บทที่ 685.2 ดวงจันทร์บนฟ้า

กระบี่จงมา! Sword of Coming

หลังจากที่เฉินผิงอันเลื่อนเป็นขอบเขตประตูมังกรก็สามารถหลอมกระบี่โบราณสองเล่มให้กลายเป็นเจียวหลงสองตัวในบ่อน้ำที่เป็น ‘บ่อมังกร’ ของจวนน้ำได้ ส่วนเจียวหลงโชคชะตาน้ำที่แต่เดิมก่อตัวมาจากโอสถวารีนั้นให้เปลี่ยนไปหลอมเป็นไข่มุกโชคชะตาน้ำหนึ่งเม็ดแทน วันหน้าบนเส้นทางการฝึกตน ยิ่งโชคชะตาน้ำหนาข้นมากเท่าไร ระดับขั้นของไข่มุกเม็ดนั้นก็จะยิ่งสูงมากเท่านั้น

ก่อนหน้านั้นมอบกระบี่สั้นอักษรตู๋ไปให้ แล้วบอกถึงผลประโยชน์จากการหลอมกระบี่สั้นอักษรหู อันที่จริงล้วนเป็นการตกเบ็ดของเทวบุตรมารเหมือนครั้งที่เอ่ยถึงธงเซียนกระบี่และป๋ายอวี้จิงจำลอง เอาเหยื่อมาล่อครึ่งหนึ่งแล้วก็เก็บไว้ครึ่งหนึ่ง

เฉินผิงอันไม่ถือสาวิธีการทำการค้าเช่นนี้ของซวงเจี้ยง เพราะถึงอย่างไรก็เป็นการค้าที่ยุติธรรม ไม่ถือว่าเป็นการบังคับซื้อบังคับขายแต่อย่างใด

นอกจากนี้ซวงเจี้ยงยังทยอยใช้ชุดถ้ำเซียนสวรรค์ที่กายธรรมทั้งเหมือนจริงและเหมือนภาพลวงตา ต่างหูงูเขียวที่ห้อยอยู่บนติ่งหูสองข้าง รวมไปถึงเศษชิ้นส่วนร่างทอง เม็ดทรายสีทองทั้งหมดที่แบ่งส่วนแบ่งกันคนละครึ่งกับ ‘สหายฉางมิ่ง’ มาทำการค้ากับเฉินผิงอันได้สำเร็จไปอีกสี่เหรียญเงินร้อนน้อย

ตอนนี้จึงเหลือแค่เงินร้อนน้อยเหรียญสุดท้ายแล้ว

เมื่อรวบรวมเงินฝนธัญพืชครบหนึ่งเหรียญ ตามข้อตกลง เทวบุตรมารซวงเจี้ยงก็สามารถออกไปจากคุกได้ทันที ได้รับอิสระเสรีจากฟ้าสูงแผ่นดินกว้างไร้พันธนาการ อีกทั้งหากมันออกไปจากคุกเมื่อไหร่ เฉินผิงอันก็ดี เฉินชิงตูก็ช่าง ล้วนไม่สามารถวางแผนเล่นงานมันได้อีก ขอแค่มันไม่ติดตามเผ่าปีศาจบุกเข้าไปเข่นฆ่าผู้คนในใต้หล้าไพศาล ไม่ทำร้ายผู้ฝึกกระบี่คนใดก็ตามของกำแพงเมืองปราณกระบี่ จะไปยึดครองพื้นที่หนึ่งตั้งตนเป็นใหญ่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง หรือจะหลบซ่อนตัวอำพรางร่องรอยอยู่ที่ใต้หล้าไพศาล ประคับประคองหุ่นเชิดขึ้นมาสักคนแล้วก่อสำนักตั้งพรรค ก็ล้วนตามแต่ใจมัน

ช่วงเวลาระหว่างนี้ซวงเจี้ยงยินดีจ่ายเงินเกล็ดหิมะเหรียญหนึ่งเพื่อซื้อเรื่องราวเล็กๆ ของการผูกพันธะสัญญาจากเฉินผิงอัน

