บทที่ 2239 ทุกอย่างเป็นความสมัครใจ

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

ตอนนี้เหมียวอี้ก็อยากจะรู้เรื่องนี้ให้ชัดเจนเช่นกัน พยักหน้าบอกใบ้หยางเจาชิง หยางเจาชิงเอ่ยรับแล้วไปจัดการทันที เรียกคนคนหนึ่งเข้ามา ช่างไม้!

พวกคนงานเก่าของพวกโรงเตี๊ยมเมฆาวายุนับว่าเหมือนเรือที่ขึ้นตามน้ำ ได้ดีตามอวิ๋นจือชิวไปด้วย ที่สำคัญคือความจงรักภักดีที่คนพวกนี้มีต่ออวิ๋นจือชิว เรียกได้ว่าผ่านแบบทดสอบของเวลามาแล้ว ทำให้คนวางใจ คนพวกนี้ไม่ได้ครองตำแหน่งทางทหาร อวิ๋นจือชิวเองก็จงใจหลีกเลี่ยงไม่ให้คนข้างกายตัวเองมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับด้านทหารมากเกินไป แต่เรื่องเล็กเรื่องใหญ่ที่อวิ๋นจือชิวช่วยเหมียวอี้จัดการ ส่วนใหญ่ก็พึ่งสมาชิกคนสำคัญพวกนี้ทุ่มเทรับใช้ ใช้งานได้อย่างวางใจ

บางคนยามปกติไม่เห็นว่าเคลื่อนไหวอะไร เพราะต้องแอบวิ่งเต้นทำงานข้างนอก ถ้าจะให้เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ออกหน้าก็ไม่เหมาะสม แต่ก็ต้องใช้คนที่ไว้ใจได้ไปจัดการ อวิ๋นจือชิวเองก็ทำได้เพียงให้คนสนิทพวกนี้คอยเป็นมือเท้าและหูตาไให้ แล้วค่อยให้คนงานพวกนี้ไปช่วยพวกเขาอีกที พอเป็นแบบนี้ คนงานพวกนี้ก็กลายเป็นสมาชิกคนสำคัญตามช่องทางส่วนใหญ่ที่อยู่ใต้เวทีของเหมียวอี้แล้ว โดยเฉพาะบัณฑิต ช่างไม้ ช่างหินและพ่อครัว

ส่วนเหมียวอี้ก็เดินมาถึงขั้นนี้แล้ว อวิ๋นจือชิวเหมือนจะมีอำนาจของฝ่ายกระทำในระดับหนึ่ง นางเองก็รู้ว่าผู้หญิงคนหนึ่งอย่างนาง ถ้ากุมอำนาจที่ใหญ่โตขนาดนี้ไว้ต่อไปก็ไม่เหมาะสม จะเกิดสถานการณ์ที่ตั้งตัวแยกกับเหมียวอี้ได้ง่าย นางอาจจะไม่หวังให้สถานการณ์อย่างนี้เกิดขึ้น แต่นางรู้อย่างชัดเจน ว่าเมื่อเวลาผ่านไปนานแล้ว เบื้องล่างอาจจะก่อเรื่องอะไรก็ได้ ถึงได้นำงานในมือทั้งหมดส่งต่อให้หยางเจาชิง สามีภรรยาจะได้ไม่เกิดความขัดแย้งอะไรเพราะแย่งชิงอำนาจกัน

