มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 1402

เหยียนเยว่เอ๋อร์กับเหยียนซีโรว่นิ่งเงียบ เสี่ยวเจียงหมิงกลับคว้ามือช่าจื่อเยียนเอาไว้ สายตาแน่วแน่มองไปยังเฟิ่งหวูซิน เต็มไปด้วยความไม่เป็นมิตร

“ข้ารู้ว่าเจ้าโกรธข้า เจ้าแค้นข้า แต่ข้าก็หวังว่าเจ้าจะสามารถไปกับข้า เพียงแค่หนีไปจากสงครามนี้ ไม่ว่าเจ้าจะไปที่ใดก็ย่อมได้ทั้งนั้น” เฟิ่งหวูซินพูดพร้อมถอนหายใจ เขาไม่สามารถทิ้งให้ช่าจื่อเยียนอยู่ที่นี่และนั่งมองนางรอความตายอยู่ที่นี่ได้

“ไร้สาระ เฟิ่งหวูซินเจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ?” ช่าจื่อเยียนยิ้มเยือกเย็น “ทุกอย่างของข้าล้วนไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับเจ้า เจ้าไม่ต้องมาเสแสร้งทำตัวเป็นนักบุญที่นี่ บางทีพรสวรรค์ของเจ้าสูงมาก พลังแข็งแกร่งมาก แต่หากเทียบกับหลัวซิวแล้ว เจ้าก็เป็นเพียงคนหน้าซื่อใจคดเท่านั้น!”

เมื่อได้ยินช่าจื่อเยียนนำตนไปเทียบกับหลัวซิว กระทั่งแม้แต่คำพูดก็ยังเทียบกับหลัวซิวไม่ได้ สิ่งนี้ทำให้เฟิ่งหวูซินไม่สามารถอดทนไว้ได้

“เข้าบอกว่าข้าเป็นคนหน้าซื่อใจคด หรือว่าเจ้าสามารถมองใบหน้าที่แท้จริงของหลัวซิวออกหรือ?” เฟิ่งหวูซินหัวเราะเยือกเย็น “ข้าจะบอกเจ้าก็ได้ เหตุที่สำนักเทียนช่าล่มสลายก็เป็นเพราะว่าหลัวซิวเอาสมบัติของแดนเทพสงครามไป!”

“เจ้าอย่ามาใส่ร้ายผู้อื่น!” เมื่อได้ยินว่ามีคนใส่ร้ายหลัวซิว ต่อให้อีกฝ่ายเป็นถึงผู้แข็งแกร่งแดนจ้าวนภา เหยียนเยว่เอ๋อร์ก็ไม่สามารถนั่งนิ่งอยู่ได้

เฟิ่งหวูซินส่งเสียงเฮอะออกมา เขาสามารถเป็นกันเองกับช่าจื่อเยียนได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้อื่นจะมีสิทธิ์มาหยาบคายต่อหน้าเขาได้

เหยียนเยว่เอ๋อร์ส่งเสียงร้องครวญคราง ร่างกายเหมือนถูกสายฟ้าฟาด กระอักเลือดออกมาอึกใหญ่ สีหน้าซีดขาว

“เฟิ่งหวูซิน เจ้าอย่าล้ำเส้นให้มันมากเกินไป!”

ช่าจื่อเยียนยืนขึ้นเอาตัวบังเหยียนเยว่เอ๋อร์ไว้ด้านหลัง จ้องมองไปยังเฟิ่งหวูซินด้วยสายตาเย็นชา “เจ้าบอกว่าหลัวซิวเอาสมบัติที่เทพสงครามเอกภพทิ้งเอาไว้ไป เจ้ามีหลักฐานหรือ?”

“ในตอนที่เขาออกไปจากโลกเสวียนเทียนเขาไปในอนัตตาไม่สิ้น ข้าทดสอบเขาด้วยมือของข้าเอง เขาฝึกตนกลั่นร่างแยกออกมาหนึ่งร่าง มีพลังรบเทียบเท่าเทพฟ้า”

“ผู้น้อยแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์คนหนึ่ง แต่กลับมีพลังสามารถต้านทานเทพฟ้าได้ เจ้าไม่คิดว่ามันแปลกหรืออย่างไร?”

