บทที่ 2250 คารวะสี่จอก

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

“แต่งตั้งไป๋ชางไห่เป็นทูตซ้ายเสรี แต่งตั้งรั่วสุ่ยเป็นทูตขวาเสรี!”

“แต่งตั้งเกาก้วน เยี่ยนเป่ยหง เวินหวนเจิน โหยวอี…เป็นทูตแสวงดารา!”

“แต่งตั้งไป๋เหนียงจื่อเป็นพระแม่อาภรณ์ขาว!”

“แต่งตั้งสนมสวรรค์เยว่เหยวเป็นซีหวังหมู่[1]!”

“แต่งตั้งศีลแปดเป็นจอมปราชญ์พุทธะ!”

บรรดาขุนนางพบว่าการแต่งตั้งครั้งนี้ช่างได้กลิ่นอายของการแต่งตั้งที่ครอบคลุมใต้หล้าจริงๆ แม้แต่ประมุขไป๋กับประมุขปีศาจก็แต่งตั้งไปด้วยแล้ว เพียงแต่มีบางคนที่ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน ถึงขั้นไม่รู้ด้วยว่าคนพวกนี้โผล่มาจากไหน สนมสวรรค์เยว่เหยวคือใคร? นามซีหวังหมู่ฟังดูเหมือนอยู่เหนืออ๋องทั้งปวง?

ส่วนหยางเจาชิงก็วางแผ่นหยกในมือแล้ว “การแต่งตั้งเสร็จสมบูรณ์แล้ว อีกไม่กี่วันจะแถลงต่อใต้หล้า เพื่อแสดงถึงพระเมตตาของฝ่าบาทและราชินีสวรรค์”

“ขอบพระทัยฝ่าบาท ขอบพระทัยราชินีสวรรค์!” กลุ่มขุนนางกล่าวทำความเคารพโดยพร้อมเพรียง

“ทุกคนลำบากมามากแล้ว!” เหมียวอี้ยื่นมือบอกใบ้ให้ยืนตรง อวิ๋นจือชิวยกมือตามเล็กน้อยโดยไม่ได้กล่าวอะไร

หยางเจาชิงบอกอีกว่า “ฝ่าบาท เหนียงเหนียงขอบพระทัยที่คำนึงถึงความเหน็ดเหนื่อยของเหล่าขุนนาง ประทานสุราหนึ่งจอก!”

ในประตูด้านข้างทั้งสองฝั่งของตำหนัก เทพธิดากลุ่มใหญ่เดินเป็นแถวยาวเหยียดออกมา ถือถาดเดินผ่ากลางระหว่างกลุ่มขุนนางใหญ่ บรรดาขุนนางต่างคนต่างรับจอกสุราไว้ในมือ

เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ก็ถือถาดเดินขึ้นมาด้านบนเช่นกัน เหมียวอี้ยืนขึ้น อวิ๋นจือชิวยืนตาม ทั้งสองถือคนละจอกไว้ในมือ

“สุราจอกแรก คำนับเหล่าขุนพลที่สละชีวิตในสนามรบเพื่องานใหญ่ของตำหนักสวรรค์!” พอเหมียวอี้พูดจบ จอกสุราในมือก็เอียง เทสุราลงลงบนบันไดหยกแล้ว ส่วนอวิ๋นจือชิวก็ทำตาม

จอกสุราที่ว่างเปล่าวางกลับไปบนถาดในมือเชียนเอ๋อร์ เหมียวอี้หยิบมาอีกจอก แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “สุราจอกที่สอง คำนับคนที่เจิ้นทรยศ!”

น้ำสุราราดใส่บันไดหยก นำจอกเปล่ากลับไปวาง แล้วหยิบมาอีกจอก ขณะถือจอกสุราไว้ในมือ เขากล่างเสียงดังว่า “สุราจอกที่สาม คำนับคนที่ทรยศข้า!” พูดจบก็โบกแขนสาดสุรา

กลุ่มขุนนางมองหน้ากันเลิกลั่ก ไม่รู้ว่าคำพูดนี้หมายความว่าอะไร?

เหมียวอี้หยิบสุราจอกสุดท้ายไว้ในมือ แล้วคำนับทุกคนไกลๆ “คำนับทุกคน!”

