ตอนที่ 1409 สรรสร้างจากความว่างเปล่า

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

“ใช่ ยอมรับ”

หญิงลึกลับกล่าว “ตั้งแต่วันที่ข้ากลายเป็นคนเฝ้าประตู จวบจนตอนนี้ได้ผ่านมาชั่วกัปชั่วกัลป์ แต่กระทั่งตอนนี้ เคยเห็นคนที่เกือบเปิดประตูนี้ออกได้เพียงคนเดียว”

พอพูดถึงตรงนี้แววตาหวนความหลังก็ปรากฏขึ้นในดวงตาหญิงลึกลับ “นั่นเป็นเรื่องเมื่อนานมากแล้ว ข้าจำได้ว่าคนผู้นั้นเป็นผู้ฝึกกระบี่ กล้าหาญชาญชัย เย่อหยิ่งทะนงตน ใช้พลังปราณขอบเขตมกุฎระดับราชันทลายด่านทั้งเก้าของทางเดินเมฆาหยกอย่างต่อเนื่อง…”

“ไม่อาจไม่พูดว่าพรสวรรค์และอัจฉริยภาพของคนผู้นั้นไม่ด้อยไปกว่าเจ้าแน่ ตอนเขาเปิดประตู ประตูสวรรค์บานนี้ส่งเสียงโครมครามไม่หยุด เสียงแห่งมหามรรคที่แท้จริงมาเยือน ตอนนั้นข้าคิดว่าเป็นไปได้สูงมากที่เขาจะเหยียบย่างเข้าไปในประตูนี้…”

“แต่พอเขาแง้มออกนิดเดียวเท่านั้นก็กระอักเลือดไม่เว้น จึงหยุดลงเท่านี้”

“ตอนเขาจากไปเพียงพูดประโยคเดียวว่า ‘เวลาไม่คอยท่า ที่ฝืนปรารถนาไม่ได้มา’ แล้วส่ายหัวจากไป”

พูดถึงตรงนี้หญิงลึกลับก็ถอนใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง “คนผู้นั้น…น่าเสียดายจริงๆ”

หลินสวินก็ไหวหวั่นอย่างห้ามไม่อยู่ ถามว่า “เขาเป็นใคร”

“เสวียนซั่งเฉิน”

หญิงลึกลับเอ่ยชื่อหนึ่งออกมา “เขาไม่ใช่คนของโลกนี้ และไม่ใช่คนยุคนี้ จากการอนุมานเวลา น่าจะเทียบเท่ากับคนยุคดึกดำบรรพ์ในโลกนี้”

เสวียนซั่งเฉิน!

นามอันแปลกหูยิ่งนามหนึ่งสำหรับหลินสวิน

และพอคิดว่านี่เป็นคนที่เป็นไปได้สูงมากที่จะถือกำเนิดในยุคดึกดำบรรพ์ ทั้งยังไม่ใช่คนในโลกนี้คนหนึ่ง หลินสวินรู้สึกเพียงอย่างเดียว ห่างไกลจากตนเกินไปแล้ว

“เจ้าต้องจำแซ่นี้เอาไว้ ภายหน้ายามไปทางเดินโบราณฟ้าดารา อาจจะพบกับลูกหลานตระกูลนี้ เสวียนนั้นลึกลับสุดหยั่ง รวมสิ้นทุกความพิศวง แซ่นี้… ไม่ใช่แซ่ที่เผ่าไหนตระกูลไหนจะกล้านำมาใช้สุ่มสี่สุ่มห้า”

หญิงลึกลับกล่าวโดยพลัน

หลินสวินอึ้งไป พยักหน้าแสดงออกว่าเข้าใจ

“ตอนนี้ เจ้าอยากฝ่าด่านหรือไม่”

หญิงลึกลับเอ่ยถาม

“ก็ดี”

หลินสวินพยักหน้า เขายังจำได้ว่าตอนอยู่ในแดนฐิติประจิมแห่งดินแดนรกร้างโบราณ ตนได้ฝ่าผ่านด่านที่หกของทางเดินเมฆาหยก ได้รับเคล็ดวิชาหลุมดำกลืนกินกับครึ่งหลังของเพลงดาบวัฏจักรฟ้า

ตอนนั้นหญิงลึกลับก็เคยพูดไว้ว่า พอเขาบรรลุขอบเขตมกุฎระดับราชันก็จะฝ่าสามด่านสุดท้ายได้แล้ว

สามด่านนั้นแบ่งออกเป็น ‘เผาขอบเขต’ ‘ทลายมรรค’ และ ‘มองตน’ !