“ในตอนนั้นพวกเจ้าเข้าไปในแดนเทพสงคราม จากนั้นสมบัติที่เทพสงครามเอกภพทิ้งเอาไว้ก็หายไป ท่ามกลางทุกคนพลังของเจ้าแข็งแกร่งที่สุด เช่นนั้นสมบัติก็อาจจะตกลงไปอยู่ในมือของเขา!”

“เพราะในเวลานั้น บางทีเจ้าอาจจะครอบครองพลังที่เทียบเท่าเทพฟ้าแล้วก็เป็นได้”

“อีกอย่างในครั้งนี้ซือถูเจิ้งเจี้ยนนำทัพสำนักเซียนไร้เจตสิกเข้ามาโจมตี อีกทั้งยังเจาะจงให้สำนักศักดิ์สิทธิ์มอบตัวผู้คนที่มีความเกี่ยวข้องกับหลัวซิวออกมา หรือว่าเจ้าไม่รู้สึกแปลกบ้างหรือ?”

“ในปีนั้น สำนักเทียนช่าสั่งให้โลกามนุษย์ออกตามหาสมบัติเทพสงครามเอกภพ นั่นคือคำสั่งของซือถูเจิ้งเจี้ยน บางทีเขาอาจจะใช้วิธีบางอย่าง รับรู้ถึงสมบัติชิ้นนั้นและเอามันไว้ครอบครอง!”

เฟิ่งหวูซินวิเคราะออกมาเป็นฉาก ๆ ถึงแม้จะมีบางเรื่องที่ไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง แต่โดยพื้นฐานแล้วมันก็ประมาณนี้

สีหน้าของช่าจื่อเยียนเปลี่ยนไป นางรู้ดีถึงนิสัยที่ถือตัวของเฟิ่งหวูซิน คือจะไม่มาโกหกตนเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้

เมื่อหลายหมื่นปีก่อน คนที่นางรักมากที่สุดทำร้ายพ่อบุญธรรมของตนจนบาดเจ็บสาหัส ทั้งยังทำร้ายตนด้วย หรือว่าเขาจะทําซ้ำความผิดพลาดเดียวกันในหมื่นปีและถูกทําร้ายโดยคนที่เขาไว้วางใจมากที่สุดหรือไม่?

หลัวซิวเรียกได้ว่าเป็นคนที่นางไว้ใจมากที่สุดในขณะนี้ กระทั่งระหว่างทั้งสองคนสามารถเรียกได้ว่าเป็นพี่น้องกันแล้ว เมื่อคิดว่าตลอดหลายปีมานี้เขาโกหกตนมาตลอด ช่าจื่อเยียนก็รู้สึกเหมือนมีดกรีดลงกลางใจ

“เขาดีกับเจ้าและเสี่ยวเจียงหมิง นั่นก็เป็นเพราะว่าเขารู้สึกผิด ไม่เช่นนั้นเจ้าคิดว่าเขาจะใจดีขนาดนั้นเชียวหรือ?” เฟิ่งหวูซินหัวเราะเสียงเย็น

“พอที! หุบปากเสียที!” ช่าจื่อเยียนก็เริ่มกระวนกระวายขึ้นมาบ้างแล้ว

“ปัง!”

ในเวลานี้ ท้องฟ้าเหนือสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมินมีเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ค่ายพิทักษ์เขาถูกโจมตีจนแตกแล้ว

ผู้อาวุโสมากมายรวมถึงผู้อาวุโสไท่ซ่างที่คอยควบคุมค่ายใหญ่พากันกระอักเลือด ศิษย์แต่ละคนก็มีสีหน้าซีดเซียว สูญเสียผลการฝึกตนมากเกินไป

ความสิ้นหวังปรากฏขึ้นบนใบหน้าของทุกคน หรือบางทีอาจเป็นสีหน้าที่เด็ดเดี่ยว