บทที่ 2248 เหมียวอี้ตายแล้ว

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

“น้อมรับบัญชา!” แม่เฒ่าลวี่โค้งกาย ถือไม้เท้าเดินไปตรงหน้าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ ดวงตาเต็มไปด้วยความรู้สึกปลง ยังนึกว่าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่โดนสังหารไปแล้วเสียอีก นึกไม่ถึงว่าจะยังมีชีวิตอยู่ ไม่ว่าจะอย่างไรนางก็นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะปล่อยเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ไปได้ สังหารสามีของเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ สังหารลูกชายของเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ สิงห์ร้ายที่ทะเยอทะยานเช่นนี้กลับไม่ได้ขุดรากถอนโคน แต่ไว้ชีวิตเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ ทำให้นางทำใจเชื่อได้ยากจริงๆ

เมื่อเห็นแม่เฒ่าลวี่ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ค่อยๆ ได้สติกลับมา นางน้ำตาไหล พึมพำกับแม่เฒ่าลวี่ว่า “พวกเขาฆ่าจุนเอ๋อร์ ได้ยินว่ายังฆ่าฝ่าบาทด้วย ทำไมตระกูลเซี่ยโห้วไม่ช่วยข้า ทำไมไม่ช่วยข้า…” แล้วก็เริ่มร้องไห้โดยไร้เสียง นางนั่งยองๆ ลงตรงเท้าแม่เฒ่าลวี่ กอดต้นขาแม่เฒ่าลวี่ร้องไห้แทบขาดใจ

แม่เฒ่าลวี่ยื่นมือไปลูบศีรษะนาง “ไม่ร้อง ไม่ร้อง มีชีวิตอยู่ก็ดีแล้ว มีชีวิตอยู่ก็ดีแล้ว ทุกอย่างผ่านไปแล้ว ใช้ชีวิตให้ดี…”

สนมนักโทษร้อยคนที่ไม่ได้ออกจากสวนกลางเขียวขจีก็รู้สึกทอดถอนใจไม่หยุดเช่นกัน นึกไม่ถึงว่าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่จะยังมีชีวิตอยู่ ยิ่งนึกไม่ถึงด้วยว่าราชินีสวรรค์ที่เที่ยววางอำนาจบาตรใหญ่เพราะอาศัยตระกูลหนุนหลังจะตกต่ำมาอยู่ที่สวนกลางเขียวขจี ถึงขั้นอนาถกว่าพวกนางด้วยซ้ำ พูดตรงๆ ก็คือ อาศัยความงามของพวกนาง หากในภายหลังไม่อยากอยู่ที่สวนกลางเขียวขจีแล้ว ก็ใช่ว่าจะหาผู้ชายที่เหมาะสมเพื่อให้ชีวิตใหม่แก่พวกนางไม่ได้ แต่เซี่ยโห้วเฉิงอวี่นั้นไม่มีความงาม กอปรกับอยู่ในฐานะที่สำคัญ คาดว่าคงไม่มีผู้ชายคนไหนกล้ามายุ่ง บางทีอาจจะรอดชีวิตออกจากสวนกลางเขียวขจีไม่ได้ จะต้องอยู่ที่สวนกลางเขียวขจีทั้งชีวิตไปจนแก่ตาย

สรุปก็คือแต่ละคนต่างก็ทอดถอนใจ ทุกคนล้วนเคยเป็นผู้สูงศักดิ์ในวังสวรรค์ที่โอ่อ่าตระการตา ชั่วพริบตาเดียวเกียรติยศความร่ำรวยก็สลายไปเหมือนเมฆหมอกแล้ว แต่ละคนตกต่ำกลายเป็นทาส…

ทะเลทรายหินที่รกร้าง ทำกลางรอยแยกมิติที่เกิดขึ้นไม่ขาดสาย จู่ๆ ก็มีเงาที่หนาแน่นสูงหนึ่งบินเข้ามา สัตว์พาหนะที่บินได้ได้จำนวนนับไม่ถ้วนถูกล่ามโซ่ ไม่รู้ว่ากำลังลากสิ่งของอะไร ไม่นานวัตถุมหึมาก็เบียดออกมาจากในรอยแยกมิติ เรากลับจะฉีกช่องโหว่ของแดนมรณะดึกดำบรรพ์ให้ขาด ทลายมิติเบียดออกมา

