บทที่ 2237 ฝ่าบาทโปรดไว้ชีวิต

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พอเฟยหงมาถึง เสือสิงห์กระทิงแรดที่จ้องสาวงามตาเป็นมันอยู่ด้านนอกก็สงบเสงี่ยมทันที มีเฟยหงมาคุมที่นี่ ต่อให้กล้าขนาดไหนก็ไม่กล้าบุกเข้ามาแล้ว

เพียงแต่คนที่ทอดถอนใจก็มี มีคนมากมายเขาใจดี ว่าเวลานี้กฎใหม่ยังไม่ถูกตั้งขึ้น ขอเพียงไม่ขัดคำสั่งทางทหาร กับบางสิ่งถ้าจะใช้กลยุทธ์จูงแพะติดมือ เบื้องบนก็จะแกล้งปิดตาข้างเดียว สิ่งใดที่เรียกว่าไม่ขัดคำสั่งทหารล่ะ? ก็คือสิ่งที่เบื้องบนไม่ได้ห้ามให้เจ้าไปทำไงล่ะ สำหรับเรื่องสนมนักโทษที่อุทยานหลวง เหมือนเบื้องบนทรายยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะจัดการอย่างไร

เวลาทำศึกสงครามข้างนอก แล้วถือโอกาสปล้นของบนตัวศพรวยๆ เบื้องบนก็จะปิดตาข้างเดียว เรื่องบางเรื่องเห็นได้ชัดว่ากำลังให้ท้ายอย่างเงียบๆ ในเวลานี้เบื้องบนไม่สะดวกจะลงโทษกำลังพลที่สร้างผลงานการรบมากขนาดนี้ ทุกคนถือศีรษะไปเสี่ยงตายทำงานรับใช้ จะไม่ได้รับผลประโยชน์บ้างได้อย่างไร การตบรางวัลตามผลงานหลังจากจบเรื่องแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะให้ทุกคนอย่างเท่าเทียมกันหมด เป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้ทุกคนพอใจ ในเวลานี้การส่งเสริมให้ท้ายก็เป็นเรื่องที่จำเป็นเช่นกัน ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ เบื้องบนก็จำเป็นต้องจับจุดอ่อนบางอย่างไว้ ถ้าหลังจากนี้มีคนไม่พอใจกับรางวัลที่ได้รับ เช่นนั้นก็ต้องพิจารณาแล้วว่าเรื่องปล้นสะดมที่เจ้าทำควรจะเอาเรื่องหรือไม่

ตอนนี้เป็นเวลาที่ต้องตีให้พังแล้วสร้างขึ้นใหม่ โอกาสที่เบื้องบนไม่ยอมปิดตาข้างเดียวแบบนี้ ในภายหลังจะไม่มีอีกแล้ว เมื่อกฎกติกาใหม่ถูกสร้างขึ้นมา ผู้ที่ได้ประโยชน์ก็จะต้องรักษากฏไว้แน่นอน ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ล้วนต้องทำตามกฎกติกา ทุกคนอยากจะทำอย่างนี้อีกก็ไม่กล้าแล้ว

ส่วนกำลังพลที่เคลื่อนทัพมาบริเวณวังสวรรค์ จะมีใครกล้าคิดไม่ซื่อกับวังสวรรค์เชียวหรือ? ไม่มีทรัพยากรอะไรให้ตักตวง สายตาก็ย่อมเพ่งเล็งมาที่อุทยานหลวง พวกท้อเซียนก็ถูกเด็ดขโมยไปหมดเกลี้ยงแล้ว ต่อให้รู้ว่าเป็นฝีมือของกำลังพลเบื้องล่าง แต่ต่อไปเหมียวอี้ก็ไม่มีทางเอาเรื่องลูกน้องเพราะเรื่องเล็กน้อยอย่างการขโมยท้อเซียน หลังจากได้สิ่งที่สมควรจะได้มาไว้ในมือแล้ว ทุกคนก็ย่อมเพ่งเล็งไปที่ผู้หญิงในสวนกลางเขียวขจี สำหรับผู้ชายเหล่านี้ นี่คือของดียิ่งกว่ารางวัลใดๆ ต่างก็อยากจะกอบโกยกลับไปปรนนิบัติตัวเอง

