บทที่ 686.5 อิสระและการเดินทางไกล

กระบี่จงมา! Sword of Coming

มีวันหนึ่งเผยเฉียนแอบเอากระดาษแผ่นนั้นไปซ่อน แม่นางน้อยที่ก่อนนอนทุกวันจะต้องมองมันสักแวบหนึ่งจึงอึ้งค้างไปทันที ร้อนใจจนรีบไล่ตามหาไปตามถนนสายหลักที่ใช้ขึ้นภูเขาลั่วพั่วทั้งสาย รวมไปถึงถนนเล็กใหญ่อีกหลายเส้น ลามไปยันลานกว้างนอกศาลบรรพจารย์ภูเขาจี้เซ่อก็ยังไปตามหาดู หาอยู่นานเกินครึ่งค่อนคืน แม่นางน้อยชุดดำเบิกตากว้างพยายามจะมองเส้นทางใต้ฝ่าเท้าให้ชัดเจน เผยเฉียนจึงมา ‘ช่วยเหลือด้วยความหวังดี’ หมี่ลี่น้อยกลับไม่กล้าบอกนางว่าตัวเองทำอะไรหายไป สรุปก็คือเผยเฉียนต้องเดินเตร่ตามหาไปพร้อมกับโจวหมี่ลี่ตลอดทาง อย่าเห็นว่าสองขาของหมี่ลี่น้อยเล็กสั้นแบบนั้น นางกลับวิ่งได้เร็วนัก สุดท้ายโจวหมี่ลี่น้ำตาร่วงเผลาะๆ พูดกับเผยเฉียนว่าพวกเราหากันอีกรอบเถอะ เพียงแต่ว่าไม่นานหมี่ลี่น้อยก็เปลี่ยนคำพูดใหม่ บอกว่าหัวหน้าสาขาหากเจ้าง่วงแล้วก็ไปนอนก่อนได้เลย ข้าจะไปหาเอง ถนนหนทางพวกนี้ข้าคุ้นเคยดีนักล่ะ

เผยเฉียนใช้มือหนึ่งทำมุทรา กระทืบเท้าหนึ่งที แล้วก็พูดประโยคหนึ่งมั่วซั่วจบด้วยคำว่าจงมารับคำสั่ง ณ บัดนี้ จากนั้นก็ตวาดเบาๆ หนึ่งครั้ง บิดหมุนข้อมือหนึ่งที บนมือก็มีกระดาษแผ่นนั้นโผล่ออกมา

หมี่ลี่น้อยที่มีสีหน้าตื่นตะลึงอ้าปากกว้าง อันดับแรกนางปรบมือรัวแรง จากนั้นก็กระโดดผลุงขึ้นคว้ากระดาษแผ่นนั้นมาซ่อนไว้ในชายแขนเสื้อ ระหว่างที่เดินกลับนางก็คอยพูดเจื้อยแจ้ววิ่งวนรอบกายเผยเฉียน ถามว่านี่เป็นวิชาเทพเซียนวิชาใดกัน เหตุใดถึงได้ศักดิ์สิทธิ์เพียงนี้ สามารถเรียกเงินเหรียญทองแดงให้มาเป็นแขกที่บ้านได้หรือไม่? หากทำได้ล่ะก็ ถ้าอย่างนั้นก็ขอให้หัวหน้าสาขาช่วยร่ายวิชาอภินิหารออกคำสั่งให้เจ้าขุนเขากลับมาบ้านทีเถอะ

ในภูเขาหวงหูมีงูใหญ่อยู่ตัวหนึ่ง เมื่อก่อนเฉินหลิงจวินมักจะไปเที่ยวเล่นที่นั่นบ่อยๆ อาจารย์ของพี่หญิงจิ่วเอ๋อร์อย่างนักพรตเฒ่าเจี่ยเฉิง เดิมทีได้ออกจากร้านฉ่าวโถวไปสร้างกระท่อมฝึกตนอยู่ที่ภูเขาหวงหูแล้ว ได้ยินว่าอยู่ดีๆ ก็ฝ่าทะลุขอบเขต หากพูดตามคำกล่าวของเฉินหลิงจวินก็คือ นักพรตเฒ่าดีใจจนแผดเสียงคำรามยาวอยู่ที่ริมทะเลสาบ ทำเอาพวกนกกาจำนวนนับไม่ถ้วนที่เกาะกิ่งไม้บินหนีแตกกระเจิง พวกฝูงปลาก็ดำดิ่งลงไปใต้น้ำ