สุดท้ายวัตถุขนาดมหึมาก็เผยโฉมหน้าที่แท้จริง วังสวรรค์ขนาดใหญ่เบียดเข้ามาในแดนมรณะดึกดำบรรพ์แล้ว

วังสวรรค์เผยโฉมที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ เห็นได้ชัดว่าสัตว์พาหนะที่ลากอยู่ข้างหน้าบินต่ำลงเพราะหมดแรง วังสวรรค์พลันเอียงลงเล็กน้อย คนที่ขี่อยู่บนสัตว์พาหนะจึงตะโกนใส่สัตว์ทันที พวกมันจึงดิ้นรนลากยังสุดชีวิต มังกรตัวใหญ่หลายสิบตัวที่อยู่ข้างหน้าก็ยิ่งออกแรงลาก

จนกระทั่งสัตว์พาหนะที่บินได้นับไม่ถ้วนเผยโฉมออกมาหมด ถึงได้เห็นวังสวรรค์ที่ลอยอยู่บนฟ้าเริ่มกลับมามีความสมดุล แล้วลอยไปด้านหน้าอย่างช้าๆ อีก

สัตว์พาหนะถูกล่ามโซ่นับไม่ถ้วน บังฟ้าบังดวงตะวัน ลากวังสวรรค์ขนาดใหญ่มหึมา หลังจากแยกแยะทิศทางชัดเจนแล้ว ก็เพิ่มความเร็วขึ้นทีละนิด

เมื่อเร่งความเร็วอีกครั้ง ก็ไม่อาจเร็วไปกว่าตอนอยู่ในดาราจักรได้ คนในวังสวรรค์เงยหน้าขึ้นมองสัตว์พาหนะบินได้ที่หนาแน่นจนมือฟ้ามัวดินอยู่ตรงปลายโซ่ เป็นฉากที่อลังการยิ่งใหญ่ที่สุด

รอบข้างยังมีกำลังพลมากมายขี่สัตว์พาหนะคอยลาดตระเวนและเฝ้าระวัง

ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ก็อยู่ในนั้นเช่นกัน ทั้งสองหันกลับมามองเป็นระยะ ตอนอยู่ในดาราจักรยังดีหน่อย พอมาถึงที่นี่แล้ว ภาพเหตุการณ์ตรงหน้าก็ทำให้คนรู้สึกได้อย่างแท้จริงว่าสิ่งใดที่เรียกว่า ‘สิ้นเปลืองทั้งทรัพยากรและกำลังคน’

อิงอู๋ตี๋อดไม่ได้ที่จะถ่ายทอดเสียง “ก่อนหน้านี้บอกว่าจะสร้างวังสวรรค์ใหม่ไม่ใช่เหรอ? ทำไมจู่ๆ ถึงเปลี่ยนความคิดแล้ว สิ้นเปลืองแรงคนและแรงสัตว์มหาศาลขนาดนี้ ย้ายวังสวรรค์มาที่นี่ ฝ่าบาทคิดจะทำอะไรกันแน่?”

ฝูชิงแอบตอบว่า “อาจเป็นเพราะอยู่ที่นี่แล้วฝึกตนได้สะดวก บางทีอาจเป็นเพราะไป๋เหนียงจื่อที่อยู่ระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ทำให้ฝ่าบาทเป็นกังวล ถ้าย้ายมาที่นี่แล้ว ต่อให้ไป๋เหนียงจื่อบุกเข้ามา แต่ถ้าจะสู้กันในนี้พลังก็ลดไปเยอะ จะได้รับมือสะดวก”

“เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับการย้ายวังสวรรค์เข้ามา? สามารถสร้างใหม่ที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ได้เลย ไม่จำเป็นต้องเปลืองแรงขนาดนี้มั้ง” อิงอู๋ตี๋กล่าว

ฝูชิงส่ายหน้า ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเหมียวอี้มีเจตนาอะไร