แต่เรื่องนี้ย่อมต้องผ่านการอนุญาตจากเหมียวอี้ก่อนแล้ว ตอนแรกเหมียวอี้รู้สึกว่านางทำเกินความจำเป็น รู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องทำอย่างนี้ หมายความว่าเชื่อใจนางมาก แต่เหตุผลที่อวิ๋นจือชิวใช้โน้มน้าวก็คือ ประมุขวังหลังอย่างนางไม่สะดวกจะกุมอำนาจภายนอกมากเกินไป เพราะจะเกิดเรื่องได้ง่าย หวังว่าระหว่างสามีภรรยาจะมีความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาที่บริสุทธิ์อย่างเดียว ส่วนอำนาจในการจัดการวังสวรรค์นั้นไม่สะดวกจะมีมากเกินไป จำเป็นต้องมีความสมดุลบ้าง สาเหตุที่นางลดอำนาจของตัวเองลง ก็เพื่อจะให้เกิดความสมดุลกับหยางเจาชิงในระดับหนึ่ง การที่นางส่งคนเหล่านี้ให้หยางเจาชิง ก็ไม่ได้หมายความว่าจะหลุดจากการควบคุมของนางโดยสิ้นเชิง ถ้ามีการแทรกแซงจากนาง อย่างน้อยผู้การใหญ่วังสวรรค์อย่างหยางเจาชิงก็จะไม่ทำอะไรตามอำเภอใจ ในทางกลับกัน นางก็เลิกควบคุมโดยตรงแล้วเช่นกัน ราชินีสวรรค์ก็ไม่อาจทำอะไรตามอำเภอใจได้เหมือนกัน

ที่จริงการที่อวิ๋นจือชิวเป็นฝ่ายละทิ้งอำนาจนี้ก่อน ก็เป็นการกระทำที่ชาญฉลาดมาก การได้รับความเชื่อใจจากเหมียวอี้ต่างหากคืออำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุด!

ที่จริงเหมียวอี้ดีใจเพราะเรื่องนี้มาก ดีใจเป็นพิเศษ คนนอกไม่อาจเข้าใจความดีใจของเขาได้ และผลที่ตามมาเมื่อเขาดีใจมากก็คือ แม้อวิ๋นจือชิวจะละทิ้งอำนาจแท้จริงแล้ว แต่เหมียวอี้กลับตอบแทนนาง โดยการให้อำนาจที่ใหญ่กว่านั้นแก่อวิ๋นจือชิว เป็นอำนาจที่มองไม่เห็น นี่คือเรื่องที่เอาไว้ว่ากันทีหลัง

ส่วนการที่อวิ๋นจือชิวแนะนำพวกช่างไม้เข้ามา หยางเจาชิงก็เข้าใจเจตนาเช่นกัน สำนึกได้ด้วยตัวเองว่าควรทำอย่างไร ให้คนพวกนี้กลายเป็นผู้ช่วยของตัวเอง ช่วยตัวเองทำงานโดยตรง

นี่ก็คือเหตุผลที่ช่างไม้ปรากฏตัวที่ตำหนักสวรรค์ในเวลานี้

การปรากฏตัวของช่างไม้ ทำให้หยางชิ่งชำเลืองหลายครั้ง เขาแอบมองอวิ๋นจือชิวแวบหนึ่ง ในใจแอบรู้สึกปลง วิธีการของผู้หญิงคนนี้เหนือชั้นกว่าเวยเวยไม่ใช่น้อยๆ ใช้ทั้งไม้อ่อนไม้แข็ง เกรงวาชาตินี้คงจะจับเหมียวอี้อยู่หมัดคนเดียวแล้ว เหมียวอี้ใช้วิธีการเรียกลมฝนคาวเลือดมาสยบใต้หล้า แต่ผู้หญิงคนนี้กลับสยบเหมียวอี้ได้โดยที่ดาบไม่เปื้อนเลือด!

ช่างไม้เรียกซือหม่าเวิ่นเทียนออกมา

สำหรับตำหนักสวรรค์ ซือหม่าเวิ่นเทียนไม่อาจบอกว่าไม่คุ้นเคย ยิ่งไปกว่านั้นเครื่องเรือนทุกอย่างก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง มีหรือที่จะไม่รู้ว่าตัวเองมาอยู่ที่ไหนแล้ว เพียงแต่สถานที่เหมือนเดิมแต่คนไม่เหมือนเดิม

จะว่าไปแล้ว ขุนศึกทั้งสองของประมุขชิงก็รบตายหมดแล้ว ทูตตรวจการทั้งสองกลับทรยศ นี่คือการเย้ยหยันที่ใหญ่ที่สุด

“ผู้น้อยคารวะฝ่าบาท คารวะราชินีสวรรค์!” ซือหม่าเวิ่นเทียนทำความเคารพอย่างถ่อมตัว มีเพียงตัวเองเท่านั้นที่รู้ชัดถึงความขื่นขมในใจ

เหมียวอี้ถามว่า “แม่เฒ่าลวี่ที่สวนกลางเขียวขจีคาดว่าเจ้าจะรู้จัก เจิ้นถามเจ้าหน่อย แม่เฒ่าลวี่คนนี้มีที่มาที่ไปยังไงกันแน่ ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้ประมุขชิงวางดาบเก็บสนมในวังไว้มากขนาดนั้นได้?”