ตอนที่นักพรตเจี่ยมาที่ภูเขาลั่วพั่ว พ่อครัวเฒ่าได้มอบเงินมงคลแสดงความยินดีกับอีกฝ่ายไปก้อนหนึ่ง ผู้เฒ่าเอ่ยปฏิเสธอยู่หลายครั้ง บอกว่ารับไว้ไม่ได้ รับไว้ไม่ได้ เขาไม่ได้สร้างโอสถทองได้เสียหน่อย ล้วนเป็นคนกันเอง อย่าได้ฟุ่มเฟือยเช่นนี้เลย

เผยเฉียนตาดี เห็นว่าตอนที่พ่อครัวเฒ่าคิดจะผลักเรือตามน้ำไม่มอบซองแดงให้อีกฝ่าย นักพรตเฒ่าตาบอดราวกับมีทิพย์จักษุเปิดออกอย่างไรอย่างนั้น เขาถึงได้ชิงคว้าซองแดงที่ใส่เงินร้อนน้อยไว้สองเหรียญมาก่อน ลูบหนวดคลี่ยิ้ม ปากก็พร่ำพูดว่า ยากจะปฏิเสธความหวังดี ยากจะปฏิเสธความหวังดี

เผยเฉียนสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งที เอ่ยกับเพื่อนรักทั้งสองว่า “พวกเจ้าไม่ต้องไปส่งแล้วล่ะ”

เผยเฉียนมือหนึ่งถือไม้เท้าเดินป่า มือหนึ่งกำเชือกที่ผูกกับหีบไม้ไผ่ไว้แน่น แล้ววิ่งทะยานออกไปช่วงระยะทางหนึ่ง ก่อนจะกระโดดขึ้นสูง ทิ้งตัวลงไปเบื้องล่างจากทางหน้าผา

ลมภูเขาพัดหวีดหวิดผ่านข้างหู ระหว่างที่ร่างร่วงดิ่งลง เผยเฉียนคิดว่าเมื่อไหร่กันนะที่ตนจะสามารถเดินก้าวหนึ่งจากภูเขาลั่วพั่วไปถึงภูเขาฮุยเหมิงที่อยู่ทางทิศเหนือได้

แม่นางน้อยอ้าปากหาว

สองเข่างอลงน้อยๆ ร่างกระแทกลงพื้นอย่างแรง ฝุ่นตลบคละคลุ้งไปทั่ว

นางเก็บโครงท่าหมัดไปแล้ว เวลาแม่นางน้อยนั่งยองอยู่บนพื้น ปลายนิ้วทั้งห้าของมือข้างหนึ่งค้ำยันพื้นไว้เบาๆ พวกฝุ่นที่เพิ่งคลุ้งตลบขึ้นมาก็หวนกลับคืนไปสู่พื้นดินแต่โดยดี

คล่องแคล่วคุ้นชิน ไม่มีค่าพอให้เอ่ยถึง

จูเหลี่ยนเดินมาถึงข้างโต๊ะหิน เว่ยป้อก็ปรากฏตัวตามมาติดๆ

หมี่ลี่น้อยที่อยู่ริมหน้าผาโบกมือแรงๆ แล้วก็ไม่สนใจว่าเผยเฉียนที่อยู่ตรงตีนเขาจะมองเห็นการบอกลาของตนหรือไม่

เฉินหน่วนซู่กำลังเป็นกังวลว่าปลาน้อยในลำธารตากแห้ง เมล็ดแตง ขนมอบแต่ละถุงที่อยู่ในหีบหนังสือจะพอให้เผยเฉียนกินระหว่างเดินทางหรือไม่

จูเหลี่ยนนวดคลึงปลายคาง “เป็นแค่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตหกก็ออกเดินทางไกลขนาดนี้ ยากจะทำให้คนวางใจได้จริงๆ แถมยังไปคนละเส้นทางกับเฉินหลิงจวินด้วย”

เว่ยป้อกล่าวอย่างระอาใจ “แค่?”