หากไม่ใช่ว่าตัวเขาอยู่ในแดนมกุฎตอนบรรลุขอบเขตมกุฎระดับราชัน ก็คงมีโอกาสฝ่าด่านตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนแล้ว

แต่ตอนนี้ก็ไม่สายไป

“ด่านที่เจ็ดมีนามว่าเผาขอบเขต เผาสารกาย พลังชีวิตและจิตวิญญาณของคน…”

พร้อมกับที่หญิงลึกลับเอ่ยปาก จู่ๆ เหนือทางเดินเมฆาหยกนั้นก็ปรากฏละอองแสงสีแดงเพลิงอันอัศจรรย์และงดงามสายหนึ่ง ห่อหุ้มตัวหลินสวินไว้ภายในนั้น

ครู่ต่อมาเขาเพียงรู้สึกว่าภาพตรงหน้าพร่าเลือน มาปรากฏตัวขึ้นในพิภพเปลวเพลิงแห่งหนึ่ง

ทอดสายตามองไปทุกหนแห่งมีแต่เปลวเพลิงถั่งโถม มีทั้งสีคราม สีแดงชาด สีเหลืองทอง สีฟ้าเข้ม สีเงินขาว… งดงามไร้ที่สิ้นสุด เพริศแพร้วตระการตา

ครืน!

ทันทีที่เงาร่างของหลินสวินปรากฏขึ้น ฉับพลันเปลวเพลิงมากมายนั้นก็แปรสภาพเป็นเงามายาดุจวิญญาณเทพเงาแล้วเงาเล่า แสงเพลิงแต่ละลูกสูงใหญ่โอฬาร พลานุภาพน่าหวาดหวั่น

“สิ่งเหล่านี้จำแลงมาจากแก่นเพลิงเทพ มีทั้งสิ้นหนึ่งร้อยแปดลูก สังหารพวกเขาได้ก็ถือว่าฝ่าด่านสำเร็จ ยิ่งใช้เวลาน้อยเท่าไร รางวัลที่ได้รับก็ยิ่งมากเท่านั้น”

เสียงหญิงลึกลับดังขึ้นแผ่วเบา

หลินสวินพยักหน้า ครู่ต่อมาดวงตาเย็นเยียบของเขาราวสายฟ้า พลังขับเคลื่อนทั้งกายเดือดพล่าน ออกโจมตีโดยไม่ลังเล

ฉึบ!

ด้วยพลังต่อสู้ราชันมกุฎระดับอมตะเคราะห์ด่านเจ็ดของเขาตอนนี้ ทันทีที่พุ่งออกไปก็ระเบิดเงามายาวิญญาณเทพดวงหนึ่งได้ในหมัดเดียว กลายเป็นละอองแสงปลิวว่อนเต็มฟ้า

แต่ภาพอันแปลกประหลาดปรากฏขึ้นแล้ว ละอองแสงเหล่านั้นไม่ได้หายไป กลับรวมตัวเข้าด้วยกัน คืนสู่สภาพเดิมอีกครั้ง

หืม?

ดวงตาดำของหลินสวินนิ่งขึง ตอนนี้ถึงรับรู้ว่าการทดสอบด่านนี้ไม่ง่ายอย่างที่เขาคิดไว้

ตูม!

เขาก้าวไปข้างหน้า โจมตีไปยังเงามายาวิญญาณเทพร่างนั้น ฝ่ายหลังถูกระเบิดอีกครั้งในชั่วพริบตา แต่ฉับพลันก็คืนสู่สภาพเดิมอีกครั้ง

เหมือนเป็นอมตะ!

แต่หลินสวินยังสังเกตเห็นว่าหลังจากถูกสังหารไปสองครั้ง กลิ่นอายของฝ่ายตรงข้ามก็อ่อนลงเล็กน้อย!