ที่จริงก็มีคนมากมายที่ไม่เข้าใจ แต่เรื่องนี้ไม่นับว่ากระทบต่อผลประโยชน์ของทุกคน กอปรกับหลังจากที่เหมียวอี้ควบคุมใต้หล้าแล้ว ก็นี่ก็เป็นบัญชาสวรรค์แรกของศูนย์กลางตำหนักสวรรค์ ไม่มีใครกล้าคัดค้านรุนแรงเกินไปด้วย…

สามปี หลังจากเข้ามาในแดนมรณะดึกดำบรรพ์แล้ว วัตถุขนาดมหึมาอย่างวังสวรรค์ก็ใช้เวลาเหาะอยู่ในแดนมรณะดึกดำบรรพ์สามปี ถึงได้มาเหยียบลงตรงจุดที่กำหนดไว้

ในระหว่างนั้นมีการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกำลังพลและสัตว์พาหนะ จากนั้นก็ตามด้วยเสียงแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ วังสวรรค์ที่สิ้นเปลืองกำลังคนและกำลังสัตว์มหาศาล ในที่สุดก็ถึงจุดหมายปลายทางอย่างเป็นทางการแล้ว

วังสวรรค์ที่ใหญ่โตโอ่อ่าตั้งอยู่ระหว่างแนวภูเขาสามลูก

ชั่วขณะนั้น หงส์เหินมังกรบิน สัตว์พาหนะบินได้ชนิดต่างๆ ที่อยู่บนฟ้าก็ได้หลุดพันธนาการจากโซ่ แล้วก็บินร่อนเต็มท้องฟ้า

จนกระทั่งสัตว์พาหนะที่บินบังบนฟ้าเหนือวังสวรรค์เป็นเวลาสามปีเต็มแยกย้ายกันออกไป ก็มีคนไม่น้อยขึ้นมาบนดาดฟ้าตึก ทอดสายตามองโลกใบใหม่ผืนนี้

เหมียวอี้ยืนพิงระเบียงอยู่บนดาดฟ้าตึกสูง สีหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์

ในสวนกลางเขียวขจีที่สร้างขึ้นใหม่ไกลๆ มีคนไม่น้อยกำลังมองมาที่ฉากอันมหัศจรรย์ยามวังสวรรค์ขนาดมหึมาตั้งลงพื้น

หลังจากผ่านการปรับปรุงหลายปี ปราณชั่วร้ายที่กำเริบเสิบสานอยู่ในแดนมรณะดึกดำบรรพ์ถูกระงับไว้หมดแล้ว เหลือเวลาอีกไม่น้อยกว่าแดนมรณะดึกดำบรรพ์กำลังจะฟื้นฟูกลับมาโดยสมบูรณ์ แต่ก็เริ่มปรากฏความเขียวขจีแล้ว ดอกไม้นานาพันธุ์เบ่งบานอยู่ในสวนกลางเขียวขจีเหมือนลายผ้าไหม ต้นไม้เขียวชอุ่มนานาชนิดเจริญงอกงาม

พวกเทพแห่งภูผา เทพแห่งผืนดินและเทพคงคาในแดนมรณะดึกดำบรรพ์มาอยู่ประจำตำแหน่งครบตั้งนานแล้ว ต่างคนต่างมารับหน้าที่ในอาณาเขตตัวเองตั้งนานแล้ว คอยเป็นหูเป็นตาอยู่ทั้งสี่ด้านแปดทิศให้กับให้วังสวรรค์ที่มาตั้งใหม่

“ถ่ายทอดบัญชา ให้สมาชิกที่อยู่บนรายชื่อมารวมตัวกัน หลังจากนี้สามเดือนจัดประชุมขุนนางอย่างเป็นทางการ” เหมียวอี้ที่ยืนพิงระเบียงและทอดสายตามองไปไกลออกคำสั่งด้วยเสียงทุ้มต่ำ

“รับทราบ!” หยางเจาชิงเอ่ยรับ

เมื่อประกาศข่าวนี้ออกมา นักพรตในใต้หล้าก็พากันชะเง้อมอง นี่คือการประชุมขุนนางอย่างเป็นทางการครั้งแรกหลังจากมีราชันสวรรค์คนใหม่ ทุกคนต่างก็รู้ว่าประชุมขุนนางครั้งนี้หมายความว่าอะไร