จูเหลี่ยนหัวเราะทันใด

เฉินหน่วนซู่กับโจวหมี่ลี่พากันคารวะเว่ยซานจวิน

เว่ยป้อพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม

โจวหมี่ลี่ก้มหน้าลงไปควานหาในชายแขนเสื้ออยู่นานกว่าจะหยิบยื่นเมล็ดแตงกำเล็กส่งให้เว่ยซานจวิน นางรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย รับรองแขกได้ไม่ดีพอ รับรองแขกได้ไม่ดีพอจริงๆ

นางเป็นถึงผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาของภูเขาลั่วพั่ว เป็นรองเจ้าสาขา ภูตน้ำใหญ่แห่งทะเลสาบคนใบ้ อดีตผู้พิทักษ์ตรอกฉีหลง ควบกับเถ้าแก่ห้าแห่งร้านยาสุ้ยที่แต่งตั้งด้วยตัวเอง โจวหมี่ลี่เอง!

เว่ยป้อกลั้นยิ้ม โบกมือเอ่ยว่าช่างเถิด

เฉินหน่วนซู่ขอตัวลาจากไป แล้วไปง่วนทำงานของตัวเองต่อ บนภูเขาลั่วพั่วยังคงมีงานยิบย่อยอยู่อีกมาก โจวหมี่ลี่แบกคานหาบสีทองอันเล็กเดินแทะเมล็ดแตงไปตลอดทาง แม้จะกังวลเรื่องการออกท่องยุทธภพของหัวหน้าสาขา แต่นางที่เป็นรองหัวหน้าก็ทำอะไรไม่ได้จริงๆ

หลังจากที่แม่นางน้อยทั้งสองจากไปไกลแล้ว เว่ยป้อก็พูดคุยถึงหัวข้อก่อนหน้านี้ต่ออีกครั้ง “มีหลี่ไหวอยู่ ไม่มีปัญหาอะไรมากหรอก แล้วนับประสาอะไรกับที่เดินไปเดินมา เผยเฉียนอาจกลายเป็นขอบเขตร่างทองแล้วก็ได้ พวกเราควรจะเป็นห่วงพวกผู้ฝึกยุทธ พวกภูตผีในยุทธภพที่ตาไร้แววพวกนั้นดีกว่ากระมัง? ถึงอย่างไรการเรียนหมัดเรียนวรยุทธของเผยเฉียน ข้าก็ไม่เข้าใจ ไม่อาจอธิบายด้วยเหตุผลได้ทั้งหมด”

จูเหลี่ยนกล่าว “ในบ้านมีเด็กรุ่นหลังออกเดินทางอยู่ข้างนอก ผู้อาวุโสก็ย่อมเป็นกังวลว่าพวกเขาจะกินไม่อิ่มสวมไม่อุ่น แต่ว่าหากไม่ประสบพบเจอกับตัวเองก็คงไม่รู้ถึงความยากลำบาก ถึงเวลาที่ต้องให้เผยเฉียนออกท่องยุทธภพด้วยตัวเองบ้างแล้วจริงๆ”

เว่ยป้อเอ่ย “หากไม่วางใจจริงๆ เจ้าก็ตามไปไหมล่ะ? ทางฝั่งของภูเขาลั่วพั่วนี้ เดี๋ยวข้าช่วยดูแลแทนเจ้าเอง”

จูเหลี่ยนถูมือ “ช่างเถิดๆ พี่เว่ยไปตั้งใจเตรียมจัดงานเลี้ยงท่องราตรีจะดีกว่า กว่าจะหาภูเขาทายาทแห่งหนึ่งมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่มีเหตุผลให้ไม่จัดงานใหญ่ๆ สักครั้ง เจ้าลองดูจิ้นชิงซานจวินแห่งขุนเขากลางสิ เขาจัดได้อย่างยิ่งใหญ่อลังการมากเลยไม่ใช่หรือ?”

พอคิดถึงเรื่องนี้เว่ยป้อก็รู้สึกเหนื่อยใจ ถามว่า “เจ้าคิดว่านอกจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้ำในอาณาเขตของขุนเขาเหนือที่จำเป็นต้องมาแล้ว ทุกวันนี้จะยังมีผู้ฝึกลมปราณคนไหนเต็มใจมาอีกไหมล่ะ?”

