“ทุกท่าน ช่วงพลบค่ำวันนี้พี่สาวข้าจะกลับมาเยี่ยมญาติ ข้าผู้แซ่หวังขอตัวก่อน”
หวังจื่อหลงดื่มเหล้าจอกหนึ่งก็หมุนตัวออกไป
ทุกคนต่างลุกขึ้นส่ง
เห็นมาดน่าเกรงขามเช่นนี้ของหวังจื่อหลง ลูกหลานตระกูลหลินเหล่านั้นอดลอบถอนหายใจไม่ได้ ตอนที่ตระกูลหลินยังรุ่งเรืองอยู่ ลูกหลานตระกูลหลินอย่างพวกเขาเดินไปถึงไหนมีหรือจะไม่มีมาดเช่นนี้
แต่ตอนนี้…
ในที่สุดพวกเขาก็ตระหนักได้ถึงรสชาติของการตกต่ำ ไม่มีคนสนใจแล้ว
ช่วงพลบค่ำ
ยานสำเภาที่ยาวร้อยจั้งลำหนึ่งบดขยี้ชั้นเมฆเข้าสู่เมืองนครหยก ทำให้เกิดความฮือฮา ทุกสายตาล้วนมองไปที่ตระกูลหวัง
เพราะวันนี้หวังจื่อหลวนกลับมาเยี่ยมญาติที่บ้านเดิม คนที่มาด้วยยังมีหวงฝู่เซ่าอวี่ ศิษย์แกนหลักสายในของสำนักเมฆาเขียวที่ประหนึ่งผู้กล้าแห่งสวรรค์
คืนนั้นขุมอำนาจใหญ่มากมายในเมืองต่างนำของขวัญมาเยี่ยมเยือนถึงที่
และคืนนั้นก็เกิดเรื่องหนึ่งขึ้น ทำให้ตระกูลหลินกลายเป็นตัวตลก
เหตุผลเพราะคืนนั้นมีชายชราคนหนึ่งของตระกูลหลินนำของขวัญมาเยี่ยมเยือนตระกูลหวัง ผลลัพธ์กลับถูกขวางไว้นอกประตูโดยตรง!
ในงานเลี้ยงคืนนั้นหวังเทียนสิงผู้นำตระกูลหวังที่ดื่มจนหน้าแดง ถามอย่างประหลาดใจต่อหน้าคนใหญ่คนโตซึ่งนั่งกันเต็มงาน “ตระกูลหลินหรือ ตระกูลหลินไหน ในเมืองนครหยกยังมีตระกูลหลินอีกหรือ”
ทันใดนั้นทุกคนที่นั่งอยู่หัวเราะลั่น
หวังจื่อหลงฉวยโอกาสนี้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นนอกหอสุราตอนกลางวันเหมือนเป็นเรื่องตลก
ตอนที่รู้ว่าเจ้าโง่ตระกูลหลินนั่นถึงกับเก็บกระดูกไก่ขึ้นมาจริงๆ คนใหญ่คนโตซึ่งนั่งกันเต็มงานต่างหัวเราะตัวโยน
ตอนนั้นหวังจื่อหลวนก็อยู่ด้วย ผ่านไปหลายปี นางคิดไม่ถึงว่ายามได้ยินชื่อหลินสวินอีกครั้งกลับเกี่ยวข้องกับกระดูกไก่ชิ้นหนึ่ง
นี่ทำให้ในใจนางอดหัวเราะเยาะไม่ได้ โชคดีที่ตอนนั้นถอนหมั้นไป หากตอนนั้นกลายเป็นฮูหยินน้อยของตระกูลหลิน นั่นคงเป็นฝันร้ายชัดๆ
“หลินสวินคนนั้นหรือ”
หวงฝู่เซ่าอวี่ที่นั่งอยู่ข้างๆ นางถามด้วยสีหน้าราบเรียบ
เขาอยู่ในชุดคลุมหยก บนศีรษะสวมเกี้ยวประดับขนนก เอวคาดเข็มขัดมังกร รูปลักษณ์หล่อเหลา สง่างามดุงดั่งต้นหยก อาจหาญไม่ธรรมดาอย่างมาก
“อืม” หวังจื่อหลวนพยักหน้า มุมปากเผยแววเย้ยหยัน “เจ้าโง่ที่ถือกำเนิดพร้อมปรากฏการณ์ประหลาดแห่งฟ้าดินคนหนึ่งเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องสนใจเขา”
หวงฝู่เซ่าอวี่ขมวดคิ้ว กล่าวเสียงขรึม “แม้ตอนนั้นเจ้าจะเป็นฝ่ายถอนหมั้นกับเขา แต่ถูกคนพูดถึงอย่างไรก็ไม่เหมาะสม”