เป็นเวลาสามปีกว่าเต็มๆ พรรคพวกที่รอดชีวิตของชิงและพุทธะยังถูกกวาดล้างไม่หมด แต่อย่างน้อยก็กวาดล้างไปพอสมควรแล้ว กำจัดเสียงที่คัดค้านของใต้หล้า เพื่อเปิดราชสำนักวางรากฐานอย่างเป็นทางการ

ในเวลาสามปีกว่านี้ การเตรียมการต่างๆ ของทางวังสวรรค์จะต้องเรียบร้อยไปพอสมควรแล้วแน่นอน ทุกคนล้วนเข้าใจ ว่าการประชุมขุนนางอย่างเป็นทางการครั้งนี้คงจะเป็นการกำหนดตำแหน่งต่างๆ กำลังจะตัดสินชะตาของคนมากมาย

มีหลายคนกำลังสืบข่าวไปทั่ว อยากเห็นว่าใครบ้างที่ได้รับบัญชาให้เข้าร่วมประชุมขุนนาง คนที่เข้าร่วมประชุมได้ก็ย่อมเป็นคนที่มีที่ยืนอยู่ในราชสำนัก

แน่นอน มีคนรู้อยู่แก่ใจถึงตำแหน่งของตัวเองตั้งแต่แรกแล้ว อย่างไรเสียก็มีหลายเรื่องที่เหมียวอี้ไม่อาจทำเองคนเดียวได้ ได้ประสานงานกับบุคคลที่เกี่ยวข้องล่วงหน้าแล้ว

การประชุมขุนนางอย่างเป็นทางการเริ่มขึ้นแล้ว หมายความว่ากฎระเบียบใหม่ต่างๆ กำลังจะถูกกำหนดให้ใช้จริง แล้วจะไม่ให้ดึงดูดสายตาผู้คนได้อย่างไร

ผลก็คือทุกคนพบว่า ในเวลาสามเดือนนี้ วังสวรรค์ถ่ายทอดบัญชาลงมาอีกหลายรายการ เกินกว่ายศของกำลังพลเบื้องล่าง แต่งตั้งหัวหน้าภาคของอาณาเขตดาวต่างๆ โดยตรง ในระหว่างนี้หัวหน้าภาคแต่ะละแห่งทยอยกันไปรับตำแหน่ง สับเปลี่ยนหัวหน้าภาคจำนวนมากขนาดนี้ในครั้งเดียว จะเห็นได้ว่าก่อนหน้านี้วังสวรรค์เตรียมตัวไว้พร้อมแล้วจริงๆ

เวลาสามเดือนผ่านไปเร็วมาก

การประชุมขุนนางครั้งแรกกำลังจะมาถึง เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวที่นอนเตียงเดียวกันตื่นขึ้นมาแอบน้ำทั้งคู่

อาภรณ์งดงามหรูหราที่ตัดเย็บใหม่ส่งมาแล้ว เหมียวอี้สีหน้าเรียบเฉย ปล่อยให้นางในสวมเครื่องแต่งกายให้ อาภรณ์มังกรที่ปักลายมังกรบินอยู่ท่ามกลางฟ้าดินและตะวันจันทราถูกสวมใส่บนกายอย่างเรียบร้อย

อวิ๋นจือชิวที่ยืนอยู่หน้ากระจกเผยสีหน้าปลาบปลื้มดีใจอย่างที่ปิดบังได้ยาก มองตัวเองที่สวยสง่าอยู่ในกระจกกำลังถูกกลุ่มนางในสวมใส่อาภรณ์หงส์อันงดงามเป็นพิเศษให้ สุดท้ายมงกุฎหงส์สวยระยิบระยับก็ตั้งไว้บนยอดศีรษะอย่างมั่นคง