นึกไม่ถึงว่าจะถามถึงคำถามนี้ ซือหม่าเวิ่นเทียนอึ้งไปชั่วครู่ ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ “คงจะเป็นผู้หญิงที่ประมุขชิงรู้สึกผิดด้วยที่สุดในชาตินี้”

คนที่อยู่ในตำหนักมองหน้ากันเลิกลั่ก เหมียวอี้แปลกใจ “อย่าบอกนะว่าเป็นผู้หญิงของประมุขชิง?”

ซือหม่าเวิ่นเทียนพยักหน้า “คงจะนับได้ว่าเป็นผู้หญิงของประมุขชิงในยุคแรกๆ ตอนนั้นประมุขชิงยังยอายุน้อย ชื่อเสียงยังไม่โด่งดัง เขารู้จักกับแม่เฒ่าลวี่ ทั้งสองรักกัน แม่เฒ่าลวี่ในตอนนั้นงดงามดุจบุปผา พลังก็แข็งแกร่งฟ้าประมุขชิงด้วย ครั้งหนึ่งเคยช่วยชีวิตประมุขชิง ช่วยชีวิตคนได้แล้ว แต่นางกลับถูกคนทำลายรากวิญญาณ ยากที่วรยุทธ์จะเพิ่มขึ้นได้อีก ทำให้แก่ชราลงในชั่วข้ามคืนเดียว เด็กหนุ่มกับยายแก่คนหนึ่ง ต่อให้หัวใจอยู่ด้วยกัน แต่เกรงว่าคุณจะดันทุรังเกินไป ดังนั้นแม่เฒ่าลวี่จึงค่อยๆ ทำตัวห่างเหินและหลบเลี่ยงประมุขชิง ประมุขชิงเองก็เริ่มเงียบกับความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสอง แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่อย่าไปมองว่ายามปกติแม่เฒ่าลวี่ไม่เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องอะไรเลย ถ้านางเอ่ยปากพูดขึ้นมาจริงๆ เกรงว่าแม้แต่ประมุขชิงก็ยากที่จะปฏิเสธคำขอของนาง สถานการณ์คร่าวๆ ก็เป็นอย่างนี้ ไม่มีอะไรอย่างอื่นแล้ว”

พอได้ยินแบบนี้ ทุกคนก็แอบรู้สึกทึ่ง นึกไม่ถึงว่าบนตัวแม่เฒ่าลวี่จะมีเรื่องราวอย่างนี้ ไม่แปลกใจที่ทำให้ประมุขชิงวางดาบปล่อยผู้หญิงจำนวนมากขณะนี้ไปได้ สถานการณ์แบบนี้เกรงว่าแม้แต่คนสนิทข้างกายประมุขชิงก็ยากที่จะบงการ

ในฐานะที่เป็นผู้หญิง เรื่องราวในด้านนี้อาจจะส่งผลกระทบต่อความรู้สึกได้ง่ายกว่า สีหน้าของอวิ๋นจือชิวหดหูขึ้นหลายส่วนเพราะแม่เฒ่าลวี่ นางจินตนาการได้เลยว่า แม่เฒ่าลวี่ที่งดงามปานดอกไม้ในปีนั้น จู่ๆ กลายเป็นยายแก่และต้องหลบหน้าคนรักของตัวเองนั้นเจ็บปวดทรมานขนาดไหน ยิ่งไปกว่านั้นยังต้องมองดูประมุขชิงแต่งงานกับคนอื่นในตอนหลัง

เหมียวอี้กล่าวช้าๆ ว่า “พูดแบบนี้แสดงว่า ที่จริงแล้วแม่เฒ่าลวี่มีอำนาจแฝงยิ่งใหญ่มาก?”