แต่สวนกลางเขียวขจีดันมีแม่เฒ่าลวี่คุมอยู่ แม่เฒ่าลวี่คือท่านแม่บุญธรรมของเฟยหง ทำให้ทุกคนหวั่นเกรง ไม่อย่างนั้นคงถูกชิงไปหมดตั้งนานแล้วมีหรือที่จะรอจนถึงตอนนี้

“ฝ่าบาทหมายความว่ายังไง?” แม่ทัพภาคเสิ่นที่ออกจากสวนกลางเขียวขจีพึมพำ

ลูกน้องคนหนึ่งถามว่า “ฝ่าบาทคงจะไม่เก็บไว้เสพสุขเองทั้งหมดหรอกใช่มั้ย?”

แม่ทัพภาคเสิ่นส่ายหน้า “ถ้าฝ่าบาทได้กินเนื้อแล้วไม่แบ่งแม้กระทั่งน้ำแกงให้ลูกน้องเลยสักคำ แบบนั้นก็เกินไปแล้ว! น่าเสียดาย ถ้าตอนนี้พวกเราคว้ามาไม่ได้ ต่อไปนี้พวกเราก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแล้ว ต่อไปสายตาของกลุ่มคนเบื้องบนก็จะจับจ้องมาที่นี่ ของดีจริงๆ มีหรือที่จะมาแบ่งกับพวกเรา เป็นเพราะขี้ขลาดลงมือช้าไปหน่อย…”

ในสวนกลางเขียวขจี เฟยหงพูดคุยถามสารทุกข์สุขดิบอยู่ข้างกายแม่เฒ่าลวี่ สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “ท่านแม่บุญธรรม ท่านจะลำบากขนาดนี้ทำไม?”

นางไปขอร้องต่อหน้าเหมียวอี้เพื่อเรื่องนี้ แต่ถึงแม้จะทำอย่างนั้น เหมียวอี้ก็ยังไม่รับปาก ด้วยเหตุนี้นางจึงรู้ชัดอยู่แก่ใจ ว่าแม่เฒ่าลวี่ไม่อาจปกป้องคนพวกนี้ไว้ได้ นางมาที่นี่ด้วยตัวเองก็ยังพอปกป้องไว้ได้ชั่วคราว

แม่เฒ่าลวี่เข้าใจสิ่งที่นางถาม ตอบช้าๆ ว่า “เดิมทีทั้งหมดล้วนเป็นคนตาย เป็นข้าเองที่ไปพูดกับประมุขชิงเพื่อปกป้องพวกนาง เรื่องที่รับปากไว้แล้วก็ย่อมต้องทำให้ดีที่สุด”

เฟยหงกลุ้มใจ “ท่านแม่บุญธรรม เรื่องเปลี่ยนยุคสมัยไม่ใช่สิ่งที่พวกเราจะแทรกแซงได้เลยจริงๆ ท่านได้ยินเรื่องแบบนี้มาน้อยเสียที่ไหนกัน?”

ที่จริงเรื่องแบบนี้ตระกูลของนางก็เป็นตัวอย่างหนึ่ง ในปีนั้นที่ตระกูลไท่ซูถูกยึด มีคนตั้งเท่าไหร่ที่หัวหลุดลงพื้น มีคนไม่น้อยที่ได้รับความอัปยศเต็มที่ ยังไม่ต้องพูดถึงคนอื่น ยกตัวอย่างเช่นมารดานาง หลินอ้าวเสวี่ย คนที่งดงามระดับนั้นถูกกักบริเวณไว้ในสถานที่แบบนั้น พวกทหารยามที่สามารถตัดสินความเป็นความตายจะเป็นคนดีกันหมดเชียวหรือ? จะหลบเลี่ยงไม่ให้โดนหยามเกียรติได้อย่างไร เพียงแต่เรื่องแบบนี้ทุกคนต่างรู้อยู่แก่ใจ ถึงไม่ไปถามหลินอ้าวเสวี่ย ไม่อย่างนั้นจะให้หลินอ้าวเสวี่ยทนความรู้สึกได้อย่างไร เรื่องบางเรื่องไม่มีทางเลือกจริงๆ ได้แต่ทำเป็นไม่เห็นและไม่รู้