ผลคือเฉินผิงอันกลับใช้เงินเกล็ดหิมะเหรียญนั้นแลกเปลี่ยนมาเป็นวัตถุดิบที่แท้จริงของตราประทับห้าอสนีทันที

ซวงเจี้ยงพลันเอ่ยว่า “เดิมทีข้านึกว่าเงินเกล็ดหิมะที่ไม่สะดุดตาเหรียญนั้นจะกลายมาเป็นตัวตัดสินแพ้ชนะในการทำการค้าระหว่างเจ้ากับข้า คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเป็นฝ่ายทำลายความกังขาในใจของข้าทิ้งไปอย่างว่องไวเพียงนั้น”

หากซวงเจี้ยงได้เงินร้อนน้อยมาอยู่ในมือแล้วเก้าเหรียญ บวกกับเงินเกล็ดหิมะที่กระจัดกระจายทั้งหลายเหล่านั้น ต่อให้จะอยู่ห่างจากการรวมเงินฝนธัญพืชให้ครบโดยขาดอีกแค่เงินเกล็ดหิมะเหรียญเดียว การค้าขายครั้งนี้ก็ยังไม่ถือว่าสำเร็จอยู่ดี

การค้าของทั้งสองฝ่ายในคราวนี้ ความน่ากระอักกระอ่วนของเทวบุตรมารซวงเจี้ยงนั้นอยู่ที่ว่าขาดเงินร้อนน้อยเหรียญหนึ่ง ต้องตาย ทว่าต่อให้ขาดเงินเกล็ดหิมะอีกแค่เหรียญเดียวก็ยังต้องตายอยู่ดี

เฉินผิงอันยังคงหลับตา แต่กลับเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “แรกเริ่มเคยคิดจะเล่นตุกติกกับเงินเกล็ดหิมะเหรียญนี้ แต่ภายหลังข้าเปลี่ยนใจแล้ว”

ซวงเจี้ยงหยุดนิ่ง ถามอย่างเป็นกังวลว่า “เงินร้อนน้อยเหรียญสุดท้ายคงไม่คิดว่าจะไม่ให้ข้าแล้วกระมัง? บรรพบุรุษอิ่นกวานท่านอย่าทำการค้าแบบนี้เด็ดขาดเชียวนะ เสียภาพลักษณ์เกินไปแล้ว”

เฉินผิงอันลืมตาขึ้น ส่ายหน้าเอ่ย “แน่นอนว่าไม่ นับตั้งแต่ที่ข้าทำการค้าเงินร้อนน้อยเหรียญแรกกับเจ้า เจ้าก็สามารถมีชีวิตอยู่รอดได้แล้ว”

ซวงเจี้ยงพยักหน้ารับเบาๆ กล่าวอย่างคลางแคลงว่า “ข้าเข้าใจเรื่องนี้ เพียงแต่ว่าไม่เคยกล้าเชื่อ”

เฉินผิงอันเอ่ย “เจ้าอยากพบซวงเจี้ยงอีกครั้งขนาดนี้เชียวหรือ? สำหรับเทวบุตรมารนอกโลกตนหนึ่งที่ได้รับอิสระอย่างเต็มที่ ยังต้องดึงดันเพียงนี้ด้วยหรือ?”

ทั้งสองเงียบงันกันไปครู่หนึ่ง ก่อนที่เฉินผิงอันจะกล่าวต่อว่า “พวกเจ้าไม่ได้เป็นคู่รักเทพเซียนอะไรกันอีกแล้ว นอกจากนี้ตบะและสภาพจิตใจของเจ้าต้องคอยตามติดเป็นเงาเหมือนยามอยู่ร่วมกับผู้ฝึกตนใหญ่ซวงเจี้ยงตั้งแต่เมื่อไหร่?”