หลังจากแต่งกายเสร็จแล้ว สองสามีภรรยาก็เดินออกจากตำหนักบรรทมพร้อมกัน บรรดาสนมที่ยืนเรียงแถวรออยู่ข้างนอกพากันย่อตัวทำความเคารพ มองสองสามีภรรยาเดินผ่านไปท่ามกลางฝูงชน ชุดที่ชายกระโปรงยาวลากพื้นทั้งยังหรูหราไร้ที่เปรียบของอวิ๋นจือชิวไม่รู้ว่าทำให้สาวน้อยตั้งมากมายเท่าไรอิจฉา

รอจนทั้งสองเดินผ่านไปแล้ว สนมกลุ่มนี้ก็ทยอยกันหันตัวไปอีกทิศทางหนึ่ง เรียงแถวเดินตามหลังสองสามีภรรยาไป ด้านนอกมีทหารที่สวมเกราะรบสีสันสดใสคอยคุ้มกันส่ง ไม่มีใครพูดอะไร บรรยากาศเคร่งขรึมเป็นทางการมาก

เมื่อคนกลุ่มนี้มาถึงนอกตำหนักหลังของตำหนักฟ้าดิน กลุ่มสนมและอวิ๋นจือชิวก็หยุดเดิน แล้วอวิ๋นจือชิวก็นำพวกนางย่อเข่าทำความเคารพ “น้อมส่งฝ่าบาทเข้าประชุม!”

ใครจะคิดว่าเหมียวอี้กลับไม่ทำตามขั้นตอน หันตัวมาหาอวิ๋นจือชิว ยื่นมือไปประคองอวิ๋นจือชิวขึ้นมา กุมมือเรียวสวยของอวิ๋นจือชิวเอาไว้ แล้วจูงเดินเข้าไปที่ประตูใหญ่ตำหนักหลัง

อวิ๋นจือชิวตกใจ รีบถ่วงไว้ ไม่ยอมก้าวไปข้างหน้า “ฝ่าบาท มีเจตนาอะไรเพคะ?”

“ประขุมขุนนางยามเช้ากับเจิ้น!” เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบ

กลุ่มคนเงยหน้าอย่างงุ่นงง อวิ๋นจือชิวเริ่มกลัวนิดหน่อย รีบชักมือกลับมา ส่ายหน้าบอกว่า “ไม่สอดคล้องกับธรรมเนียม หม่อมฉันมิอาจเข้าประชุมขุนนางก้าวก่ายราชกิจได้!”

เหมียวอี้คว้ามืออีกข้างของนางมากุมไว้อีก แล้วใช้สายตาที่แฝงอำนาจบารมีกวาดมองกลุ่มคนตรงหน้า พร้อมประกาศอย่างเป็นทางการว่า “เจ้ากับข้าเป็นสามีภรรยากัน เจิ้นเป็นประมุขข้างนอก เจ้าเป็นประมุขในบ้าน เดิมทีก็เป็นหนึ่งเดียวกัน ใต้หล้าของเจิ้นก็คือใต้หล้าของเจ้า เริ่มใช้กฎใหม่ตั้งแต่วันนี้!”

นี่คือสิ่งที่พูดให้คนอื่นฟัง จากนั้นก็หันกลับมาถ่ายทอดเสียงบอกอวิ๋นจือชิวอีก “เจิ้นสัญญากับเจ้าไว้ในปีนั้น ว่าทั้งชีวิตนี้จะไม่ทรยศเจ้า บางทีอาจจะทำได้ไม่ดีมาก แต่ก็จดจำคำสัญญาไว้ในใจเสมอ ก็อย่างที่ข้าบอก แม้จะตายด้วยน้ำมือเจ้าข้าก็เต็มใจ มีเจ้าอยู่เคียงข้างก็ไม่เสียชาติเกิดแล้ว เข้าประชุมขุนนางกับข้า!”