หวังจื่อหลวนอึ้งไป ก่อนพูดอย่างเห็นด้วย “ที่ท่านพี่พูดมีเหตุผล เขาเป็นตัวตลกคนหนึ่ง ข้าไม่อยากมีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับตัวตลกเช่นนี้”
หวงฝู่เซ่าอวี่พูดอย่างไม่เร่งไม่รีบ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทำให้ตัวตลกคนนี้หายไปตลอดกาลก็จะไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้อีกต่อไปแล้ว”
หวังจื่อหลวนเข้าใจทันที พลันพยักหน้าพูด “ข้าจะจบเรื่องนี้เสีย”
หวงฝู่เซ่าอวี่ขานรับว่าอืมแล้วไม่พูดอะไรอีก
เจ้าโง่คนหนึ่งเท่านั้น หากไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับหวังจื่อหลวนเขาก็คร้านจะสนใจ
เขาไม่ใส่ใจ หวังจื่อหลวนกลับใส่ใจ
คืนนั้นนางไปหาเสี่ยวเฉ่าแล้วถามว่า “เมื่อก่อนเจ้าเป็นสาวใช้ข้างกายหลินสวินหรือ”
เสี่ยวเฉ่าหัวใจสะท้านรีบพูดว่า “นี่เป็นเรื่องในอดีตเมื่อนานมาแล้ว ตอนนี้ข้าน้อยเป็นคนของตระกูลหวัง จงรักภักดีต่อฮูหยิน ไม่มีใจคิดเป็นอื่นเด็ดขาด”
หวังจื่อหลวนขานรับว่าอ้อคำหนึ่งแล้วพูดว่า “อยากแสดงความจงรักภักดีก็ได้ พรุ่งนี้เจ้าพาข้ารับใช้กลุ่มหนึ่งไปจัดการเรื่องหนึ่ง ข้าหวังว่า… ต่อไปจะไม่ได้ยินข่าวเกี่ยวกับหลินสวินอีก เจ้าเข้าใจหรือยังว่าควรทำอย่างไร”
เสี่ยวเฉ่าแข็งทื่อไปทั้งตัว พูดเสียงสั่น “เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ!”
หากไม่อยากได้ยินเรื่องของใครคนหนึ่ง วิธีที่ง่ายและตรงไปตรงมาที่สุด แน่นอนว่าเป็นการทำให้เขาหายไปจากโลกนี้เงียบๆ
นางจะไม่เข้าใจได้อย่างไร
“ไปเถอะ หากครั้งนี้ทำสำเร็จ ข้าจึงจะเชื่อในความจงรักภักดีของเจ้า”
หวังจื่อหลวนพูดนิ่งๆ
เสี่ยวเฉ่าโค้งคำนับแล้วจากไป
‘ให้สาวใช้ที่เคยปรนนิบัติเจ้าส่งเจ้าด้วยตัวเอง ก็นับว่าเมตตาที่สุดแล้วกระมัง’
หวังจื่อหลวนใคร่ครวญ
หากไม่ใช่เพราะเสี่ยวเฉ่าปรนนิบัติอยู่ข้างกายหลินสวิน หวังจื่อหลวนคงจำสาวใช้ที่เลี้ยงสุนัขให้นางโดยเฉพาะคนนี้ไม่ได้
ใช่แล้ว เสี่ยวเฉ่าเป็นเพียงสาวใช้เลี้ยงสุนัขคนหนึ่ง ฐานะห่างไกลกับสาวใช้ข้างกายของหวังจื่อหลวนอย่างมาก
……
หิมะโปรยปราย
ในสุสานนอกเมืองแห่งหนึ่ง
หลินสวินยืนนิ่งอยู่หน้าสุสานสองหลักที่เคียงข้างกัน นิ่งเงียบไม่พูดจา
เขามายืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อคืน เหมือนป้ายหินที่เต็มไปด้วยหิมะ นิ่งไม่ขยับ
มีเพียงแววตาของเขาที่ยิ่งชัดเจนกระจ่างใสกว่าเดิม