บนภูเขาของราชวงศ์ต้าหลีในทุกวันนี้เริ่มมีคำกล่าวชวนขบขันอย่างหนึ่งแพร่หลายออกไปบอกว่า อาณาเขตของขุนเขาเหนือนั้นมีแต่เสียงทุบหม้อขายเหล็ก

เว่ยป้อพลันเอ่ยว่า “เส้าพอเซียนที่แบกรับทั้งโชคชะตาแคว้นและโชคชะตาวิถีกระบี่ไว้ในเวลาเดียวกัน หากเจ้ายินดี ข้าสามารถช่วยให้เจ้าเชื่อมสะพานสานความสัมพันธ์ วางใจเถอะ จิ้นชิงเองก็เป็นคนที่เก็บซ่อนเรื่องราวในอดีตได้ดี แล้วนับประสาอะไรกับที่เขายังเห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าแก่ที่มีกับราชวงศ์จูอิ๋ง ไม่แน่ว่าในช่วงเวลาที่เป็นกุญแจสำคัญ จิ้นชิงอาจจะยังช่วยภูเขาลั่วพั่วอีกแรงหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นการช่วยเหลือแบบที่ไม่เสียดายค่าตอบแทน ไม่หวังจะได้รับการตอบแทนบุญคุณอีกด้วย”

จูเหลี่ยนส่ายหน้า “เรื่องบางอย่าง เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย สามารถไม่เลือกใช้วิธีการได้ แต่กับเรื่องบางอย่าง เป็นคนก็ยังต้องมีคุณธรรมสักหน่อย”

เว่ยป้อพยักหน้ารับ “พี่จูวางตัวเป็นคนได้อย่างชัดเจนปรุโปร่ง”

จูเหลี่ยนร้องถุยหนึ่งที แล้วสบถด่าว่า “ชัดเจนปรุโปร่งกะผีน่ะสิ ตอนนี้ข้าก็แค่ยืนพูดไม่ปวดเอว หากเจ้าตะพาบน้อยผู้นั้นกล้าเล่นงานภูเขาลั่วพั่ว ข้าเห็นแก่มิตรภาพระหว่างนายน้อยกับแม่นางสือชิว ถึงได้อดทนข่มกลั้นกับสองนายบ่าวคู่นั้น แต่หากมีหนึ่งในหมื่นเกิดขึ้นจริงๆ เพื่อภูเขาลั่วพั่วแล้ว เจ้าลองดูเถอะว่าข้าจะให้เส้าพอเซียนผู้นั้นต้องไปขายก้นหรือไม่?!”

เว่ยป้อจึงแสร้งทำเป็นว่าตัวเองไม่ได้ยินคำกล่าวนี้

จูเหลี่ยนยื่นสองนิ้วออกมาลูบตรงมุมปากสองด้าน

หากมีเรื่องไม่คาดฝันใหญ่โผล่มาจริงๆ ถึงอย่างไรน้ำไกลก็มิอาจดับไฟใกล้ได้

ชุยเหวยผู้ฝึกกระบี่คอขวดโอสถทองที่อยู่แท่นบูชากระบี่ ในช่วงเวลาสำคัญ ใช่ว่าภูเขาลั่วพั่วจะใช้งานไม่ได้ เพียงแต่ว่าหากชุยเหวยยังไม่เลื่อนเป็นก่อกำเนิดก็ควรให้เขาอยู่นิ่งเฉยมากกว่าเคลื่อนไหว

หลูป๋ายเซี่ยง สุยโย่วเปียน เว่ยเซี่ยน ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวสามคนต่างก็มีเส้นทางของตัวเองให้ต้องเดิน

พี่น้องต้าเฟิงไม่ได้อยู่บนภูเขาแล้ว

เฉินยวนจี คู่พี่น้องหยวนเป่าหยวนไหล ตัวอ่อนผู้ฝึกยุทธสามคนอายุยังน้อยเกินไป และยังมีเส้นทางอีกยาวไกลให้เดิน

แล้วนับประสาอะไรกับที่เมื่อเทียบกับหลู สุย เว่ยสามคนที่มีความอาวุโสมากกว่าแล้ว ไม่ว่าจะเป็นคุณสมบัติหรือนิสัยใจคอ ความต่างก็ล้วนไม่ใช่เล็กๆ