ลองพูดถึงตัวนางเอง ก็ตกต่ำถึงขั้นไปอยู่ในหอนางโลมแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะโชคดีเจอกับเหมียวอี้ แค่คิดก็รู้ว่าจุดจบจะเป็นอย่างไร บางครั้งลองนึกย้อนไป แม้แต่ตัวนางเองก็ยังรู้สึกว่าตัวเองช่างดวงดีจริงๆ ได้เจอกับผู้ชายคนหนึ่งที่ดีต่อนาง โชคชะตาที่ตกต่ำเหมือนอยู่ในนรกพลิกผันเยอะมาก

แม่เฒ่าลวี่ถอนหายใจเบาๆ “นางหนู เรื่องบางเรื่องยายแก่คนนี้ก็แค่ถามความตั้งใจเดิมของตัวเอง ดังนั้นต้องทำให้เต็มที่ เจ้าต้องช่วยค่าคิดหาทางด้วย! ตอนนี้นอกจากเจ้าแล้ว คงไม่มีใครไว้หน้ายายแก่คนนี้หรอก ข้าทำได้เพียงขอให้เจ้าช่วย”

เฟยหงเม้มริมฝีปาก เรื่องนี้ทำให้น้องลำบากใจจริงๆ แต่ก็ยากที่จะปฏิเสธคำขอของแม่เฒ่าลวี่ ไม่ใช่เพียงเพราะเป็นท่านแม่บุญธรรมของตัวเอง แต่เป็นเพราะตอนแรกแม่เฒ่าลวี่มองออกถึงความสัมพันธ์ระหว่างนางกับหนิวโหย่วเต๋อ แต่กลับไม่เปิดโปง เรืองนี้ไม่ใช่แค่ช่วยนางไว้ เท่ากับช่วยชีวิตมารดาของนางไว้ด้วย ไม่อย่างนั้นถ้าเรื่องนั้นถูกเปิดโปง มารดาของนางคงจะไม่มีชีวิตอยู่ต่อแล้ว มีหรือที่จะอยู่ถึงตอนหลังให้คนช่วยออกมา

หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก็ตอบอย่างลังเลว่า “ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ คนที่สามารถกดดันให้ฝ่าบาทยอมถอยได้ คนที่สามารถขู่ขุนนางใหญ่ทุกคนได้ เกรงว่าจะมีแค่ราชินีสวรรค์แล้ว ข้าจะคิดหาทางไปขอร้อง ส่วนผลลัพธ์สุดท้ายจะเป็นยังไง ข้าก็รับประกันไม่ได้ค่ะ”

“ราชินีสวรรค์…” แม่เฒ่าลวี่พึมพำ นางนึกถึงเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบาๆ แล้วถามว่า “ยังขู่พวกขุนนางใหญ่ทุกคนได้ด้วยเหรอ? อวิ๋นจือชิวมีอิทธิพลมากขนาดนี้เชียวหรือ?”