“ตั้งแต่ข้าเกิดมา ข้าก็รู้ว่าข้าเป็นใครแล้ว แต่กลับไม่เคยกล้าเชื่อ จึงคิดมาโดยตลอดว่า ข้า… เป็นใครกันแน่”
“ในหลายปีที่ผ่านมานี้ข้าคิดมาโดยตลอด คิดมาเยอะมากๆ แต่ก็คิดไม่ตกเสียที อย่างที่ในพระพุทธศาสนาว่า ความจริงเท็จนั้นล้วนเป็นภาพมายา ราวกับความฝันไม่จีรัง”
“ส่วนข้า… ก็เหมือนผู้ชมคนหนึ่ง คนผ่านทางคนหนึ่ง กำลังพิจารณาสิ่งที่พบเจอและสัมผัสว่าเป็นความฝันที่ไม่สมจริงหรือไม่…”
“ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว ไม่ว่าจะในฝันหรือความเป็นจริง ข้าก็คือข้า ไม่ใช่คนผ่านทาง และไม่ใช่ผู้ชมคนหนึ่ง”
หลินสวินพึมพำกับตัวเอง เหมือนคนโง่กำลังพร่ำเพ้อ
จากนั้นเขาคุกเข่าลงบนพื้นหิมะ โค้งคำนับอย่างจริงจังนับถือ “หลายปีมานี้… เป็นลูกอกตัญญูเอง!”
พูดถึงสุดท้าย แต่ละภาพในอดีตปรากฏขึ้นในหัว
ในวัยเด็ก ท่าทางดีใจแทบคลั่งของบิดายามที่ได้ยินตนเองขานเรียกคำว่าท่านพ่อครั้งแรก ตอนนั้นมารดายิ้มอยู่ข้างๆ สายตาอ่อนโยนราวกับน้ำ
ท่าทางที่สับสน ไม่เข้าใจ เจ็บปวด โกรธ และถอนหายใจของบิดามารดา ยามตนถูกมองว่าเป็นคนโง่ที่ไม่อาจรักษาได้…
แต่ไม่ว่าตนจะกลายเป็นอย่างไร พวกเขาเพียงหวังให้ตนสงบสุขปลอดภัย ไม่เคยละทิ้งเพราะตนเป็นคนโง่
ความรักที่พวกเขามีต่อตน คงอยู่มาโดยตลอด และยิ่งรักถนอมกว่าเมื่อก่อนเสียอีก
ถึงขั้นที่แม้แต่ตอนบิดาล่วงลับ ก็ไม่ลืมจับมือตน กำชับให้ตนต้องเรียนรู้ที่จะดูแลตัวเอง ดูแลมารดาให้ดี…
จากนั้นบิดาไม่อยู่แล้ว มารดาเองก็ทุกข์ตรม ไม่กี่ปีหลังจากนั้นก็จากโลกไป
ก่อนสิ้นชีพมารดายังอาลัยอาวรณ์ บอกว่าชาตินี้เรื่องที่นางปวดใจที่สุดคือไม่สามารถรักษาลูกชายของตนให้หายได้
นางเองก็เคยพูดว่า แม้เป็นคนโง่ก็เป็นลูกชายของนาง ก็เป็นก้อนเนื้อในอกนาง ไม่อาจทนให้ลูกชายต้องลำบากยากแค้นได้
น่าเสียดายที่นางกลับกำลังจะตายแล้ว ไม่สามารถดูแลลูกชายได้อีกต่อไป นี่ทำให้แม้ตอนนางจากไปยังเบิกตาโพลง เหมือนตายตาไม่หลับอย่างไรอย่างนั้น
หน้าสุสาน หลินสวินที่คุกเข่าอยู่บนพื้นน้ำตานองหน้า ไม่ได้ร้องไห้ออกเสียง แต่กลับเสียใจอย่างที่สุด
……
“แย่แล้ว… เขาจะหลงทางอยู่ในนั้นหรือ…” ในห้องโถงมรรคาสวรรค์ หญิงลึกลับขมวดคิ้ว
นางมองเห็นทุกอย่างของหลินสวินใน ‘วัฏจักร’ แต่คิดไม่ถึงว่าคำว่าเข้าใจแล้วของหลินสวิน กลับเป็นการสูญเสียความเป็นตัวเองอย่างสิ้นเชิง
เช่นนี้จะ ‘มองเห็นตัวเอง’ ได้อย่างไร
แล้วจะทะลวงผ่านด่านที่เก้าของทางเดินเมฆาหยกได้อย่างไร
หากไม่สามารถผ่านด่านได้ ก็จะเสียคุณสมบัติในการเปิดประตูบานนั้น!