ทุกคนรีบยกสองมือพร้อมบอกว่า “คำนับฝ่าบาทและเหนียงเหนียง!”

ขุนนางและราชันยกจอกสุราดื่มพร้อมกัน สุราหอมกระจายอยู่ในตำหนักฟ้าดิน

พิธีการนี้นับว่าเสร็จสิ้นเพียงบางส่วน จากนั้นขุนนางและราชันก็ปรึกษางานใหญ่ของใต้หล้าในตำหนักฟ้าดิน แต่ละคนต่างแสดงความคิดเห็น ตำหนักสวรรค์ตั้งขึ้นใหม่ การประชุมขุนนางครั้งแรกเริ่มขึ้นแล้ว

ตอนที่การประชุมขุนนางใกล้จบ เหมียวอี้ชำเลืองหยางชิ่งแวบหนึ่ง

“ข้าน้อยมีเรื่องจะนำเสนอขอรับ!” หยางชิ่งก้าวออกจากแถวแล้วกล่าวเสียงดัง

“ว่ามา!” เหมียวอี้พยักหน้า

หยางชิ่งกล่าวรายงานเสียงดัง “ข้าน้อยแนะนำให้นิรโทษกรรมต่อใต้หล้า! ขึ้นทะเบียนนักพรตทั้งหมดในใต้หล้า โดยให้ตำหนักสวรรค์ประกาศ ให้นักพรตเป็นฝ่ายมาลงทะเบียนเองภายในเวลาที่กำหนด ขอเพียงเป็นฝ่ายมาลงทะเบียนเอง ไม่ว่าความผิดใดๆ ในอดีตก็จะได้รับการละเว้น! ถ้าไม่มาลงทะเบียน จะถูกมองเป็นโจรกบฏและสังหารทั้งหมด! นอกจากนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้นักพรตที่เข้ามาทีหลังบุ่มบ่าม ตำหนักสวรรค์ควรตั้งระบบรวจสอบ ‘ทัณฑ์สวรรค์’ ต่อไปนี้นักพรตที่วรยุทธ์บงกชทองจะต้องผ่านการตรวจสอบจากทัณฑ์สวรรค์ ผู้ที่ผ่านการตรวจสอบแล้วถึงจะเข้าไปอยู่ในทะเบียนรายชื่อเซียนได้ ผู้ที่ไม่มีทะเบียนรายชื่อเซียนห้ามเก็บรวบรวมและซื้อขายทรัพยากรฝึกตนใดๆ ผู้ใดฝ่าฝืนจะได้รับโทษข้อหาโจรกบฏ!”

เมื่อเสนอความเห็นนี้ออกมา กลุ่มขุนนางส่วนใหญ่ก็เข้าใจเจตนาที่หยางชิ่งเสนอแนะแล้ว นิรโทษกรรมใต้หล้าก็เพื่อทำให้นักพรตทั้งหมดอยู่ในการควบคุม ส่วนการตรวจสอบของทัณฑ์สวรรค์ก็เท่ากับควบคุมนักพรตที่เข้ามาทีหลัง ในนั้นมีช่องทางให้ดำเนินการมากมาย ที่จริงแล้ว สาเหตุที่เสนอสองเรื่องนี้ขึ้นมา ก็เพราะตำหนักสวรรค์ต้องการจะนำนักพรตทั้งหมดในใต้หล้ามาอยู่ในการควบคุม

“ทุกคนรู้สึกว่าอย่างไรบ้าง?” เหมียวอี้ถามเสียงเรียบ

กลุ่มขุนนางบ้างก็กระซิบกระซาบกัน บ้างก็ทำท่าครุ่นคิด บ้างก็เงียบงันไม่พูดอะไร สรุปก็คือตอนนี้ยังไม่มีใครเอ่ยรับ เรื่องนี้กะทันหันเกินไป ชั่วขณะนั้นทุกคนยังชั่งน้ำหนักไม่กระจ่าง ยังไม่รู้ว่ามีผลกระทบอะไรต่อตัวเอง จึงไม่กล้าตัดสินใจอะไรง่ายๆ