เพราะจิตมารของซวงเจี้ยง ก็คือสตรีที่เขารัก

น่าจะเป็นโชควาสนาอย่างหนึ่งหลังจากที่ซวงเจี้ยงเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบน กระทั่งซวงเจี้ยงเลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยาน หรืออาจมีความเป็นไปได้ว่าอยู่ในช่วงที่พยายามจะเลื่อนสู่ขอบเขตที่หายสาบสูญไปแล้ว เทวบุตรมารนอกโลกตนนี้ถึงได้ถือกำเนิดขึ้นมาอย่างแท้จริง เพียงแต่ว่าซวงเจี้ยงไม่อาจกำจัดจิตมารนี้ได้เสียที สุดท้ายต่างคนต่างแยกย้ายกันไปอยู่คนละขอบฟ้า คาดว่าเป็นซวงเจี้ยงที่ใช้คาถาเซียนลัทธิเต๋าบางอย่างที่ลี้ลับมหัศจรรย์ถึงทำได้เพียงขับไล่จิตมารออกไป แต่ไม่อาจกำราบได้อย่างแท้จริง และไม่อาจสังหารจิตมารนี้ทิ้งได้ เพียงแต่ว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเพียงการคาดเดาอย่างไร้หลักฐาน ความจริงเป็นอย่างไร สวรรค์เท่านั้นที่รู้ เว้นเสียจากว่าในอนาคตเฉินผิงอันได้ไปเยือนใต้หล้ามืดสลัวแล้วได้พบกับ ‘ซวงเจี้ยง’ ตัวจริงคนนั้น

เทวบุตรมารหรี่ตาลงถามว่า “เจ้าเดาออกได้อย่างไร? เป็นผ้าเช็ดหน้าซึ่งเป็นของของสตรีผืนนั้นที่เปิดเผยพิรุธของข้า หรือเป็นเพราะตอนที่เจ้าลูบหัวข้าแล้วข้าเบี่ยงหลบตามสัญชาตญาณ?”

เฉินผิงอันย้อนถาม “เดาอะไรกัน ไม่ใช่ว่าเจ้าจงใจให้ข้ารู้ความจริงหรอกหรือ?”

เทวบุตรมารที่มีรูปลักษณ์เป็นเด็กชายผมขาวพลันคลี่ยิ้มหวาน ลอยตัวอยู่กลางอากาศ ปรบมือเบาๆ เอ่ยชื่นชมจากใจจริง “บรรพบุรุษอิ่นกวานช่างดีนัก เฉินผิงอันไม่เคยทำให้คนผิดหวังเลยจริงๆ”

เฉินผิงอันเอ่ย “เงินร้อนน้อยเหรียญสุดท้าย พวกเรามาทำสัญญาร้อยปีกัน ก่อนที่ข้าและเจ้าจะกลับมาพบกันใหม่อีกครั้ง เจ้าต้องช่วยข้าคุ้มครองคนคนหนึ่งอย่างลับๆ”

เด็กชายผมขาวดีดต่างหูงูเขียวเบาๆ เอ่ยว่า “ใต้หล้าแห่งที่ห้าอนุญาตให้แค่ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่างเข้าไปเท่านั้น ข้าไม่กล้าละเมิดกฎของลัทธิขงจื๊อหรอกนะ มีใจแต่ไร้กำลัง การค้าครั้งนี้ทำให้ข้าลำบากใจแล้ว เฉินผิงอัน แบบนี้เจ้าไร้คุณธรรมแล้วนะ คิดจะจงใจทำให้ข้าลำบากใจใช่ไหม?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “อาจารย์ของข้าอยู่ที่นั่น เชื่อว่าสุดท้ายแล้วอริยะลัทธิขงจื๊อคนที่เฝ้าด่านย่อมยอมหลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่งกับเจ้า แต่เจ้ามีโอกาสลงมือแค่ครั้งเดียว หลังจากนั้นอย่างมากสุดเจ้าก็จะถูกอริยะลัทธิขงจื๊อขับไล่ออกจากอาณาเขต ถึงเวลานั้นเจ้าก็ทำตามทางถอยที่อาจารย์ของข้าจัดการให้ ไม่ว่าจะกลับมายังใต้หล้าไพศาล ไปตั้งรกรากอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่ว หรือถูกขังอยู่ในสวนป่ากงเต๋อ ข้าก็จะไปหาเจ้า ไม่ว่าจะต้องจ่ายค่าตอบแทนแบบใด ข้าล้วนจะทำตามสัญญา มอบอิสระคืนให้แก่เจ้า หากเจ้าไม่ได้ลงมือ ข้าก็จะไปเจอกับเจ้าที่ใต้หล้าแห่งที่ห้าเอง”

เด็กชายผมขาวถาม “แล้วหากเกิดหนึ่งในหมื่นขึ้นล่ะ?”

เฉินผิงอันเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “หากข้าไม่สามารถไปหาเจ้าตามสัญญาได้ หนึ่งร้อยปีให้หลัง ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็จะยังได้รับอิสระอยู่ดี”

เด็กชายผมขาวเริ่มล่องลอยไปมารอบศาลาอีกครั้งคล้ายกำลังชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสีย

ก่อนจะเริ่มไล่เรียงรายละเอียดกับอิ่นกวานหนุ่ม “บัณฑิตรักหน้าตาเป็นที่สุด ให้ข้าอาดๆ เข้าไปแฝงตัวอยู่ในจิตวิญญาณของผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งเช่นนี้ แบบนั้นก็ไม่ถือว่าเป็นการซ่อนตัวแล้ว ต่อให้มีอาจารย์ของเจ้าคอยช่วยเหลือก็ยังไม่เหมาะอยู่ดีกระมัง? หากเหนี่ยนซินสามารถไปเยือนใต้หล้าแห่งที่ห้าได้เหมือนกัน จิตวิญญาณของนางแข็งแกร่งมากพอ แต่นางเป็นขอบเขตหยกดิบก็ไปไม่ได้เหมือนกันนี่นา เรื่องนี้จะโทษข้าไม่ได้นะ ปีศาจใหญ่ของศาลาจัวฟ่างตนนั้น หนึ่งเพราะมีการศึกษาคาถาอาคมเฉพาะด้าน นอกจากนี้การที่มันสามารถซ่อนตัวอยู่ในจุดลึกของจิตวิญญาณผู้ฝึกกระบี่โอสถทองเปียนจิ้ง หลอกพวกเซียนกระบี่ทั้งหลายมาได้สำเร็จ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ลุล่วงในวันเดียว หากเจ้าให้เวลาข้าสักสามปีห้าปี ข้าถึงจะมั่นใจว่าจะสามารถหาตัวผู้ฝึกตนโอสถทองคนหนึ่งแล้วเป็นนกพิราบเข้ายึดครองรังนกกางเขนได้”

เฉินผิงอันกล่าว “ข้าย่อมหาจุดซ่อนตัวให้เจ้าเอง”

เด็กชายผมขาวพูดอย่างปลงอนิจจัง “บรรพบุรุษอิ่นกวานช่างคิดได้รอบคอบนัก ต่อให้ข้าจะมีคำพูดเป็นพันเป็นหมื่น แต่พอคำพูดมาจ่อรอตรงปากกลับพูดไม่ออกสักคำ”

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ห้อยกระบี่พิฆาตไว้ข้างเอว “หากเจ้าตอบตกลงจะทำเรื่องนี้ ก็รบกวนผู้อาวุโสด้วย วันหน้าหากไปอยู่ใต้หล้าแห่งใหม่นั้น อย่าได้มีการกระทำใดๆ ที่เกินความจำเป็น อย่าได้ ‘ลองทำดู’ อีก ไม่อย่างนั้นเจ้าก็ต้องจุดธูปขอพรพระทุกวัน ภาวนาให้ข้าตายอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้”

เฉินผิงอันหัวเราะ หรี่ตากล่าว “ในอดีตก่อนจะต่อยตีกับใคร ข้าไม่เคยชอบพูดข่มขู่ใดๆ วันนี้กลับยอมแหกกฎเพื่อผู้อาวุโส โปรดทะนุถนอมและเห็นค่า”