ชั่วขณะนี้หญิงลึกลับเสียอาการเล็กน้อยอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ในใจเกิดความรู้สึกที่พูดไม่ออก ผิดหวังหรือ
ก็ไม่ขนาดนั้น
แค่ยากจะยอมรับเท่านั้น!
นางเฝ้ามองหลินสวินพัฒนาขึ้นทีละก้าวๆ สามารถครอบครองพลังปราณในวันนี้ได้ ไม่ง่ายเลยจริงๆ
และนางก็ไม่เคยคิด ว่าหลินสวินจะหยุดที่ด่านที่เก้าของทางเดินเมฆาหยกนี้!
เพราะฉะนั้นนางจึงรับไม่ได้ในชั่วขณะ ในใจไม่สามารถสงบได้
ครู่ใหญ่หญิงลึกลับตะลึงงันขึ้นมาพลัน ในดวงตากระจ่างวาบประกายเจิดจรัสแปลกประหลาดออกมา
ไม่ใช่!
หากการทะลวงด่านล้มเหลว ‘วัฏจักร’ ก็จะสิ้นสุดลง แต่ตอนนี้ทุกอย่างยังคงอยู่!
“น่าสนใจ แม้แต่ข้ายังมองพลาดหรือ…”
มุมปากของหญิงลึกลับโค้งขึ้น นางตัดสินใจดูต่อ ดูว่าสุดท้ายหลินสวินจะมอบความประหลาดใจอย่างไรกับตน
……
หิมะโปรยปราย
เสี่ยวเฉ่านำผู้คุ้มกันตระกูลหวังกลุ่มหนึ่งมาถึงนอกเมือง เดินไปยังสุสานที่อยู่ห่างไป
ในใจนางไม่เข้าใจอย่างมาก เจ้าโง่คนนั้นไปที่สุสานทำไม เพราะรู้ว่าตนกำลังจะตายจึงไปเลือกสุสานให้ตัวเองล่วงหน้าหรือ
เสี่ยวเฉ่ามองท้องฟ้า หิมะเวิ้งว้างดุจดั่งขนห่าน อากาศเย็นยะเยือก
ในใจนางแอบคิดว่า ‘ในฤดูกาลเช่นนี้ แม้ข้าไม่ลงมือ เจ้าโง่อย่างเจ้าคงทนได้ไม่กี่วันก็แข็งตายแล้วกระมัง’
ไม่นานเสี่ยวเฉ่าที่เดินเข้ามาในสุสานก็เห็นหลินสวิน
สิ่งที่ทำให้นางประหลาดใจคือ อีกฝ่ายคุกเข่าอยู่บนพื้น นิ่งเหมือนรูปปั้นไม่มีผิดเพี้ยน เหมือนแข็งตายไปแล้วจริงๆ
“เจ้าคิดได้ก่อนตาย ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าหลายปีที่ผ่านมาเจ้าทำผิดต่อพ่อแม่ของเจ้าแค่ไหนหรือ”
จู่ๆ เสี่ยวเฉ่าก็เอ่ยเสียงเยาะ “น่าเสียดายที่ทุกอย่างสายไปแล้ว”
“ฮ่าๆ เจ้าโง่นี่ตายด้วยวิธีแบบนี้ น่าประทับใจจริงๆ”
ผู้คุ้มกันเหล่านั้นต่างหัวเราะออกมา
“เรื่องราวบนโลกไม่เคยมีคำว่าเร็วหรือช้าเกินไป ขึ้นอยู่ที่ว่าคิดได้หรือไม่ก็เท่านั้น สำหรับข้า การชดเชยความรู้สึกผิดในหลายปีที่ผ่านมานี้ ยังไม่สาย”