ซือหม่าเวิ่นเทียนพยักหน้าอีกครั้ง “ใช่แล้ว เพียงแต่ก่อนหน้านี้ไม่เคยใช้เลยก็เท่านั้นเอง”

จนกระทั่งช่างไม้เก็บซือหม่าเวิ่นเทียนเข้ากระเป๋าสัตว์และออกไปแล้ว เหมียวอี้เห็นอวิ๋นจือชิวมีท่าทางสะเทือนใจมาก ก็รู้สึกปวดประสาทนิดหน่อย มองออกเลยว่าผู้หญิงคนนี้ค่อนข้างเห็นใจแม่เฒ่าลวี่ เขาเองก็ไม่อยากให้อวิ๋นจือชิวเป็นทุกข์เหมือนกัน แต่เรื่องนี้จัดการยากนิดหน่อย

หยางชิ่งเหมือนจะสังเกตได้ จึงกล่าวอย่างไม่ค่อยแน่ใจว่า “ที่จริงสนมนักโทษเหล่านั้นก็ไม่ได้สำคัญ ประเด็นก็คือแม่เฒ่าลวี่เคยสร้างคุณงามความดีกับฝ่าบาทไว้ ท่าทีที่เป็นกลางของนางทำให้ฝ่าบาทกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เหนียงเหนียง ไม่ทราบว่าข้าน้อยพูดจริงหรือไม่?” คำพูดค่อนข้างอ้อมค้อม

ดวงตางามของอวิ๋นจือชิวมองมา “ก็เพราะอย่างนี้ไง ไม่ทราบว่าท่านบุรุษมีความเห็นอันสูงส่งอะไรหรือเปล่า?”

หยางชิ่งลังเลนิดหน่อย “ถ้าเหนียงเหนียงไม่ถือสา ก็ส่งเรื่องนี้ให้ข้าน้อยจัดการได้ บางทีอาจจะไม่สามารถทําให้ทุกคนพอใจ แต่อาจจะให้คำชี้แจงที่ทุกคนสามารถรับ”

ไม่ได้ยินเขาพูดอย่างนี้ ก็รู้แล้วว่าเขาจะต้องมีแผนการอะไรแน่นอน อวิ๋นจือชิวมองไปที่เหมียวอี้ทันที รอคำตอบของเหมียวอี้

เหมียวอี้อดไม่ได้ที่จะยิ้มเจื่อน “เจ้าอย่าจ้องเจิ้นไม่ละสายตาอย่างนั้น เจิ้นตอบตกลงเจ้าก็ได้” เขาโบกมือให้หยางชิ่ง “เจ้าไปลองดูเถอะ”

“น้อมรับบัญชา!” หยางชิ่งกุมหมัดคารวะ

ผ่านไปไม่นาน เฟยหงก็กลับมาที่สวนกลางเขียวขจีอีกครั้ง คนที่กลับมาด้วยก็ย่อมเป็นหยางชิ่ง ผู้ที่จะมาแก้ไขปัญหาเรื่องนี้

ถ้าจะแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ หยางชิ่งก็ต้องพบกับแม่เฒ่าลวี่อย่างเลี่ยงไม่ได้ เป็นเพราะรู้ถึงประวัติของแม่เฒ่าลวี่แล้ว หยางชิ่งจึงเกรงใจมาก พอพบหน้ากันก็กุมหมัดคารวะทันที “แม่เฒ่าลวี่!”

“มิอาจรับไว้ นายท่านเกรงใจเกินไปแล้ว” แม่เฒ่าลวี่ที่ออกมาต้อนรับค้ำไม้เท้าโค้งกาย

หยางชิ่งมองเฟยหงแวบหนึ่ง ก่อนจะพูดกับแม่เฒ่าลวี่ว่า “สนมหงขอให้ราชินีสวรรค์ช่วยออกหน้าขอร้องฝ่าบาท ฝ่าบาทมีบัญชาให้ข้าน้อยมาจัดการเรื่องนี้ต่างหาก ข้ารู้แล้วว่าสถานการณ์เป็นยังไง”

แม่เฒ่าลวี่ขานรับ แล้วถามอีกว่า “ไม่ทราบว่านายท่านเตรียมจะจัดการอย่างไร?”