อวิ๋นจือชิวน้ำตาเอ่อทันที ซาบซึ้งใจที่สุด แทบจะร้องไห้ออกมาตรงนั้น

ไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากเห็นผู้ชายของตัวเองอยู่กับผู้หญิงในวังหลังมากขนาดนั้น ความอัดอั้นตันใจไม่มีที่ให้ระบาย หากพูดออกทุกคนก็จะบอกว่านางไม่มีเหตุผล คนจะรู้สึกว่านางได้ครอบครองหลายสิ่งมากแล้ว เหตุใดยังไม่รู้จักพอ? แต่เรื่องระหว่างชายหญิง มีใครบ้างที่ไม่เห็นแก่ตัว

ทว่าในวันนี้ ในเวลานี้ หัวใจแทบจะละลายแล้วจริงๆ มีคำพูดเหล่านี้จากเหมียวอี้ จู่ๆ ก็รู้สึกว่าทุกอย่างล้วนคุ้มค่า

อวิ๋นจือชิวส่ายหน้ายิ้มทั้งน้ำตา “หนิวเอ้อร์ แค่เจ้าพูดแบบนี้ก็พอแล้ว ให้ข้าไปด้วยจะไม่เหมาะสม เจ้าไปเถอะ”

ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะประกาศเสียงดังอีกว่า “หากเจ้าไม่เข้าประชุมเคียงข้างข้า ข้าก็ไม่เข้าประชุมแล้ว”

เมื่อกล่าวออกมาเช่นนี้ กลุ่มสนมวังหลังก็เบิกตากว้างมองอวิ๋นจือชิว ความอิจฉาริษยาในแววตานั้นยากจะบรรยายออกมาได้ มีคนไม่น้อยแอบร่ำร้องในใจ ว่าทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงวาสนาดีขนาดนี้ กลายเป็นมารดาแห่งใต้หล้าแล้ว เกียรติยศและความรุ่งเรืองนับพันหมื่นไปรวมอยู่ที่ตัวนางคนเดียวแล้ว ทั้งยังได้รับความเคารพสูงสุดจากใต้หล้าอีก จะไม่ให้ผู้หญิงคนอื่นมีชีวิตอยู่เลยหรือไง?

“เลิกทำเป็นเล่นได้แล้ว ข้ามาได้แค่เท่านี้” อวิ๋นจือชิวกล่าว

เหมียวอี้จ้องนางพร้อมกล่าวอย่างจริงจัง “ใครบอกว่าเจ้ามาถึงได้แค่ตรงนี้? มีคนจากลาเจิ้นไปมากมายเกินไปแล้ว เจ้าก็จะจากข้าไปอีกคนเหรอ? ใต้หล้าของเจิ้นก็คือใต้หล้าของเจ้า เดินเคียงข้างเจิ้นต่อไป!” เขาออกแรงกุมมือนางเพื่อสื่อความหมาย

อวิ๋นจือชิวร้องไห้ออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ “อย่าคิดนะว่าทำอย่างนี้แล้วข้าจะผ่อนปรนให้เจ้าได้” คำพูดแฝงความหมายลึกล้ำ

“รู้แล้ว!” เหมียวอี้ออกแรงพยักหน้า ขณะเดียวกันจับมือนางไว้แน่นและเดินเข้าไปในประตูใหญ่ด้านหลังตำหนักฟ้าดินโดยตรง

ไม่รู้ว่ามีสายตาอิจฉาตั้งมากมายเท่าไรมองตามไป

ตรงจุดที่มีกำแพงกั้นระหว่างตำหนักหน้าและตำหนักหลัง อวิ๋นจือชิวขอร้องให้เหมียวอี้หยุดรอก่อน นางไม่อยากเข้าประชุมราชสำนักทั้งน้ำตา เชียนเอ๋อร์กับเสวี่ยเอ๋อร์ก้าวขึ้นมาเช็ดน้ำตาให้ แล้วเติมเครื่องประทินโฉมใหม่อีก อวิ๋นจือชิวตื่นเต้นมาก

หยางเจาชิงที่อยู่ข้างๆ พยักหน้า บอกใบ้ว่าทุกอย่างเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ขณะเดียวกันก็ถามเสียงต่ำเบาว่า “ฝ่าบาท จะถือโอกาสนี้กลับมาใช้ชื่อเดิมอย่างเป็นทางการหรือไม่ขอรับ?”

เหมียวอี้เงียบไปพักหนึ่ง แล้วกล่าวช้าๆ ว่า “ไม่ต้องแล้ว เหมียวอี้ตายไปแล้ว!”