ตอนนี้เองเสียงหนึ่งดังขึ้นกะทันหัน
เสี่ยวเฉ่าเกือบคิดว่าตนหูฝาดไปแล้ว
จากนั้นนางก็เข้าใจว่าตนไม่ได้หูฝาด
เงาร่างที่คุกเข่าอยู่หน้าสุสานราวกับรูปปั้น ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนท่ามกลางสายตาไม่คาดคิดของทุกคน
แกรกๆ…
เกล็ดน้ำแข็งที่เกาะตามตัวเขาค่อยๆ แตกออกแล้วร่วงลงพื้น
เขายังคงสวมเสื้อขาวตัวบาง ร่างกายซูบผอม แต่ในอากาศที่เย็นยะเยือกเช่นนี้ แผ่นหลังหยัดตรงนั่นกลับไม่เคยโค้งงอเลยสักนิด
“เจ้าถึงกับยังไม่แข็งตาย?”
เสี่ยวเฉ่าเบิกตาโพลง
“เจ้าโง่นี่ทนหนาวได้ดีจริงๆ ใส่เสื้อผ้าบางขนาดนี้ยังไม่แข็งตายก็นับว่าเป็นปาฏิหาริย์หนึ่งแล้ว”
ผู้คุ้มกันเหล่านั้นก็ใบหน้าประหลาดใจเต็มประดา ยากจะเชื่อได้
“พวกเจ้าจะฆ่าข้าหรือ”
หลินสวินสีหน้านิ่งสงบ คราบน้ำตาบนใบหน้าระเหยไปนานแล้ว แววตาของเขากระจ่างชัดอย่างที่สุด ราวกับสามารถสะท้อนสรรพสิ่งบนโลกได้
สาวใช้คนหนึ่งพาผู้คุ้มกันซึ่งดุร้ายราวกับหมาป่ามาหาตนที่สุสานในยามหิมะตกหนักขนาดนี้ จุดประสงค์นั้นไม่ต้องบอกก็รู้ได้
เสี่ยวเฉ่าอึ้งงันไปอีกครั้ง นางคิดไม่ถึงว่าเพียงแค่แวบเดียว หลินสวินก็มองจุดประสงค์ในครั้งนี้ของพวกเขาออกแล้ว
นี่ยังใช่เจ้าโง่นั่นอยู่หรือไม่
“เป็นหวังจื่อหลวนให้พวกเจ้ามาหรือ”
ตอนที่หลินสวินพูดประโยคนี้ออกมา เสี่ยวเฉ่ามีความรู้สึกตกใจขึ้นมาอย่างหนึ่ง เจ้าโง่นี่… เหตุใดจึงรู้ทุกอย่างแล้ว
“เจ้า…”
เสี่ยวเฉ่ากำลังคิดจะพูดอะไรสักหน่อย หลินสวินก็เอ่ยขึ้นว่า “ข้าขอถามเจ้าเพียงว่า ตลอดเวลาที่อยู่ในตระกูลหลิน ตระกูลหลินเคยปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมต่อเจ้าหรือไม่”
เผชิญหน้ากับแววตากระจ่างชัดของหลินสวิน เป็นครั้งแรกที่เสี่ยวเฉ่ารู้สึกว่ามีพลังน่ากลัวที่แทบจะทำให้หายใจไม่ออกกดดันอยู่ในใจ ทำให้นางรู้สึกเหมือนตกถ้ำน้ำแข็งไปทั้งตัว
………..