัวที่ไหนเขาก็ไม่รู้ชัดเช่นกัน รู้เพียงว่าตั้งแต่นี้ไปก็จะกลายเป็นคนของตำหนักสวรรค์แล้ว ไม่ใช่ตำหนักสวรรค์ของประมุขชิง แต่เป็นตำหนักสวรรค์ของหนิวโหย่วเต๋อ

“ขอตัว!” แม่ทัพหลักกุมหมัดคารวะแล้วถอยออกไป จากนั้นก็เหาะขึ้นฟ้าไปอย่างรวดเร็ว

กวนเหมิงกุมหมัดคารวะน้อมส่ง

แม่ลูกที่อยู่ข้างกันคราบน้ำตายังไม่ทันแห้ง กำลังเดินเข้ามาใกล้ คนเป็นแม่ถามอย่างหวาดระแวงสงสัยว่า “ท่านสามี นี่มันเรื่องอะไรกัน?”

เรื่องบางเรื่องกวนเหมิงเองก็ไม่สะดวกจะเอ่ยถึง เพียงถอนหายใจแล้วตอบว่า “เมื่อครู่นี้สำนักเมฆม่วงทำกับพวกเจ้ายังไง พวกเจ้าก็เห็นแล้ว”

พอพูดถึงเรื่องนี้ นึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ สองแม่ลูกก็แค้นมาก สตรีวัยกลางคนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกล่าวว่า “ทำงานให้สำนักเมฆม่วงมาหลายปี ไม่น่าเชื่อว่าจะเห็นพวกเรากลายเป็นหมากที่ใช้แล้วทิ้ง ข้าแค้นจนอยากจะล้างสำนักเมฆม่วงถึงจะดี!”

“ท่านพ่อ ท่านคือคนของหนิวโหย่วเต๋อเหรอ?” สาวน้อยยังหวาดกลัวไม่หาย

กวนเหมิงปากคอขื่นขม ยกมือลูบศีรษะลูกสาว แล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจ”ไม่ต้องถามมากแล้ว สำนักเมฆม่วงกลายเป็นอดีตไปแล้ว ยุคสมัยของชิงและพุทธะก็กลายเป็นอดีตไปแล้วเช่นกัน ตอนนี้เป็นใต้หล้าของหนิวโหย่วเต๋อ เป็นคนของตำหนักสวรรค์ไม่มีอะไรไม่ดี เกรงว่าหลังจากนี้พวกเราสามคนคงต้องเปลี่ยนชื่อแล้ว ไม่สะดวกจะใช้ชื่อปัจจุบันแล้ว ต่อไปนี้ไม่สะดวกจะเอ่ยถึงภูมิหลังสำนักเมฆม่วงกับคนนอกอีก เข้าใจใช่ไหม?”

แม้จะไม่เข้าใจชัดเจนว่าเรื่องอะไร แต่สตรีวัยกลางคนก็นับว่าวางใจแล้ว และถ้าพูดจากบางมุม การเป็นลูกศิษย์ของสำนักเมฆม่วงก็อาจไม่ดีเท่าเป็นคนของตำหนักสวรรค์ ถือเป็นอนาคตอีกเส้นทางหนึ่งเช่นกัน สตรีวัยกลางคนยกแขนเสื้อปาดคราบน้ำตา แล้วบอกลูกสาวว่า “เชื่อฟังพ่อเจ้า เจ้ารู้แค่ว่าพ่อเจ้าทำอย่างนี้เพราะหวังดีกับพวกเราก็พอ”

สาวน้อยพยักหน้าเอ่ยรับ เมื่อครู่นี้ถูกสำนักเมฆม่วงทอดทิ้งแล้ว ยังนึกว่าตัวเองจะต้องตายเสียอีก ตกใจแทบแย่แล้ว ตอนนี้เมื่อรู้ว่าจะได้อยู่อย่างสงบสุข มีบิดาเป็นที่พึ่งพิงที่มั่นคง ในใจก็เต็มไปด้วยความรู้สึกปลอดภัย บนใบหน้าเผยรอยยิ้มอันสดใส นางจะไปรู้ถึงความผันผวนยากคาดเดาภายใต้สถานการณ์ภาพรวมของใต้หล้าได้อย่างไร ไม่รู้ว่ามีคนมากมายเท่าไหร่ได้หน้าได้ตา ไม่รู้ว่ามีคนตั้งมากมายเท่าไหร่เศร้าอ้างว้าง ยิ่งไม่รู้ว่ามีสักกี่คนที่บ้านแตกสาแหรกขาด จากกันเพราะความตาย

ชะตาชีวิตที่ขึ้นๆ ลงๆ ของคนนับไม่ถ้วนอยู่ในนั้นหมดแล้ว

เมื่อเห็นลูกสาวยิ้มอย่างเบิกบานใจ กวนเหมิงก็ยกมือลูบศีรษะลูกสาวอีก ความรู้สึกผิดในใจเบาบางลงไม่น้อย สามารถปกป้องลูกเมียให้ปลอดภัยได้ เขารู้สึกว่าทุกอย่างคุ้มค่าแล้ว

กลับเป็นสตรีวัยกลางคนที่หลังจากรู้สึกผ่อนคลายแล้ว อดไม่ได้ที่จะถามว่า “ท่านสามี ที่ทาานกำลังจะไปเป็นขุนนางตำหนักสวรรค์เหรอ? เป็นขุนนางยศสูงขนาดไหนกัน?” ในดวงตาเผยแววเฝ้าคอย นึกไม่ถึงว่าผู้ชายของตัวเองจะทำงานใหญ่ขนาดนี้โดยไม่ให้สุ้มให้เสียง ก่อนหน้านี้ตัวเองดูถูกเขาเกินไป ที่แท้ผู้ชายของตัวเองก็สุขุมนุ่มลึกขนาดนี้ นี่ตัวเองกำลังจะกลายเป็นสตรีสูงศักดิ์ไปด้วยแล้วเหรอ?