หยางชิ่งมองไปรอบๆ แล้วบอกว่า “เรียกออกมาให้หมด ให้ข้าได้เห็นหน้าสักหน่อย แล้วพวกเราค่อยเจรจากันอีกที เป็นยังไง?”

แม่เฒ่าลวี่พยักหน้าช้าๆ แล้วหันกลับไปสั่งเทพธิดาที่ติดตามมาข้างหลัง

ในสวนกลางเขียวขจีมีทุ่งหญ้ากว้างฟ้าโล่ง ทุ่งหญ้าราวกับฟูก มีดอกไม้เล็กๆ แซมอยู่ในนั้นเหมือนดวงดาว บรรดาสาวงามที่พักที่สวนกลางเขียวขจีชั่วคราวทยอยมารวมตัวกัน

บนเนินดิน แม่เฒ่าลวี่ถือไม้เท้าก้มมอง เฟยหงยืนอยู่ข้างกาย

หยางชิ่งที่อยู่ข้างๆ ยืนเอามือค่อยหลัง กำลังมองสาวงามทยอยมาไม่ขาดสาย สาวงามดุจเทพธิดามารวมตัวกันหนาแน่นขนาดนี้ มองแล้วตาพร่าจริงๆ แม้แต่เขาเองยังอดไม่ได้ที่จะหวั่นไหว

จนกระทั่งสนมนักโทษจำนวนหลักหมื่นที่หวาดหวั่นและไม่รู้ชะตากรรมตัวเองมาถึงครบแล้ว หยางชิ่งก็ร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนเสียงดังว่า “ประมุขชิงทรยศใจคน ได้รับกรรมถูกสำเร็จโทษไปแล้ว เดิมทีต้องการจะสังหารพวกเดียวกันไปด้วย แต่เป็นเพราะแม่เฒ่าลวี่ปกป้อง ฝ่าบาทจึงยอมเอ่ยวาจาอันมีค่า ไม่สังหารพวกเจ้าแล้ว ให้โอกาสรอดชีวิตกับพวกเจ้าสองทาง! ทางรอดแรกก็คือ อยู่ทำงานจิปาถะที่สวนกลางเขียวขจีให้แม่เฒ่าลวี่ตลอดไป ดูแลต้นไม้ใบหญ้าพวกนี้ ถ้าไม่ได้รับอนุญาตก็ห้ามถือวิสาสะออกไปเอง ทางรอดที่สองก็คือ ออกจากที่นี่ไปเป็นอนุภรรยาให้ขุนนางที่มีผลงานของตำหนักสวรรค์ ไปเสพสุขกับเกียรติยศความร่ำรวย จะเลือกทางไหนก็ได้ คนที่เลือกทางแรกก็ไม่ต้องพูดอะไรมากแล้ว ส่วนคนที่เลือกทางที่สองก็กล่าวอำลาแม่เฒ่าลวี่ซะ หลังจากนี้ออกจากสวนกลางเขียวขจีไป ด้านนอกสวนจะมีคนมารับไปโดยเฉพาะ จะเลือกไปกับใครก็ไม่บังคับ ทุกอย่างแล้วแต่ตัวเองจะปรารถนา! ให้เวลาทุกคนไตร่ตรองสามวัน สามวันหลังจากนี้ คนที่ไม่ออกไปก็แสดงว่าเต็มใจจะอยู่ทำงานที่สวนกลางเขียวขจีไปทั้งชีวิต!”

บรรดาสาวงามนับไม่ถ้วนทยอยซุบซิบกัน เหมือนจะวุ่นวายเล็กน้อย อย่างน้อยก็ไม่ต้องกังวลว่าจะรักษาชีวิตไว้ไม่ได้แล้ว

หยางชิ่งพูดจบแล้วหันไปมองแม่เฒ่าลวี่ที่ยืนเงียบ กลับมาใช้น้ำเสียงปกติพูดว่า “แม่เฒ่าลวี่ จัดการอย่างนี้ ก็ถือว่าฝ่าบาทยอมถอยให้มากที่สุดแล้ว จะอยู่หรือไปก็ตามใจพวกนาง ฝ่าบาทไม่ฝืนใจอะไรทั้งนั้น แบบนี้ท่านพอใจหรือยัง?”