จูเหลี่ยนเกาหัวเอ่ยทอดถอนใจว่า “รากฐานของภูเขาลั่วพั่วพวกเรายังคงไม่หนามากพอ เพื่อพื้นที่มงคลรากบัวแล้วก็ยิ่งชักหน้าไม่ถึงหลัง พอคิดถึงว่าแม่หนูหน่วนซู่ยังต้องเอาเงินหงเปา (อั่งเปา/เงินซองแดง) ที่ได้รับวันตรุษจีนสามซองมาแอบคืนให้ข้า แม่นางน้อยอย่างพวกนางสามคนเก็บไว้แค่จดหมายซองแดงเท่านั้น ข้าก็เจ็บปวดใจ เจ็บปวดใจยิ่งนัก เจ้าคงไม่รู้หรอกว่า แม้แต่เจ้าเด็กขี้เหนียวอย่างเผยเฉียนก็ยังเริ่มช่วยหน่วนซู่กับหมี่ลี่น้อยรวบรวมทรัพย์สินของตัวเองแล้ว มีอะไรที่สามารถย้ายไปไว้ในคลังของภูเขาลั่วพั่วได้ มีอะไรที่ย้ายไปให้ช้าหน่อยได้ ล้วนแบ่งแยกประเภทไว้เรียบร้อย”

จูเหลี่ยนกระทืบเท้า “ข้าละอายใจต่อนายน้อย ไม่มีหน้าไปจุดธูปที่ศาลบรรพจารย์ยอดเขาจี้เซ่อแล้วจริงๆ”

เว่ยป้อยกมือกุมขมับ “ก็ได้ๆ ข้าจะจัดงานเลี้ยงท่องราตรีห่าเหวนี่อีกรอบก็ได้ เจ้าพอใจหรือยัง? ซานจวินอย่างข้าตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะทำตัวหน้าไม่อายให้ถึงที่สุด เจ้าพอใจแล้วหรือยัง?”

จูเหลี่ยนจับแขนของเว่ยป้อ “พี่เว่ยช่างมีน้ำใจนัก!”

เว่ยป้อกล่าวอย่างจนใจ “ลงเรือโจรง่าย ขึ้นจากเรือยากจริงๆ”

เว่ยป้อพลันขมวดคิ้ว “สายลับจากนครลมเย็น เจ้าขี้มูกยืดน้อย หมัดเขย่าขุนเขา?”

จูเหลี่ยนถาม “มีคนจุดธูปขอพรแบบนี้จากซานจวินอย่างเจ้าหรือ?”

เว่ยป้อพยักหน้า “ธูปสามดอก สองดอกแรกเป็นของทั่วไป ข้าไม่ได้สนใจ แต่ธูปดอกสุดท้ายเป็นธูปภูเขาชั้นยอด อีกทั้งยังเอ่ยสามคำนี้ ข้าก็เลยสนใจเป็นพิเศษ”

จูเหลี่ยนยิ้มเอ่ย “มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นหมากตัวหนึ่งที่กู้ช่านเก็บซ่อนมานานหลายปี รู้สึกว่าถึงเวลาที่สมควรแล้วถึงได้ขึ้นมากราบไหว้ภูเขา บังเอิญนัก ข้ากำลังอยากจะไปเสี่ยงดวงกับสกุลสวี่ที่นครลมเย็นพอดี ถูกคนอื่นคอยทำให้สะอิดสะเอียนแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่อง ควรถึงเวลาที่ข้าทำให้คนอื่นสะอิดสะเอียนบ้างแล้ว”

เว่ยป้อเอ่ย “ไม่ต้องรีบร้อน ข้าจะไปลองพบคนผู้นี้ดูก่อน”

จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “รบกวนแล้วๆ วันหน้าข้าจะช่วยเจ้าขอเมล็ดแตงมาจากหน่วนซู่ก็แล้วกัน”

เว่ยป้อจำแลงร่างกลายเป็นลมเย็นกลุ่มหนึ่งที่พุ่งตัวหายไปในเสี้ยววินาที

จูเหลี่ยนแหงนหน้ามองท้องฟ้า เป็นภาพบรรยากาศที่หิมะกำลังจะตกลงมาจากฟากฟ้า พึมพำว่า “แรงบันดาลใจในการแต่งกลอนเกิดบนสะพานป้าเฉียวและบนหลังลาท่ามกลางลมหิมะ เนิ่นนานมาแล้วที่ไม่ได้แต่งกลอน แรงบันดาลใจมีอยู่ตลอด ลมหิมะก็เกิดขึ้นบ่อยๆ แต่ไม่มีลานี่นะ ต่อให้มีก็ควรจะให้เผยเฉียนจูงเอาไปท่องยุทธภพ”