ความจริงแล้ว ก่อนหยางชิ่งจะเสนอความเห็นนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เคยปรึกษากับเหมียวอี้มาก่อนเลย แท้จริงจริงแล้วนี่ก็คือวิธีการที่เหมียวอี้ต้องการจะควบคุมใต้หล้าเอาไว้ในมืออย่างแนบแน่น แน่นอน เหมียวอี้เองก็ไม่ได้หวังว่าจะตัดสินใจเด็ดขาดในตอนนี้เลย เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับคนมากเกินไป ต้องขอความร่วมมือจากคนเยอะเกินไป จำเป็นต้องใช้กฎสวรรค์ทั้งชุดเพื่อปฎิบัติให้สอดคล้องกัน ตอนนี้แย้มพรายในที่ประชุมก่อนก็เพื่อให้ทุกคนเตรียมตัวล่งหน้าเท่านั้นเอง

อวิ๋นจือชิวอดไม่ได้ที่จะมองผู้ชายที่นั่งเคียงกันหลาบครั้ง นางมองออกเช่นกัน ว่าผู้ชายของตัวเองต้องการจะยึดกุมใต้หล้าเอาไว้ในมืออย่างแน่นหนา

เมื่อเห็นทุกคนอยู่ในความเงียบ เหมียวอี้ก็บอกอีกว่า “เรื่องนี้ค่อยคุยกันอีกทีในการประชุมขุนนางครั้งต่อไป เลิกประชุม!”

“น้อมส่งฝ่าบาท น้อมส่งเหนียงเหนียง!” กลุ่มขุนนางกุมหมัดคารวะ มองคล้อยหลังเหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวลุกขึ้นเดินออกไป

หลังตำหนัก อวิ๋นจือชิวเดินตามหลังเหมียวอี้ออกมาไม่ได้พูดอะไรสักคำ เรื่องบางอย่างนางก็รู้อยู่แก่ใจ นางเข้าประชุมราชสำนักไปรับการคำนับจากเหล่าขุนนางก็นับว่าฉีกกฎแล้ว ทุกคนยังไม่คุ้นชินกับการที่นางปรากฏตัวในที่ประชุม หากแสดงความเห็นซี้ซั้วอีกก็เกรงว่าจะทำให้วิพากษ์วิจารณ์

ด้านนอกตำหนักหลัง บรรดาสนมก่อนหน้านี้ยังรออยู่ เมื่อเห็นเหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวออกมาแล้ ก็ทยอยกันย่อเข่าคำนับ นับว่าเป็นการให้เกียรติการประชุมขุนนางครั้งแรกของตำหนักสวรรค์อย่างเป็นทางการ ในภายหลังก็ย่อมเป็นอย่างนี้ทุกครั้ง

เหมียวอี้โบกมือให้พวกนางยืนตัวตรง ส่วนอวิ๋นจือชิวก็ยังมีงานของนางอีก นี่คือการประชุมขุนนางครั้งแรกของตำหนักสวรรค์ บรรดาขุนนางใหญ่นำสมาชิกในครอบครัวมาด้วย นางต้องการจะนำคนจากวังหลังไปพบปะกับสมาชิกครอบครัวของขุนนางใหญ่สักหน่อย ที่จริงกิจกรรมนี้ควรจะเริ่มแล้ว แต่นางถูกเหมียวอี้ดึงตัวไปเข้าประชุมด้วย ถูกดึงไปปกครองใต้หล้าด้วยกัน จึงทำให้ชักช้าเสียเวลาแล้ว

เมื่อร่ำลาเหมียวอี้แล้ว อวิ๋นจือชิวก็นำกลุ่มสนมจากไป เหมียวอี้กวาดสายตามองกลุ่มสนม แล้วพยักหน้าเบาๆ ให้ก่วงเม่ยเอ๋อร์ “สนมสวรรค์อันเล่ออยู่ก่อน”

ทุกคนกล่าวอำลาแล้วออกไป ก่วงเม่ยเอ๋อร์ที่หงอยเหงาเศร้าสร้อยก้มหน้าอยู่ตรงหน้าเหมียวอี้