แม่เฒ่าลวี่โค้งตัวเล็กน้อย “รบกวนนายท่านแล้ว”

หยางชิ่งหันไปกุมหมัดคารวะอีกเฟยหง กล่าวอำลากันตรงนี้ ก่อนไปกวาดตามองสาวงามที่รวมตัวกันอย่างหนาแน่นแวบหนึ่ง มุมปากแสยะยิ้มเล็กน้อย

เฟยหงมองเขาจะไปอย่างงงงัน แค่นี้ก็เรียบร้อยแล้วเหรอ?

ทว่าใช้เวลาไม่นาน จู่ๆ เฟยหงก็ได้รับข่าวจากอวิ๋นจือชิว ให้นางกลับไปที่วังสวรรค์ แยกนางออกจากสวนกลางเขียวขจี นางจะได้ไม่สร้างอิทธิพลใดๆ เพิ่ม

หลังจากนั้นครึ่งวัน มีคนทยอยเดินมาใกล้ๆ บ้านต้นไม้ของแม่เฒ่าลวี่ เหมือนไม่ค่อยกล้าเข้าใกล้ จนกระทั่งรวมตัวกันได้สิบกว่าคน ทุกคนถึงได้รวบรวมความกล้ามาหา

ใต้ต้นไม้ที่มีโต๊ะและเก้าอี้อย่างละหนึ่งตัว แม่เฒ่าลวี่นั่งมองพวกนางเงียบๆ ถามด้วยสีหน้าทนไม่ไหวว่า “พวกเจ้าเต็มใจที่จะปล่อยให้ตัวเองกลายเป็นวัตถุที่ถูกคนนั้นเชยชมทีคนนี้เชยชมทีจริงๆ น่ะหรือ? ต่อให้พวกเจ้าจะลำบากแค่ไหนแต่ก็เคยเป็นสนมของฝ่าบาทนะ ยินดีที่จะรับความอัปยศนี้เชียวหรือ?”

ผู้หญิงคนหนึ่งตอบว่า “แม่เฒ่า ฝ่าบาทตายไปแล้ว ถ้าเรียกฝ่าบาทอะไรนั่นอีกระวังจะหาเรื่องใส่ตัวนะ แม่เฒ่าโปรดระวังคำพูดไว้จะดีกว่า”

ผู้หญิงอีกคนบอกว่า “ตอนที่ฝ่าบาทยังมีชีวิตอยู่ เคยเห็นพวกเราเป็นสนมจริงๆ หรือเปล่าล่ะ ฝ่าบาทถึงขั้นไม่เคยชายตาแลพวกเราด้วยซ้ำ ถ้ามีคนเห็นความสำคัญของพวกเราจริง เอ็นดูเราเหมือนผู้หญิงของเขาจริงๆ แล้วจะมีอะไรไม่ดีล่ะ?”

มีผู้หญิงอีกคนบอกว่า “ทำงานจิปาถะอยู่ที่นี่ไปทั้งชีวิตไม่ใช่การสร้างความประหยัดให้ตัวเองหรอกหรือ? แม่เฒ่า พวกเราเข้าใจความคิดของท่านนะ บางทีท่านอาจรู้สึกว่าพวกเราเลือกแบบนี้อาจจะไร้ยางอาย แต่ใครจะไม่ปรารถนาถึงชีวิตที่ดีงามบ้างล่ะ การปรารถนาชีวิตที่ดีงามไม่ได้แปลว่าพวกเราเป็นคนเลว พวกเราไม่เคยทำเรื่องผิดอะไร ไม่เคยทำร้ายใครด้วย แค่อยากจะใช้ชีวิตที่ดีเท่านั้นเอง ไม่อยากเป็นแค่คนทำงานจิปาถะไปทั้งชีวิต นับเป็นความผิดเชียวหรือ?”

…………………………