เด็กชายผมขาวไม่มีสีหน้าทะเล้นอีกต่อไป แต่ก้มกราบอย่างนอบน้อม “น้อมรับคำสั่งท่านบรรพบุรุษ นับแต่บัดนี้ไป การค้าหนึ่งเหรียญเงินฝนธัญพืชนับว่าสำเร็จแล้ว”

เฉินผิงอันทิ้งตัวลงนอนหงายหลัง ใช้สองมือสอดรองไว้ใต้ท้ายทอย เอ่ยว่า “นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าจะลองหยั่งเชิงตบะตื้นลึกของเมิ่งโผและชิงชิว หากแม้แต่การเผชิญหน้ากับพวกมันก็ยังรู้สึกเหมือนถูกมัดมือมัดเท้า ถ้าอย่างนั้นวันหน้าก็ต้องรบกวนให้เจ้าลงมือแทนแล้ว”

เฉินผิงอันหลับตาลง “เจ้าอาจจะจงใจทำให้ข้ารู้ถึงตัวตนที่เป็นสตรีของตัวเอง ให้ข้าเข้าใจผิดคิดว่าเจ้าคือจิตมารที่เกิดจากสตรีที่ซวงเจียงรัก อันที่จริงทุกอย่างล้วนเกิดจากเวทอำพรางตาทั้งสิ้น แต่ก็ไม่เป็นไร เจ้าชนะแล้ว ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ได้แพ้อะไร”

สีหน้าของเด็กชายผมขาวเศร้าสลด “เมื่อโชคดีจากไปวีรบุรุษก็ไร้เสรี เห็นท่าทางของวีรบุรุษที่อับจนหนทางของท่านบรรพบุรุษแล้ว ก็ช่างทำให้คนปวดใจจริงๆ”

เฉินผิงอันยื่นมือมาชักดาบออกจากฝัก ไม่แม้แต่จะปรายตามองเทวบุตรมาร ดาบนั้นก็ฟันฉับออกไปอย่างว่องไว เพียงไม่นานเทวบุตรมารก็มารวมร่างใหม่อีกครั้ง กระโดดโลดเต้นพลางชูนิ้วโป้งไปทางศาลา สลับมือสองข้างซ้ำไปซ้ำมา “ไม่ใช่วีรบุรุษที่สามารถประคองผืนฟ้า แต่ก็เป็นผู้กล้าที่สามารถสั่งสอนให้ผืนดินล่มจม ท่านบรรพบุรุษ…โอ้โห ท่านช่างมีวิชาดาบที่ร้ายกาจจริงๆ!”

เหนี่ยนซินนั่งอยู่บนขั้นบันไดห่างออกไป มองเทวบุตรมารนอกโลกและคนชุดเขียวที่อยู่ในศาลา การจากลาใกล้เข้ามาแล้ว มีความเป็นไปได้มากว่าจะต้องแยกจากกันไปคนละทิศทาง นางพลันรู้สึกอาลัยอาวรณ์เล็กน้อย

คนเย็บผ้าเช่นนาง บนเส้นทางของการฝึกตนในชีวิตนี้ไม่เคยมีช่วงเวลาที่ครึกครื้นแต่กลับสงบสุขมั่นคงเช่นนี้มาก่อน ไม่ต้องกังวลเรื่องแผนการบนภูเขาที่มีมากมายจนคนป้องกันไม่ทัน แล้วก็ไม่ต้องทนเห็นแววตาที่คนอื่นมองนางเหมือนมองผี

……

คนกลุ่มหนึ่งสามคนเดินอยู่บนถนนใหญ่ที่เงียบสงัด ลี่ไฉ่สวมชุดตัวยาวสีขาวหิมะ ตรงเอวห้อยกระบี่พก ‘ซวงเจียว’ ที่ฝักกระบี่เรียวบางเป็นสีขาวหิมะ กระบี่ยาวที่อยู่ในฝักหักเป็นสองท่อนไปแล้ว

นอกจากเจ้าสำนักหญิงแห่งสำนักทะเลสาบกระบี่ฝูผิงท่านนี้แล้วยังมีเด็กหนุ่มเฉินหลี่ เด็กสาวเกาโย่วชิงที่ต่างก็ติดตามลี่ไฉ่ไปอยู่อุตรกุรุทวีป กลายเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของลี่ไฉ่