เฟยหงพยักหน้าเบาๆ “ฝ่าบาทไม่ใช่คนละเอียดขนาดนั้น มีหลายเรื่องที่ต้องให้เหนียงเหนียงช่วยจัดการด้วยตัวเอง ในด้านนี้เหนียงเหนียงก็ถือเป็นคนที่มีความสามารถจริงๆ แม้เหนียงเหนียงจะรับผิดชอบงานจิปาถะ แต่ก็ไม่เคยสร้างปัญหายุ่งยากอะไรให้ฝ่าบาทเลย สามารถจัดการทุกอย่างได้อย่างเหมาะสม ภายนอกดูเหมือนเหนียงเหนียงไม่มีอำนาจทางทหาร แต่ความจริงแล้วทั้งในที่ลับและที่แจ้ง มีหลายเรื่องที่เหนียงเหนียงมีอำนาจแทรกแซงโดยตรง ที่จริงช่องทางรายได้ต่างๆ ล้วนถูกควบคุมอยู่ในมือเหนียงเหนียง บรรดาภรรยาของแม่ทัพหลายคนก็เป็นเหนียงเหนียงนี่แหละที่เป็นแม่สื่อดว้ยตัวเอง เหนียงเหนียงเข้าสังคมเก่งมากด้วย ใช้ทั้งไม้อ่อนไม้แข็งร่วมกัน ใช้ทั้งพระเดชพระคุณ ลูกน้องของฝ่าบาทไม่ว่าจะเป็นทหารอารักขาแม่ทัพที่อยู่ด้านนอกก็ล้วนนับถือเหนียงเหนียงมาก ยามปกติอาจจะไม่แสดงผลงานอะไร แต่ที่จริงเหนียงเหนียงช่วยทำให้บ้านของฝ่าบาทมั่นคงไปเกินครึ่ง เป็นเพราะไม่มีความกังวลเรื่องในบ้าน ฝ่าบาทถึงได้บุกยึดใต้หล้าได้เต็มที่ จะบอกว่าฝ่าบาทมีภรรยาดีคอยช่วยก็ไม่ถือว่ากล่าวเกินไป ถ้าเหนียงเหนียงสามารถแทรกแซงเรื่องนี้ได้ ฝ่าบาทก็คงจะพิจารณาอย่างระมัดระวัง ขุนนางใหญ่พวกนั้นยังไว้หน้าเหนียงเหนียบ้าง น่าจะออกคำสั่งควบคุมลูกน้องตัวเอง เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับผู้หญิง คงจะได้ผลกว่าให้ฝ่าบาทเอ่ยปากเอง นางอาจจะไปหาคนในครอบครัวของขุนนางใหญ่เหล่านั้น แค่พูดสักสองสามคำก็แก้ไขปัญหาได้แล้ว แต่กลัวว่านางจะไม่ยอมไปก้าวก่ายเรื่องนี้ ข้าทำได้เพียงลองขอร้องดู”

แม่เฒ่าลวี่ทั่วท่าครุ่นคิด แล้วกล่าวอย่างปลงอนิจจังมากว่า “ดูท่าแล้ว นางมีโชคชะตาที่จะเป็นมารดาแห่งใต้หล้าจริงๆ!”

ทั้งสองเดินเนิบนาบอยู่ในสวนกลางเขียวขจี

คุยไปคุยมา จู่ๆ แม่เฒ่าลวี่ก็หันกลับมาถามว่า “ซิง อ๋องอสรพิษดำคนนั้นเหมือนจะมีธุระนะ”

เฟยหงหันมองตาม เห็นเพียงซิงหยุดเดินอยู่ตรงจุดที่ไม่ไกล ในมือกำระฆังดารา สีหน้าค่อนข้างแย่

แม่เฒ่าลวี่ยื่นมือบอกใบ้ แล้วทั้งสองก็เดินกลับไปอีก เฟยหงเข้ามใกล้แล้วถามว่า “ท่านพี่ซิง เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

ซิงกัดริมฝีปาก แล้วกล่าวเน้นย้ำอย่างชัดเจนว่า “กำลังพลของฝ่าบาทบุกเข้าสระน้ำมังกรดำแล้ว จับตัวพี่น้องเผ่าอสรพิษดำของข้าไปไม่น้อย แม้แต่อ๋องอสรพิษดำโม่โหยวก็โดนควบคุมตัวเหมือนกัน”

เฟยหงตกใจ ถามว่า “ทำไมต้องจับพี่น้องเผ่าอสรพิษดำ?”