ทันใดนั้นหลินสวินจิตใจมั่นคงยิ่ง ไม่ลังเลอีกต่อไป กระโจนเข้าไปในเงามายาวิญญาณเทพมากมายเหล่านั้นแล้วสู้อย่างเต็มกำลัง

เทียบกันแล้วพลังของเงาร่างเหล่านี้อยู่คนละชั้นกับหลินสวินโดยสิ้นเชิง แรงคุกคามจึงไม่ได้มาก

ใช้เวลาเพียงหนึ่งถ้วยชา เงามายาวิญญาณเทพพิภพเปลวเพลิงแห่งนี้ก็หายลับไปสิ้น นอกจากละอองเพลิงเต็มฟ้าก็ไม่มีโอกาสคืนชีพอีก

ครู่ต่อมาหลินสวินก็ปรากฏตัวขึ้นที่ทางเดินเมฆาหยกแล้ว ส่วนหญิงลึกลับเอ่ยปากว่า “ฝ่าด่านผ่านแล้ว จะฝ่าต่อหรือไม่”

หลินสวินพยักหน้า

“ด่านที่แปดมีนามว่า ‘ทลายมรรค’ ที่ทดสอบคือการควบคุมนัยเร้นลับมหามรรค…”

เงาร่างของหลินสวินปรากฏขึ้นในห้องห้องหนึ่งพร้อมกับเสียงนี้

ในห้องมีเพียงโต๊ะตัวหนึ่ง บนโต๊ะปูกระดาษขาวแผ่นยักษ์แผ่นหนึ่งไว้ ด้านหนึ่งมีพู่กันเล่มหนึ่งวางอยู่

“พื้นที่ของกระดาษแผ่นหนึ่งก็เปรียบดั่งโลกหนึ่งใบ ถือพู่กันวาดภาพ ใช้นัยเร้นลับมหามรรคเป็นน้ำหมึก หากบรรจุโลกมหามรรคใบหนึ่งไว้ในกระดาษขาวได้ถึงขั้นอุบัติไร้สิ้นสุด วนเวียนเป็นวัฏจักร ก็ถือว่าฝ่าด่านสำเร็จ”

หลินสวินได้ยินดังนั้นก็ก้าวไปข้างหน้า จมสู่ภวังค์ความคิด

การทดสอบด่านนี้ดูเหมือนง่าย แต่ความจริงไม่ง่ายเลย!

มหามรรคดุจดั่งฟ้า ผู้ฝึกปราณทำได้เพียงไขว่คว้าอุตสาหะเท่านั้นถึงสามารถควบคุมพลังมหามรรค ใช้การได้ดั่งใจ

เฉกเช่นการวาดภาพคราวนี้ แท้จริงแล้วต้องใช้การหยั่งรู้และการควบคุมพลังมหามรรคของตน และสำแดงออกมาด้วยการวาดภาพจนหมดสิ้น!

หากระดับขอบเขตแจ้งมรรคต่ำเกินไป ย่อมไม่อาจทำถึงขั้น ‘หนึ่งภาพบรรจุโลกา อุบัติไร้สิ้นสุด วนเวียนเป็นวัฏจักร’ ได้

นิ่งเงียบครู่ใหญ่ หลินสวินถึงหยิบพู่กันขึ้นวาดเขียนบนกระดาษขาว

วิ้ง!

นัยเร้นลับแห่งมหามรรคผุดขึ้นในใจเขาดั่งสายธาร ไหลหลั่งลงมาใต้ปลายพู่กัน หุบเหวลึกมหึมาสายหนึ่งปรากฏบนกระดาษขาวช้าๆ

จากนั้นหุบเหวใหญ่ก็ปรากฏสีขาวดำสองลักษณ์ ค่อยๆ หมุนวนช้าๆ จากนั้นพลังน้ำและไฟก็เริ่มเริงระบำไปตามวังวน หมุนเวียนเป็นวงจร ฉายภาพน้ำไฟหลอมรวมกัน…

กระทั่งต่อมาที่ก้นหุบเหว มังกรเจินหลงครวญเสียงยาว ส่วนนอกหุบเหวลึกกลิ่นอายไร้มรณะไหลเวียน ปรากฏเป็นท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์กาล…

พร้อมกับเวลาที่ผันผ่าน หลินสวินจมจ่อมอยู่ท่ามกลาง ‘การวาดภาพ’ ความเข้าใจและการหยั่งรู้พลังมหามรรคในจิตใจต่างผุดขึ้นใต้ปลายพู่กัน