ลี่ไฉ่ยอมรับว่าตัวเองไม่ได้มีมาดองอาจห้าวหาญเหมือนอย่างลู่จือ รูปโฉมของนางกลับคืนมาเป็นปกติดังเดิมแล้ว รอยแผลตรงโหนกแก้มเห็นไม่เด่นชัด เพียงแต่สีหน้ายังซีดขาว เห็นได้ชัดว่าอาการบาดเจ็บยังไม่หายดี ภัยซ่อนแฝงที่แท้จริงอยู่ที่เกล็ดหิมะกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของลี่ไฉ่ที่ได้รับความเสียหายอย่างหนัก คาดว่าชีวิตนี้คงไม่ต้องหวังจะได้เป็นขอบเขตเซียนเหรินแล้ว ตัวลี่ไฉ่เองก็ไม่ได้คิดมาก สตรีหากขอบเขตสูงก็ง่ายที่จะออกเรือนไม่ได้ ต่อให้นิสัยดีแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์

พอเซียนกระบี่หญิงท่านนี้มาถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็เปิดฉากเข่นฆ่าไม่เคยหยุดพัก พาตัวไปเป็นทหารแนวหน้าในทุกครั้ง เมื่อหลายปีก่อนคฤหาสน์หลบร้อนมีกฎเกณฑ์มากมาย กระบี่บินส่งข่าวของสายอิ่นกวานน่ารำคาญเป็นที่สุด และยิ่งพันธนาการควบคุมเซียนกระบี่อย่างหนัก ในบรรดาผู้ฝึกกระบี่มากมาย ปีนั้นคนที่ด่าอิ่นกวานหนุ่มมากที่สุด ด่าอย่างใส่อารมณ์มากที่สุดต้องมีนางลี่ไฉ่เป็นหนึ่งในนั้น เหนือกว่าผู้ฝึกกระบี่ในท้องถิ่นแน่นอน

หลังจากที่ลี่ไฉ่ถอนตัวออกจากหัวกำแพงเมืองมาด้วยอาการบาดเจ็บสาหัส นางยอมสละคุณความชอบทางการสู้รบทุกอย่าง แค่ขอกระบี่ยาวเล่มหนึ่งจากหอกระบี่และชุดคลุมอาคมตัวหนึ่งมาจากหอภูษาของกำแพงเมืองปราณกระบี่เท่านั้น

นางมีเพื่อนรักคนหนึ่ง ไท่เสียหยวนจวิน หลี่อวี๋ พวกนางเคยนัดหมายกันว่าจะมาสังหารปีศาจที่กำแพงเมืองปราณกระบี่

พอไปถึงร้านเหล้า ฉี่ไล่อ่านป้ายสงบสุขครบทุกแผ่น สุดท้ายกระชากป้ายสงบสุขแผ่นหนึ่งลงมากำไว้ในมือแน่น

นางไม่รีบร้อนกลับไปที่อุตรกุรุทวีป แต่จะไปหาประสบการณ์ที่ทักษินาตยทวีปก่อน ยกตัวอย่างเช่นไปเยือนภูเขาของเซียนกระบี่หยวนชิงสู่สักครั้ง

บนร่างของลี่ไฉ่ยังมีน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่สภาพพังยับเละเทะอยู่ชิ้นหนึ่ง เป็นของที่หยวนชิงสู่ทิ้งไว้ ควรจะนำไปมอบกลับคืนให้สำนักของข้า

ในอดีตตอนอยู่บนหัวกำแพงเมือง หยวนชิงสู่เคยยิ้มเอ่ยกับเซียนกระบี่ในท้องถิ่นอย่างเกาขุยว่า ใช้น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่บรรจุเหล้า แล้วใช้นามของปีศาจใหญ่มาเป็นกับแกล้ม รสชาตินั้นเลิศล้ำเกินบรรยาย