ที่นางคิดอย่างนี้ ก็เป็นเพราะเมื่อครู่นี้นางเห็นผู้บัญชาการที่นำทหารมามากมายมีท่าทีสุภาพเกรงใจต่อผู้ชายของนาง

“เจ้าคิดมากไปแล้ว!” กวนเหมิงกลอกตามองเขา…

ที่จริงแล้วตัวอย่างแบบกวนเหมิงก็มีให้เห็นไม่น้อยในเวลานี้ ทัพใหญ่ของเหมียวอี้ไม่เพียงแค่กำลังกวาดล้างพรรคพวกที่เหลือของชิงและพุทธะ แต่อำนาจฝ่ายต่างๆ และบรรดาสำนักที่ก่อนหน้านี้ยืนผิดฝั่ง ช่วยเหลือทัพใหญ่ของชิงและพุทธะต่อต้านทัพใหญ่ของเหมียวอี้ก็อยู่ในขอบเขตของการคิดบัญชีด้วย เหมียวอี้เองก็ไม่มีกำลังมากขนาดนั้นที่จะมาสืบหาสาเหตุให้ครบทุกบ้าน ไม่มีกำลังวังชามาสืบทีละบ้านว่าเป็นผู้บริสุทธิ์หรือเปล่า ถูกบีบบังคับจนไร้ทางเลือกหรือเปล่า ลูกน้องของเขามากมายรบตายไปเพราะคนพวกนี้ ถ้าไม่คิดบัญชี ก็ไม่สะดวกจะชี้แจงกับพี่น้องที่รบตายไปและที่ยังมีชีวิตอยู่

ยังมีอีกสิ่งหนึ่ง เหมียวอี้ต้องการใช้การกวาดล้างครั้งใหญ่เพื่อข่มขวัญและสร้างบารมีให้ตัวเอง ต้องการลบอิทธิพลที่ชิงและพุทธะเคยมีต่อใต้หล้า

อำนาจและสำนักที่เคยสู้กับกำลังพลของตัวเอง เบื้องล่างรายงานขึ้นมาแล้ว ปรับแต่งรายชื่อออกมาแล้ว ต้องนำรายชื่อมาคิดบัญชีทีละฝ่าย

ส่วนในระหว่างนั้นจะมีบางสำนักถือโอกาสใส่ความสำนักที่มีความแค้นเดิมต่อกันอยู่แล้วหรือไม่ การซ้ำเติมแบบนี้คงจะเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ ตอนนี้เหมียวอี้ไม่มีทางไปพิถีพิถันกับสิ่งนี้ เพราะมีบางสำนักที่ในตอนนั้นเสี่ยงอันตรายยืนฝ่ายเดียวกับเขา ต่อสู้ดิ้นรนและสละชีวิตลูกศิษย์ในสำนักไปไม่น้อยเพื่อเขา ดังนั้นกับผลลัพธ์บางอย่างเขาจึงทำได้เพียงปิดตาข้างเดียว คิดเสียว่าเป็นรางวัลให้กับสำนักเหล่านั้นก็แล้วกัน จะใช้เรื่องนี้มาคิดบัญชีหรือไม่ ดูสถานการณ์ตอนหลังแล้วค่อยตัดสินใจอีกที ไม่ได้แปลว่าเหมียวอี้จะไม่สืบหาอีกเลยตลอดไป

เพื่อสิ่งนี้ เหมียวอี้ใช้งานหลากหลายช่องทางแล้ว รวมทั้งอำนาจกับบรรดาสำนักที่อยู่ในการควบคุมตระกูลเซี่ยโห้วด้วย อำนาจและสำนักที่ก่อนหน้านี้ยืนผิดฝั่งไปช่วยทัพใหญ่ของชิงและพุทธะถูกขุดออกมาคิดบัญชีทีละฝ่าย กวนเหมิงก็เป็นตัวอย่างหนึ่งในนั้น เพียงแต่คนประเภทกวนเหมิงก็ไม่รู้เช่นกันว่าตัวเองถูกตระกูลเซี่ยโห้วควบคุมอยู่ กลายเป็นคนของตำหนักสวรรค์อย่างเลอะเลือน

ส่วนที่ไปของคนพวกนี้ สวีถังหรานรู้ดีที่สุด เขาได้รับคำสั่งจากเหมียวอี้แล้ว ว่าให้สร้างองค์กรที่คล้าย ‘หน่วยตรวจการซ้าย’ ของตำหนักสวรรค์ และคนพวกนี้ก็กลายเป็นสายลับในมือสวีถังหรานทั้งหมด การที่คนพวกนี้ทรยศสำนักตัวเอง ก็กลายเป็นจุดด่างพร้อยที่ใหญ่ที่สุดแล้ว สะดวกต่อการควบคุม

แน่นอน ใต้หล้ากว้างใหญ่ขนาดนี้ ถ้าอยากจะสะสางให้สะอาดทั้งหมดนั้นเป็นไปไม่ได้ มีปลาลอดแหไปบ้างเป็นเรื่องปกติ แต่ก็ไม่เป็นไร ถ้าไม่มอบตัว ต่อไปนี้ก็ตกอยู่ในรายชื่อหมายจับ ตามจับไปตลอด จนกระทั่งจับได้ถึงจะหยุด!