ตั้งแต่ผู้หญิงคนนี้ได้รับแต่งตั้งให้เป็นสนมสวรรค์ เหมียวอี้ก็ยังไม่เคยพบหน้านางอย่างเป็นทางการเลย ตอนนี้เมื่อพบกันอีกครั้ง ถึงตระหนักได้จากใจว่าผู้หญิงคนนี้กลายเป็นสนมสวรรค์ของเขาแล้ว อดไม่ได้ที่จะนึกถึงภาพเหตุการณ์ที่รู้จักกันครั้งแรกและการไปมาหาสู่กันในภายหลัง มองออกเลยว่ามีผู้หญิงคนนี้จะงดงามมีเสน่ห์เหมือนเดิม แต่สีหน้ากลับหม่นหมองลงแล้ว

เหมียวอี้เข้าใจได้ รู้ด้วยว่าผู้หญิงคนนี้ผ่านอะไรมาก หลายเรื่องที่อยู่ในนั้นไม่พ้นเกี่ยวข้องกับเขา

แน่นอน ตอนนี้รั้งนางไว้ไม่ใช่เพราะความงามของนาง และไม่ใช่เพราะความรู้สึกผิดในใจด้วย แต่เป็นเพราะก่วงลิ่งกงไม่ได้เข้าประชุมขุนนาง ทำให้ในใจเขานึกถึงนางขึ้นมา ไม่อย่างนั้นวังหลังมีผู้หญิงตั้งมากมายขนาดนั้น แล้วนางก็ไม่ได้เป็นฝ่ายเสนอหน้ามาช่วงชิงความโปรดปรานด้วย มีเรื่องกวนใจมากมาย มีหรือที่จะคิดถึงก่วงเม่ยเอ๋อร์ได้

เหมียวอี้อยากจะรู้ให้กระจ่างว่าก่วงลิ่งกงมีเจตนาอะไรกันแน่ เขาจ้องนางพร้อมถามว่า “เจ้าเกลียดเจิ้นเหรอ?”

“เปล่าเพคะ หม่อมฉันมิบังอาจ!” ก่วงเม่ยเอ๋อร์ส่ายหน้า

เหมียวอี้ถามว่า “พ่อแม่เจ้ายังสบายดีอยู่ใช่มั้ย?” ที่จริงรู้อยู่แก่ใจแต่ยังแกล้งถาม ตระกูลก่วงเดินมาถึงขั้นนี้แล้ว ยามเผชิญหน้ากับเขาไม่มีความสามารถจะต่อต้านใดๆ เลย ต้องการจะแทรกซึมเข้าตระกูลก่วงก็เพราะรู้ว่าเรื่องภายในของตระกูลก่วงไม่ค่อยดี เขาย่อมรู้ถึงสถานการณ์ของเม่ยเหนียงในเวลานี้ เพียงแต่ก่วงลิ่งกงไม่โผล่หน้ามาด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าหมายความว่าอะไร

ในบรรดาผู้นำของทัพใหญ่ในใต้หล้าที่สามารถสู้กับเขาได้ตอนแรก ก็เหลือแค่ก่วงลิ่งกงคนเดียวแล้ว สัตว์ร้อยขาแม้ตายร่างกายก็ยังไม่แน่นิ่ง พลังของสิงห์ร้ายผู้ทะเยอะทะยานไม่ได้อยู่ที่การแพ้ชนะบนสนามรบเท่านั้น ดังนั้นจึงเขาจึงนึกถึงอยู่เสมอ

“ไม่ค่อยได้ติดต่อกันเพคะ” ก่วงเม่ยเอ๋อร์ก้มหน้าตอบ

เหมียวอี้พยักหน้า “กลับเป็นข้าที่สะเพร่าไป” เขาเอียงศีรษะไปทางหยางเจาชิงที่อยู่ข้างหลัง “แจ้งไปที่จวนตระกูลก่วง ข้าจะพาสนมสวรรค์อันเล่อกลับไปพักที่บ้านเดิมสักสองสามวัน!”