ผลคือคนทั้งสองล้วนตายกันไปหมดแล้ว

หลี่ไฉ่หันหน้าไปมองศีรษะเล็กๆ สองศีรษะที่ยื่นออกมาจากหน้าประตูร้าน ยิ้มเอ่ยว่า “บอกกับเถ้าแก่รองสักคำว่าป้ายสงบสุขแผ่นนี้ ลี่ไฉ่เอาไปแล้ว”

เฝิงคังเล่อกล่าว “จะเป็นอะไรไป เชิญเอาไปได้เลย สตรีที่หน้าตางดงามขนาดนี้ เถ้าแก่รองมาเห็นเข้า แม้แต่ผายลมก็ยังไม่กล้าปล่อยด้วยซ้ำ”

ไปจ่ายเงินซื้อเหล้าที่ร้านอื่นดื่มก็ช่างเถิด ยังจะปล่อยให้คนเอามาลือกันเซ็งแซ่ ขายหน้าร้านตัวเองยิ่งแล้ว

เถาป่านความจำดี จำลูกค้าทุกคนที่มาซื้อเหล้ามาดื่มเหล้าที่ร้านได้หมด จึงถามว่า “พี่หญิงลี่ เหตุใดเถ้าแก่รองของพวกเราถึงไม่โผล่หน้ามาเลย? หรือว่าเขาสวมหน้ากากสตรี ประโคมเสริมแต่งตัวเองด้วยเสื้อผ้าฉูดฉาด แอบออกไปสังหารปีศาจอีกแล้ว?”

ลี่ไฉ่หัวเราะเสียงดัง “พี่หญิงลี่? เถ้าแก่รองสอนเจ้าหรือ?”

เถาป่านพยักหน้า

เฝิงคังเล่อบนว่า “เจ้าพยักหน้ารับอย่างโง่งมทำไม แบบนี้ทำให้หมดความจริงใจแล้ว”

ลี่ไฉ่หุบยิ้ม เอ่ยว่า “เอาเหล้าแต่ละชนิดมาให้ข้าอย่างละกา ข้าจะเอาไปทักษินาตยทวีป”

เกาโย่วชิงใช้กระบี่บินสลักตัวอักษรไว้บนป้ายสงบสุข เฉินหลี่เห็นเข้าก็กลอกตา “ผังหยวนจี้ผู้นั้นมีอะไรให้น่าชื่นชอบกัน”

เกาโย่วชิงหันกลับมา ซ่อนแผ่นป้ายเอาไว้ พูดอย่างอับอายจนพานเป็นโกรธ “ไม่ใช่เรื่องของเจ้า”

ลี่ไฉ่ยืนอยู่บนธรณีประตูของร้านเหล้า ทอดสายตามองไปยังหัวกำแพงเมือง

นางมาที่นี่ก็เพื่อออกกระบี่อย่างสะใจ คิดไม่ถึงว่าเวทกระบี่ของตนจะอยู่ไกลเกินกว่าคำว่าพอ สุดท้ายยังติดค้างบุญคุณใหญ่เทียมฟ้ากับเซียนกระบี่เหยา ประเด็นสำคัญคือวันหน้านางจะชดใช้คืนอย่างไร? แล้วจะสามารถใช้คืนได้หรือไม่?

เด็กหนุ่มมีสีหน้าเปลี่ยวเหงา “อาจารย์ วันหน้าข้าก็จะเป็นลูกศิษย์ของทะเลสาบกระบี่ฝูผิงแล้วหรือ?”

ลี่ไฉ่เอ่ย “ลองเลียนแบบเถ้าแก่รองดูสิ ใต้หล้าไพศาล อิ่นกวานเฉินผิงอัน กำแพงเมืองปราณกระบี่ เฉินหลี่แห่งทะเลสาบกระบี่ฝูผิง ต่างฝ่ายต่างไม่ถ่วงรั้งกัน สุดท้ายแล้วบ้านเกิดก็อยู่ตรงหน้า สถานะและการฝึกตนอยู่เบื้องหลัง ไม่ถือว่าลืมกำพืดของตน”

เด็กหนุ่มพยักหน้า เป็นวิธีที่ดี

——