จูเหลี่ยนยิ้มอย่างเข้าใจ

รอคราวหน้าที่นายน้อยหวนกลับมาบ้านเกิด คาดว่าคงไม่ยินดีจะป้อนหมัดให้เผยเฉียนแล้วกระมัง

หลี่ไหวเก็บสัมภาระของตนอย่างเรียบง่าย เขาสะพายหีบไม้ไผ่ใบใหญ่ ด้านในเต็มไปด้วยขวดไห อาหารแห้งและผักดอง พวกสมบัติล้ำค่าทั้งหลายที่เขาเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีล้วนไม่ได้เอาไปด้วย ในยุทธภพมีทั้งคนดีคนเลวปะปนกัน ถึงอย่างไรสำรวมตนไว้หน่อยจะดีกว่า

ไปบอกลากับตาเฒ่าที่ร้านยา หยางเหล่าโถวมอบเครื่องแต่งกายชุดหนึ่งให้หลี่ไหว ชุดตัวยาวสีเขียวหนึ่งตัว ของเล่นชิ้นหนึ่งลักษณะคล้ายเส้นไหมเยื่อไผ่หนึ่งชิ้น แผ่นหยกที่ไม่มีตัวอักษรสลักไว้หนึ่งแผ่น รองเท้าหนึ่งคู่

แรกเริ่มหลี่ไหวไม่คิดจะรับไว้ กิจการของร้านยาซบเซาจนเกินควรไปแล้ว ตาเฒ่าต้องยากลำบากกว่าจะเก็บออมเงินมาได้ไม่ง่าย คาดว่าหลายปีที่ผ่านมานี้เขาก็คงสะสมเงินทองได้ไม่มากเท่าไร

ท่านพ่อไม่อยู่ที่ร้าน ท่านอาเจิ้งก็ต้องออกเดินทางห่างไกลบ้านเกิด ลูกศิษย์ใหม่สองคนที่รับมาอย่างซูเตี้ยนและสือหลิงก็จากไปแล้วเช่นกัน หลี่ไหวไม่วางใจจริงๆ ไหนเลยจะกล้ารับของของตาเฒ่าอีก

เพียงแต่ว่าตาเฒ่าบอกว่าเจ้าหลี่ไหวไม่ต้องการ ไม่เป็นไร ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนเจ้าเอาไปมอบให้กับเจ้าคนที่อยู่ด้านหลังโต๊ะคิดเงินที่โถงด้านหน้าที

หลี่ไหวจึงร้อนใจขึ้นมาทันควัน หากไม่ใช่เพราะเป็นลูกศิษย์ของลัทธิขงจื๊อ จำเป็นต้องมีมาดของบัณฑิต ต้องมีอารยธรรมและความสุภาพสักหน่อย หลี่ไหวก็นึกอยากจะเอากระสอบป่านครอบหัวเจ้าคนที่หน้าตาบูดบึ้งไม่รับแขกด้านนอกคนนั้นแล้วซ้อมเขาสักรอบ

เผยเฉียนเพิ่งเคยมาเยือนร้านตระกูลหยางเป็นครั้งแรก พบเจอกับหยางเหล่าโถวเป็นครั้งแรก

เด็กสาวนั่งอยู่บนม้านั่งยาวฝั่งตรงข้ามอย่างนอบน้อม

เรือนกายของนางเริ่มมีส่วนเว้าส่วนโค้ง ค่อนข้างผอมบาง ผิวพรรณดำคล้ำเล็กน้อย ไม่ถือว่าเป็นแม่นางที่งดงามสักเท่าไรเลยจริงๆ

เมื่อครู่ตอนที่เผยเฉียนเพิ่งเข้ามาในเรือนด้านหลังก็มองเห็นผู้เฒ่าที่นั่งอยู่บนขั้นบันได หลี่ไหวนั่งยองอยู่ด้านข้าง กำลังยื่นมือไปบีบนวดลำคอให้ผู้เฒ่าอย่างขะมักเขม้น ไม่รู้ว่าหลี่ไหวกำลังพึมพำอะไรอยู่

เผยเฉียนจำคำสั่งสอนของอาจารย์พ่อได้แม่นยำ หากไม่จำเป็นก็ห้ามลอบมองสภาพจิตใจของคนอื่นโดยพลการเด็ดขาด