“รับทราบ!” หยางเจาชิงเอ่ยรับ

กลุ่มขุนนางทยอยกันออกจากวังสวรรค์ สวีถังหรานที่ยืนอยู่ตรงประตูหลักวังสวรรค์กำลังประสานสองมือตรงหน้าท้อง ไม่น่าเชื่อว่าตัวเองจะกลายเป็นทูตตรวจการซ้ายตำหนักสวรรค์ ในใจเรียกได้ว่าผ่อนคลาย รู้สึกประสบความสำเร็จ

เขามองเงาหลังกลุ่มขุนนางที่เดินออกไปด้วยใบหน้าเจือรอยยิ้มอ่อนๆ ค้นพบความรู้สึกยามได้อยู่เหนือกว่า สายตาที่เป็นประกายคอยสอดส่อง เขาย่อมรู้ว่าความรับผิดชอบของตัวเองอยู่ตรงไหน ครุ่นคิดว่าควรจะทำอย่างไรถึงจะไม่ทรยศต่อความเมตตาของฝ่าบาท ควรจะไปหาเรื่องขุนนางใหญ่สักคนเพื่อสร้างคดีใหญ่หรือเปล่านะ?

เขาใจร้อนอยากจะก่อเรื่องสักหน่อยเพื่อแสดงผลงาน อยากพิสูจน์ให้เหมียวอี้เห็นว่าตัวเองไม่ได้เลี้ยงเสียข้าวสุก แววตาแบบนั้นให้ความรู้สึกเหมือนชั่วร้ายเหมือนแววตาอินทรีกิริยาหมาป่า

กลับไปมองวังสวรรค์แวบหนึ่ง ผลก็คือพบว่าในตำหนักยังมีอีกคนที่ยังไม่ออกมา พบว่าหยางชิ่งกับจินม่านกำลังยืนอยู่ด้วยกัน เขาตาเป็นประกายทันที อย่าบอกนะว่าสองคนนี้กำลังสมคบกันทำอะไร? แต่จากนั้นเขาก็รู้สึกว่าตัวเองคิดมากไป ทั้งสองไม่ได้แตะต้องได้ง่ายขนาดนั้น เรื่องด่วนที่ต้องทำในตอนนี้ก็คือ เริ่มวางแนวทางของหน่วยตรวจการซ้ายให้ดีพร้อมก่อน

แต่อารมณ์ก็ยังดีอยู่ เมื่อออกจากวังสวรรค์แล้ว ก็ขี่สัตว์พาหนะบินกลับบ้านตัวเอง รีบร้อนกลับไปแบ่งปันความรู้สึกดีๆ กัเสวี่ยหลิงหลง

หยางชิ่งถูกจินม่านเรียกให้อยู่ต่อ ทั้งสองสบตากัน หยางชิ่งยิ้มบางๆ จินม่านเผยสีหน้าซับซ้อนหลากหลายอารมณ์

หลังจากสบตากันนานมาก จินม่านก็บอกว่า “ได้ยินว่าฮูหยินของเจ้ามาแล้ว ได้ยินว่าผู้หญิงของฮ่าวเต๋อฟาง ซูอวิ้นก็ถูกเจ้ารับไว้แล้วเหมือนกัน ดูท่าแล้วเจ้าคงถูกตาต้องใจข้าได้ยากจริงๆ”

หยางชิ่งถอนหายใจ “เจ้าคิดมากไปแล้ว เจ้าดีมาก ดีมากจริงๆ ข้าไม่คู่ควรกับเจ้า”

“เราคงจะรู้นะว่าข้าอยากได้ยินอะไร?” จินม่านถาม

หยางชิ่งส่ายหน้าเบาๆ “ไม่สอดคล้องกับความจริง เจ้าคิดว่าด้วยตำแหน่งของเราทั้งคู่ตอนนี้ เหมาะสมที่จะมาอยู่ด้วยกันเหรอ?”

จินม่านเข้าใจความหมายของเขา ทั้งสองถูกแต่งตั้งให้เป็นอ๋องแล้ว ถ้าอยู่ด้วยกันจะทำผิดข้อห้ามได้ง่าย เพิ่งจะบุกยึดใต้หล้าได้ กลิ่นอายสังหารยังไม่เจือจางไป ราชันสวรรค์ที่หาศัตรูไม่พบเป็นบุคคลที่อันตรายคนหนึ่งนางกล่าวเสียงเรียกว่า “ตอนนี้ข้าถามเจ้าแบบจริงจัง รู้สึกอะไรกับข้าบ้างหรือเปล่า?”