ซิงกล่าวอย่างคับแค้นใจว่า “บอกว่าเผ่าอสรพิษดำมีคนสมคบกับชิงและพุทธะรวมทั้งพวกโค่วหลิงซวีด้วย แต่ทุกคนก็รู้สถานการณ์ตอนนั้น เผ่าอสรพิษดำต้องรักษาความสัมพันธ์กับฝ่ายต่างๆ ไว้เพื่อปกป้องตัวเอง จะกลายเป็นพรรคพวกที่เหลือของชิงและพุทธะได้ยังไง? เห็นได้ชัดว่ามีคนจงใจจะหาเรื่องเผ่าอสรพิษดำของข้า!”

“ทำไมเจ้าไม่ติดต่อไปถามฝ่าบาทโดยตรง?” เฟยหงรีบถาม

ซิงถือระฆังดาราในมือ “ถามแล้ว ฝ่าบาทบอกว่าจะให้เบื้องล่างสืบอย่างเข้มงวด จะไม่ให้เผ่าอสรพิษดำได้รับความไม่เป็นธรรม นี่ยังต้องสืบอีกเหรอ? สถานการณ์เป็นยังไงเขาจะไม่รู้ชัดเชียวหรือ?”

แม่เฒ่าลวี่อยู่ข้างๆ รีบใส่หน้า ถือไม้เท้าเดินออกไป ขณะที่หันหลังให้ก็กล่าวว่า “ไปถามคนที่กระจ่างเรื่องนี้สักหน่อยดีกว่า”

ทั้งสองมองนางแวบหนึ่ง เฟยหงจับมือซิงพร้อมปลอบใจว่า “พี่ซิง ท่านอย่าร้อนใจเลย ในเมื่อฝ่าบาทบอกแล้วว่าจะสืบ ภายในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ก็ไม่น่าจะมีเรื่องอะไร พรุ่งนี้ฝ่าบาทคงจะมาถึงแล้ว จะต้องสืบชัดแน่นอนว่าเรื่องเป็นยังไงกันแน่”

วันต่อมา กำลังพลทัพใหญ่ที่ไปลาดตระเวนแต่ละแห่งมาแล้วรอบหนึ่ง ในที่สุดก็มาถึงวังสวรรค์อย่างโครมครามแล้ว

เหมือนกับยุคของชิงและพุทธะ พอขับเกี้ยวมังกรเหยียบลงที่วังสวรรค์ เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวก็เดินออกจากเกี้ยวมังกรพร้อมกัน เดินเข้าไปในวังสวรรค์ที่ใหญ่โตโอ่อ่าอย่างสง่าผ่าเผย เดินเข้าวังสวรรค์ด้วยท่วงท่าของเจ้าของ

งดงามอลังการ ดอกไม้แปลกตานานาชนิด ไม่ว่าจะเป็นกำลังพลเดิมของชิงและพุทธะที่หนีไป หรือจะเป็นกำลังพลของเหมียวอี้ที่มารับช่วงต่อตอนหลัง ต่างก็ไม่กล้าทำลายตำหนักที่นี่ง่ายๆ วังสวรรค์อันงามล้ำเลิศหนึ่งหนึ่งไม่รู้ว่ารวบรวมพลังปรารถนาเพื่อสร้างขึ้นมาตั้งมากมายเท่าไร

คนกลุ่มหนึ่งได้ชื่นชมตามไปด้วย พอเข้ามาก็วิพากษ์วิจารณ์ตำหนักฟ้าดินที่เป็นที่ประชุมราชสำนัก แล้วก็เดินไปตำหนักดาราจักรและห้องหนังสือของประมุขชิงอีก เหมียวอี้เดินเตร็ดเตร่อยู่ในคลังหนังสืออันโอ่อ่า ถือโอกาสหยิบม้วนหนังสือโบราณขึ้นมาพลิกอ่าน แล้วก็โยนกลับไป

เมื่ออกจากตำหนักดาราจักรมาแล้ว ก็เดินเล่นอยู่ในวังสวรรค์ต่อไป หลัวจากเดินมาถึงอุทยานสายัณห์ที่เหมือนฉากในความฝัน ดวงตางามของอวิ๋นจือชิวก็เปล่งประกาย อดไม่ได้ที่จกล่าวชม “งดงามมาก!”