ด้านกระดาษขาวว่างเปล่าแผ่นนั้นก็แปรเปลี่ยนไปช้าๆ ราวกับภาพแรกเริ่มของโลกใบหนึ่ง ผันแปรเปลี่ยนแปลงอย่างอัศจรรย์มากมายต่อเนื่อง

จนท้ายที่สุดเมื่อหลินสวินวางพู่กันลง กระดาษขาวแผ่นนั้นก็หายไปพร้อมกับเสียงกึกก้องแปลกประหลาดเสียงหนึ่ง สิ่งที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าหลินสวินกลับเป็นโลกขนาดมหึมากว้างใหญ่ไพศาลใบหนึ่ง

โลกแห่งนี้ราวกับหุบเหวลึกโคจร มีกลิ่นอายกลืนกินทั่วสารทิศ กำราบสรรพสิ่ง ทั้งมีท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์ไม่เสื่อมสลายเป็นอมตะ…

และในหัวใจของหลินสวินปรากฏความรู้แจ้งขึ้น

มหามรรคก็คือต้นกำเนิดการสร้างโลก พลังเต็มขีดจำกัดที่ผู้ฝึกปราณเสาะแสวงหาก็ซ่อนอยู่ในนัยเร้นลับที่อยู่ท่ามกลางการโคจรของโลก

ในใจมีจักรวาล จึงสามารถควบคุมจักรวาลได้!

สักวันหนึ่งหากสามารถใช้พลังของตนเพียงคนเดียวสร้างโลกใบหนึ่ง อนุมานกฎระเบียบแห่งการหมุนเวียนของวัฏจักร เปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ของการสับเปลี่ยนหมุนเวียนสรรพสิ่ง นี่จะต่างอะไรกับผู้สรรสร้างที่สูงส่งหาใดเทียบในตำนาน

คิดถึงตรงนี้หลินสวินก็ใจสั่นระรัว เหมือนเจาะรูกระดาษติดหน้าต่างแผ่นหนึ่ง และได้เห็นระดับอันสูงส่งถึงที่สุดอย่างหนึ่งในวิถีการฝึกปราณ!

ในระดับนี้ พลังที่ครอบครองไม่ใช่การเปลี่ยนสิ่งผุพังเป็นความอัศจรรย์ แต่เป็นการสรรสร้างและทำลาย!

สร้างความเป็นความตายท่ามกลาง ‘การมีอยู่’ และ ‘ความว่างเปล่า’!

นี่ก็คือ ‘สรรสร้างจากความว่างเปล่า’

หลินสวินไม่รู้ว่าขอบเขตระดับนี้ ต่อให้เป็นผู้มีปราณระดับจักรพรรดิก็ยังมีน้อยคนนักที่จะมาถึง!

แต่ตอนนี้เขาได้เห็นแล้ว แม้ยังไปไม่ถึง แต่เขาได้รู้ว่าตนมองเห็นเป้าหมายที่เสาะหาอย่างหนึ่งแล้ว

ขอเพียงมานะบากบั่น ต้องมีสักวันที่ไปถึง

การหยั่งรู้จุดนี้เป็นกุญแจสำคัญยิ่งยวด อย่างน้อยก็ไม่ถึงกับเดินทางผิดหรือหลงทางบนมรรคาในภายภาคหน้า!

“ฝ่าด่านสำเร็จแล้ว”

ยามเสียงหญิงลึกลับดังขึ้นหลินสวินก็กลับมายังทางเดินเมฆาหยกอีกครั้งหนึ่ง ทว่าสภาวะจิตของเขาเปลี่ยนไปแล้ว

“คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะหยั่งรู้ได้รวดเร็วเช่นนี้”

หญิงลึกลับประหลาดใจเล็กน้อย ออกจะรู้สึกหวั่นไหวอย่างพบเห็นได้ยาก

เห็นได้ชัดว่านางสังเกตเห็นสภาวะจิตที่เปลี่ยนไปหลังจากหลินสวิน ‘วาดภาพ’ รู้ว่าเขาเห็นระดับ ‘สรรสร้างจากความว่างเปล่า’ ในตำนานนั้นแล้ว

“ขอบคุณผู้อาวุโส”