หยางชิ่งยิ้มบางๆ “เจ้าสวยขนาดนี้ จะไม่รู้สึกอะไรเลยสักนิดได้ยังไง แบบนั้นข้าคงไม่ใช่ผู้ชายแล้ว”

“ได้! สถานะไม่สำคัญอะไรสำหรับข้า ขอเพียงเจ้ารับปากว่าจะแต่งงานกับข้า ข้าจะออกจากตำแหน่งอ๋องทันที” จินม่านกล่าว

หยางชิ่งขมวดคิ้ว “เจ้าทำอย่างนี้คุ้มแล้วเหรอ?”

จินม่านบอกว่า “ข้าอายุไม่น้อยแล้ว ข้าเป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่ง ใต้หล้ารวมเป็นหนึ่งเดียวแล้ว ข้าไม่ขาดแคลนอาหารและเสื้อผ้าอาภรณ์ เจ้าคิดว่าตำแหน่งอ๋องที่ไร้อำนาจที่แท้จริงมีความหมายสำหรับผู้หญิงที่อยู่อย่างโดดเดี่ยวมาจนถึงทุกวันนี้อย่างนั้นหรือ? ใช่แล้ว ใต้หล้ามีผู้ชายตั้งมากมาย ข้าไม่จำเป็นต้องมาหาเจ้าด้วย แต่ข้าสับสนมาก ไม่รู้ว่าควรจะไปหาใครดี คนธรรมดาทั่วไปข้าก็ไม่ชอบ คนที่ฐานะแตกต่างกันเกินไปก็ไม่อยากสนใจเช่นกัน พูดตรงๆ ก็คือไม่มีอารมณ์ความคิดนั้นแล้ว ข้าไม่ได้ขอร้องเจ้า แค่มีความรู้สึกกับเจ้าอยู่บ้าง ค่อนข้างเฝ้าคอย แล้วเจ้าล่ะ?”

หยางชิ่งเงียบไป…

สวีถังหรานพี่กลับบ้านมาแล้วเพิ่งจะนึกได้ว่าเสวี่ยหลิงหลงไปร่วมเที่ยวเล่นชมอุทยาน และในตอนนี้เสวี่ยหลิงหลงก็กำลังอยู่ข้างกายอวิ๋นจือชิว ผู้หญิงกลุ่มหนึ่งกำลังอยู่ริมทะเลสาบ กำลังดูภูมิทัศน์อันยิ่งใหญ่ที่เกิดจากฝีมือมนุษย์ วังสวรรค์เพิ่งจะย้ายมา มีหลายสิ่งที่ยังสร้างไม่เสร็จสมบูรณ์

อวิ๋นจือชิวเองก็รู้ว่าตอนนี้ฝั่งนี้ยังไม่มีอะไรน่าเชิญทุกคนมาเชยชม โดยเฉพาะเมื่อฟังคำสรรเสริญเยินยอที่ไม่ได้มาจากใจของทุกคน นางจึงพูดเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาเสียเลย ให้ทุกคนต่างช่วยกันแสดงความเห็น ออกความเห็นว่าควรจะสร้างภูมิทัศน์อย่างไร หลังจากสร้างเสร็จแล้ว ครั้งหน้าจะเชิญทุกคนมาชื่นชมผลงานที่ทำร่วมกันอีกที ทำให้ทุกคนมีอารมณ์อันสนุกสนาน

หวังเฟยเม่ยเหนียงที่อยู่ในกลุ่มนั้นได้ยินข่าวส่งมาจากในวัง รู้ว่าฝ่าบาทจะพาลูกสาวกลับมาเยี่ยมบ้านเดิมก็ดีใจมาก รีบไปอำลาอวิ๋นจือชิว

ขณะมองส่งเม่ยเหนียงเดินจากไป อวิ๋นจือชิวแอบถอนหายใจ ก่วงลิ่งกงได้รับแต่งตั้งเป็นอ๋องแล้ว เดิมทีนึกว่าเหมียวอี้จะแสดงความใจกว้างให้ทุกคนได้เห็น แต่พอดูตอนนี้แล้ว เห็นได้ชัดว่าเหมียวอี้ยังนึกถึงก่วงลิ่งกงอยู่เสมอ ไม่รู้ว่าเมฆครึ้มที่คิดจะตัดรากถอนโคนยังวนเวียนอยู่ในหัวเหมียวอี้หรือเปล่า

…………………………

[1] ซีหวังหมู่ 西王母 แปลตามตัวอักษรคือ พระมารดาแห่งทิศตะวันตก