บรรดาแม่ทัพหันมองไปรอบๆ มองทิวทัศน์อันงดงามในสวนจนตาพร่าเช่นกัน

ใครจะคิดว่าเหมียวอี้กลับเชิญเทพสตรีทั้งสองเข้ามา ถามว่า “เจิ้นเตรียมจะสร้างวังสวรรค์ใหม่ที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ อยู่ร่วมกับเผ่าหงส์กับเผ่ามังกรทุกยุคทุกสมัย ไม่ทราบว่าทั้งสองคิดว่ายังไง?”

เทพสตรีผู้พิทักษ์ทั้งสองงุนงง พวกนางไม่ค่อยเต็มใจ เพราะหลายวันที่อยู่ข้างกายเหมียวอี้ได้เห็นเรื่องราวมาเยอะเกินไป เข้าใจเจตนาของเหมียวอี้แล้ว นั่นก็คือผืนดินในใต้หล้า มิมีที่ใดที่ไม่ใช่ของราชัน ผลที่ตามมาจากการปฏิเสธนั้นร้ายแรงมาก นอกจากนี้ทั้งสองก็รู้ด้วยว่าแดนมรณะดึกดำบรรพ์เป็นสถานที่ที่เหมาะสมกับการฝึกตนของเหมียวอี้ที่สุด

กลุ่มแม่ทัพไม่ได้พูดอะไร ได้แต่มองปฏิกิริยาของเทพสตรีทั้งสอง

อวิ๋นจือชิวขมวดคิ้ว ถึงแม้นางจะชอบที่นี่มาก แต่ก็ไม่ได้ถามคำถามนี้

ไม่มีทางปฏิเสธได้ ทำได้เพียงตอบตกลง สองเทพสตรีผู้พิทักษ์พยักหน้า

“เจาชิง!” เหมียวอี้เรียก

“ขอรับ!”หยางเจาชิงก้าวขึ้นมาเอ่ยรับคำสั่ง

เหมียวอี้กำชับว่า “ดึงกำลังพลไปร่วมมือกับเผ่าหงส์กับเผ่ามังกรกวาดล้างปราณชั่วร้ายที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ คืนภูเขาเขียวขจีน้ำใสให้แดนมรณะดึกดำบรรพ์ สร้างวังสวรรค์อย่างงดงามอีกครั้ง!”

“ขอรับ!” หยางเจาชิงเอ่ยรับ

เหมียวอี้มองไปรอบๆ แวบหนึ่ง “พักอยู่ที่นี่ก่อนชั่วคราว รอให้สร้างวังสวรรค์ที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์เสร็จแล้ว ข้าก็จะรื้อที่นี่เป็นรางวัลให้ทุกคน!”

ตามคำสั่งของเขา เฮยทั่นนำกำลังพลกลุ่มหนึ่งกลับไปที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์พร้อมกับสองเทพสตรีผู้พิทักษ์

ทว่าตรงนี้เพิ่งจะเริ่มหาที่พัก บรรดาแม่ทัพเพิ่งจะแยกย้ายกันไป เหมียวอี้เพิ่งจะเดินขึ้นไปบนตึกสูงแล้วก้มมองทั้งวังสวรรค์ อยู่ๆ ก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง พลันหันกลับไปมอง

เห็นเพียงพื้นสีขาวบริสุทธิ์กระเพื่อมเหมือนคลื่น คนคนหนึ่งที่อยู่ในชุดคลุมมีหมวกสีดำลอยขึ้นมาจากพื้น แล้วค่อยๆ คุกเข่าลงตรงหน้าเขา กล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ฝ่าบาทโปรดไว้ชีวิต!”

…………………………