หลินสวินกุมมือคารวะ

“ไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก นี่เป็นสิ่งที่ตัวเจ้าเองหยั่งรู้ได้จากการปิดด่าน”

หญิงลึกลับส่ายหัว จากนั้นก็พูดว่า “เจ้านั่งเงียบๆ สักหน่อย จารึกสิ่งที่หยั่งรู้ได้ก่อนหน้านี้ไว้ในใจ แล้วค่อยฝ่าด่านต่อก็ไม่เป็นไร”

หลินสวินพยักหน้า นั่งขัดสมาธิ

ในใจเขาได้หยั่งรู้มากมายจริงๆ จำเป็นต้องใช้เวลาหล่อหลอมให้กลายเป็นของตน

หญิงลึกลับมองดูเขาจากจุดไกลๆ ในใจกลับไม่อาจสงบลงได้อยู่บ้าง ก่อนหน้านี้นางได้เห็นภาพที่หลินสวินวาด ไม่ถึงกับตระการตานัก

แต่หลินสวินกลับสามารถสัมผัสรู้ได้ถึงระดับที่ดำรงอยู่ในตำนานเท่านั้น ทำให้นางตื่นตะลึงนัก

‘ไม่แน่บางที เขาอาจจะเปิดประตูบานนี้ออกได้จริงๆ กระมัง’

หญิงลึกลับจิตใจไหวหวั่น ตกอยู่ในภวังค์ความคิด

นางจดจำได้อย่างชัดเจนว่าต่อให้เป็นเสวียนซั่งเฉินในตอนนั้น ก็ยังมองไม่ทะลุมุมหนึ่งของระดับนั้นระหว่างการทดสอบด่านที่แปดเหมือนอย่างหลินสวิน!

หรือกล่าวว่าตั้งแต่ตอนที่นางกลายเป็นคนเฝ้าประตูแห่งนี้จวบจนปัจจุบัน หลินสวินเป็นคนแรกที่ทำได้ถึงขั้นนี้

เรื่องนี้เห็นได้ชัดว่าผิดธรรมดาเกินไปแล้ว

อย่างน้อยตอนนี้หญิงลึกลับยังไม่อาจสงบใจได้อยู่บ้าง

สรรสร้างจากความว่างเปล่า สรรสร้างความเป็นความตายท่ามกลางการมีอยู่และความว่างเปล่า ระดับเช่นนี้เป็นเหมือนกับเรื่องต้องห้าม!

หลายชั่วยามผ่านไป หลินสวินตื่นขึ้นจากการนั่งสมาธิ จิตใจผ่องแผ้ว ห้วงนิมิตแจ่มกระจ่าง

“เริ่มได้แล้ว”

เขาลุกขึ้นจากพื้น พ่นลมหายใจยาวเฮือกหนึ่งแล้วเอ่ยปาก

“ด่านที่เก้ามีนามว่า ‘มองตน’ เข้าไปภายในนั้นก็จะกลายเป็นอีกตัวตนหนึ่ง ดำรงชีวิตผ่านวัฏจักรหนึ่ง ในวัฏจักรนั้นเจ้าจะไม่ใช่เจ้าอีกต่อไป คิดจะฝ่าด่านจำเป็นต้องมองเห็น ‘ตนเอง’ ในวัฏจักร”

ถ้อยคำของหญิงลึกลับออกจะคลุมเครือไปบ้าง ทำให้หลินสวินอดนิ่วหน้าน้อยๆ ไม่ได้ หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งถึงพยักหน้าเอ่ยว่า “ข้าเข้าใจแล้ว”

ฮูม!

หญิงลึกลับไม่พูดอะไรอีก และบนทางเดินเมฆาหยกมีแสงงดงามราวภาพฝันแถบหนึ่งปรากฏขึ้น เข้าปกคลุมตัวหลินสวินไว้ภายใน

ครู่ต่อมาตัวเขาก็หายลับไป

ในขณะเดียวกันหญิงลึกลับก็เผยสีหน้าสงสัยใคร่รู้ออกมา “ข้าอยากเห็นจริงๆ ว่าเจ้าดำรงชีวิตอีกแบบหนึ่งในวัฏจักรนั้นแล้วจะเป็นอย่างไร จะรักษาความผ่องแผ้วในจิตวิญญาณ ได้เห็นตัวเองจริงๆ หรือไม่…”

——