หยางเหล่าโถวมองมาที่เด็กสาวคนนั้นแล้วเอ่ยเนิบช้าว่า “ม้านั่งยาวตัวนี้ ฉีจิ้งชุนเคยนั่ง อาจารย์ของเจ้าก็เคยนั่ง”

เผยเฉียนที่นั่งตัวตรงอย่างสำรวมพยักหน้ารับเบาๆ

ผลคือหลี่ไหวตบป้าบเข้าที่ศีรษะของผู้เฒ่า พูดเลียนแบบแม่นางน้อยโจวหมี่ลี่ว่า “อะไรกันๆ แสร้งทำหลอกผีหลอกเจ้า วางมาดให้ใครดู อายุมากแล้วคิดว่าร้ายกาจนักหรือ ขู่เพื่อนของข้าหรือห๊ะ! ห๊ะ?”

เผยเฉียนถลึงตาใส่หลี่ไหว

หลี่ไหวรีบลูบหัวของผู้เฒ่า ช่วยลูบผมของอีกฝ่ายให้เรียบทันที

ผู้เฒ่าเคยชินมานานแล้ว ไม่เก็บมาเป็นอารมณ์แม้แต่น้อย แน่นอนว่ามีเพียงหลี่ไหวที่เป็นข้อยกเว้นเพียงหนึ่งเดียว หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นอย่างเทียนจวินเซี่ยสือหรือเซียนกระบี่เฉาซีให้ลองมาทำแบบนี้ดูสิ?

ผู้เฒ่าเอ่ย “พวกเจ้าออกเดินทางกันได้แล้ว”

หลี่ไหวกับเผยเฉียนเดินไปตรงม่านไม้ไผ่พร้อมกัน ก่อนที่หลี่ไหวจะหันหน้ามาเอ่ยว่า “ตาเฒ่า ข้าซื้อฟืนชั้นดีถุงใหญ่เอาวางไว้ในห้องด้านข้างให้แล้ว หน้าหนาวอากาศเย็นก็อย่าเสียดายที่จะใช้ ไม่ได้ใช้เงินของเจ้าสักหน่อย”

ผู้เฒ่าพยักหน้ารับ

เผยเฉียนค้อมเอวลงเล็กน้อย กุมหมัดคารวะ

ผู้เฒ่าจึงพยักหน้าอีกครั้ง

……

วันนี้เดือนนี้ปีนี้

ท่ามกลางม่านราตรี บนหัวกำแพงเมืองครึ่งหนึ่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เงาดำนั้นเริ่มมีเรือนกายชัดเจนขึ้นมาหลายส่วน ดวงตาทั้งคู่ที่เป็นสีทองยังคงสะดุดตาที่สุดอยู่เหมือนเดิม บนร่างสวมชุดคลุมสีแดงสดพลิ้วไสว ตรงเอวพกดาบแคบเล่มหนึ่ง

กำแพงเมืองปราณกระบี่ครึ่งหนึ่งนี้ไม่มีพวกเผ่าปีศาจที่รนหาที่ตายมาป่ายปีนหรือทะยานลมข้ามผ่านอีกแล้ว

ดังนั้นม้วนภาพของเซียนกระบี่ทั้งหลายจึงถูกเก็บซ่อนไปไว้ชั่วคราว

เงาดำเดินเตร็ดเตร่กลับไปกลับมาอยู่บนหัวกำแพงเมืองอยู่ตลอด เดี๋ยวก็โผล่มา เดี๋ยวก็แวบหายไป ไร้ร่องรอยให้ติดตาม

เวลานี้เงาดำปลดดาบพิฆาตเดินมาตรงหน้าผาหัวกำแพงที่เป็นช่องขาด เอาดาบปักพื้น ยืนหลุบตาลงต่ำมองพื้นดิน ใต้ฝ่าเท้ายังคงเป็นกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจที่มีมากมายเกินคณานับซึ่งกำลังไหลกรูไปทางทิศเหนืออย่างยิ่งใหญ่เกรียงไกร

เขาดึงสายตากลับคืนมา แหงนหน้ามองไปเบื้องบน

ใต้หล้าเปลี่ยวร้างในทุกวันนี้เหลือดวงจันทร์แค่สองดวงแล้ว

ข้าสบายดี เพียงแต่ไม่รู้ว่าพวกคนที่เดินทางไกลเหล่านั้นยังคงปลอดภัยสบายดีกันหรือไม่